War sovereign Soaring The Heavens - ตอนที่ 2084
ตอนที่ 2,084 : นครแห่งบาป!
แต่ต้นจนจบต้วนหลิงเทียนไม่เคยลืมเลือนวัตถุประสงค์หลักในการออกจากลัทธิบูชาไฟของเขาครั้งนี้
ทั้งหมดคือกลืนกินพรสวรรค์รากวิญญาณของผู้อื่น ส่งเสริมยกระดับพรสวรรค์รากวิญญาณของเขาให้ได้โดยเร็วที่สุด จะได้ไวต่อพลังวิญญาณฟ้าดิน หรือมีความสามารถในการสัมผัสรับรู้พลังวิญญาณฟ้าดินมากขึ้น ทำให้มีความเร็วในการบ่มเพาะสูงขึ้น ยกระดับพลังฝึกปรือได้ในเวลาอันสั้น
เพราะมีเพียงพลังฝึกปรือของเขาสูงส่งถึงขั้นเท่านั้น จึงจะช่วยเหลือเค่อเอ๋อแม่ลูกให้พ้นจากเงื้อมมือของลัทธิบูชาไฟได้
วันนี้นอกจากพรสวรรค์รากวิญญาณของตงฟางฉู่ที่เขากลืนกินไปก่อนหน้าในเหลาอาหาร และมันก็ได้ถูกอาวุโสหลักของตระกูลตงฟางฆ่าทิ้งไปแล้วนั้น…
ไม่ว่าจะนายท่านรองตระกูลชิว ‘ชิวกังยี่’ หรือจะเป็นประมุขตระกูลตงฟางอย่าง ‘ตงฟางเฉียน’ ที่เขาฆ่าทิ้งไป เขาก็ไม่ได้กลืนกินพรสวรรค์รากวิญญาณของพวกมันเลย
แน่นอนว่ามีเหตุผล
ตอนที่เขาฆ่าชิวกังยี่กับตงฟางเฉียนในห้องโถงหลักนั้น ทุกผู้คนล้วนจับตาดูการกระทำของเขาอยู่
ทำให้เขาทำได้แค่ลงมืออย่างรวบรัดหมดจด ด้วยทีท่าเย็นชาไร้แยแส
หากเขาคิดกลืนกินพรสวรรค์รากวิญญาณของพวกมัน ไม่ว่าจะก่อนฆ่าทิ้งเหมือนที่ทำกับตงฟางฉู่ในเหลาอาหาร หรือฆ่าทิ้งแล้วยังก้มลงไปดูดกลืนพรสวรรค์รากวิญญาณกับศพของพวกมัน ก็จะดูแปลกๆพิกลไป
เช่นนั้นภาพลักษ์สูงส่งของยอดฝีมือเย็นชาไร้แยแสของเขาต้องได้รับผลกระทบแน่ และนั่นจะทำให้พวกมันไม่ยำเกรงเขาถึงขนาดนี้
นอกจากนั้นไม่ว่าจะเป็นชิวกังยี่หรือตงฟางเฉียน ก็ล้วนเป็นชนชั้นต่ำทรามทั้งสิ้น
กล่าวตามตรงต่อให้กลืนกินพรสวรรค์รากวิญญาณของพวกมันไป ก็คงไม่ได้ส่งผลอะไรมากมายกับเขา
เพราะพรสวรรค์รากวิญญาณของพวกมัน เต็มที่อย่างดีก็แค่พรสวรรค์รากวิญญาณสีเขียว ยิ่งกับชิวกังยี่นั้นเกรงว่าพรสวรรค์รากวิญญาณของมันจะยังเป็นแค่สีเหลืองเท่านั้น
ต่อให้เขาจะกลืนกินพรสวรรค์รากวิญญาณของพวกมันไป แต่เกรงว่าพรสวรรค์รากวิญญาณที่เป็นสีน้ำเงินเข้มแล้วของเขา คงไม่บังเกิดความเปลี่ยนแปลงอะไรมากนัก
เช่นนั้นเพื่อเพาะสร้างสภาวะข่มขวัญ และหลีกเลี่ยงผลกระทบที่จะตามมาหลังจากนี้ ต้วนหลิงเทียนจึงเลือกที่จะไม่กลืนกินพรสวรรค์รากวิญญาณไร้ราคาของพวกมันต่อหน้าผู้คน
แต่แน่นอนว่ายังเป็นเพราะเขามีความกังวลอื่นๆด้วยส่วนหนึ่ง หากไร้ซึ่งความกังวลใดๆแล้ว แม้เรื่องเพาะสร้างสภาวะยอดฝีมือจะสำคัญ แต่ต้วนหลิงเทียนก็ยังต้องหาวิธีกลืนกินพรสวรรค์รากวิญญาณของพวกมันแน่ เพราะเขาถือคติถึงยุงจะตัวเล็กแต่มันก็ยังมีเนื้อ…
“สถานที่ๆมีคนชั่วอยู่เยอะๆ หรือมักมีคนชั่วมารวมตัวกันงั้นหรือ?”
ชิวมู่ชิงถึงกับผงะไปเมื่อได้ยินคำถามของต้วนหลิงเทียน
หลังจากนั้นสองตาดั่งสารทฤดูของนางก็ฉายแววหวั่นหวาดออกมา คล้ายนางกำลังนึกถึงอะไรที่น่ากลัวบางอย่าง?
“หืม? เจ้ารู้จักหรือ มันคือที่ไหน?”
ต้วนหลิงเทียนที่มองชิวมู่ชิงอยู่ย่อมเห็นความหวาดกลัวในสายตาของนางทันที จึงอดไม่ได้ที่จะกล่าวถามออกมาตรงๆ น้ำเสียงยังรีบร้อนไม่น้อย
เพราะสุดท้ายแล้วตอนนี้ที่เขาต้องการที่สุดก็คือ หาแหล่งรวมคนชั่วให้พบ! จะได้รีบๆเดินทางไปฆ่าพวกมันแล้วกลืนกินพรสวรรค์รากวิญญาณ ยกระดับพรสวรรค์รากวิญญาณของเขาซะ!
ตราบใดที่เป้าหมายมีพลังฝีมืออ่อนด้อยกว่าเขา เขาจะฆ่าแล้วกลืนกินพรสวรรค์รากวิญญาณของพวกมันให้เหี้ยน!
แน่นอนว่าเขายังเป็นคนมีหลักการ ย่อมไม่คิดกลืนกินพรสวรรค์รากวิญญาณของคนบริสุทธิ์
“ข้ามิรู้ว่าสถานที่ๆข้านึกถึงจักเป็นสถานที่ๆมีคนชั่วมารวมตัวกันเยอะๆอย่างที่ท่านต้องการหรือไม่…อย่างไรก็ตามสถานที่แห่งนั้นเป็นอันใดที่น่ากลัวมาก ผู้คนล้วนเข่นฆ่ากันไม่เว้นแต่ละวัน! เห็นว่าเพียงกล่าววาจามิเข้าหูก็เข่นฆ่าผู้คนกันแล้ว!!”
เผชิญกับคำจี้ถามของต้วนหลิงเทียน ใบหน้างามชิวกังยี่ชะงักไปเล็กน้อย ผ่านไปสักพักค่อยกล่าวออกมา
ยามกล่าวถึงสถานที่ดังกล่าว น้ำเสียงนางยังเผยความหวาดกลัวให้เห็นเบาๆ
“ฆ่ากันไม่เว้นแต่ละวัน แค่พูดไม่เข้าหูก็ฆ่าคน?”
ลูกตาต้วนหลิงเทียนอดไม่ได้ที่จะหดเล็กลงโดยพลันเมื่อได้ยินดังกล่าว “ที่นั่นมันเป็นที่ไหนกัน?”
“สถานที่แห่งนั้นมันตั้งอยู่ในภาคกลาง ยังตั้งอยู่ใกล้ๆ 1 ใน 3 ลัทธิอย่างลัทธิอารามทมิฬ ทว่าสถานที่แห่งนั้นกลับไร้ซึ่งความเกี่ยวข้องอันใดกับลัทธิอารามทมิฬ อันที่จริงหากคนของลัทธิอารามทมิฬเข้าไปยังสถานที่แห่งนั้นโดยไร้ชนชั้นอาวุโสคุ้มกัน พวกมันก็อาจจะถูกฆ่าปล้นชิงไปได้ง่ายๆ…และต่อให้เป็นลัทธิอารามทมิฬเองคิดหาตัวคนร้ายมาลงโทษก็เกรงว่าเป็นเรื่องยากกระทำ…”
ชิวมู่ชิงกล่าวสืบต่อออกมา และยิ่งพูดแววตาของนางก็ยิ่งฉายชัดออกถึงความหวาดกลัว
“ลัทธิอารามทมิฬ…”
อย่างไรก็ตาม พอได้ยินคำหนึ่งในประโยคที่ชิวมู่ชิงกล่าว แววตาท่าทีต้วนหลิงเทียนก็เปลี่ยนไปทันที
เรื่องที่ลัทธิอารามทมิฬ เป็น 1 ใน 3 ลัทธิ อันเป็นมหาอำนาจยักษ์ใหญ่ของภูมิภาคเบื้องบนดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋านั้น…
เขารู้ดี!
อย่างไรก็ตามสาเหตุที่เขาได้ยินคำลัทธิอารามทมิฬแล้วทำให้สีหน้าท่าทีเขาเปลี่ยนไป ล้วนเป็นเพราะเขานึกถึงคนที่บุกรุกเข้ามายังตำหนักเมฆาครามที่ภูมิภาคเบื้องล่างของดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋าวันนั้น อีกทั้งคนผู้นั้นยังฆ่ากู่มี่มือขวาของบิดาเขา และไม่เพียงช่วงชิงตราผนึกมารไปจากมือเขามันยังทำร้ายทั้งหยามเขาให้อัปยศ!
อาวุโสของลัทธิอารามทมิฬ เซี่ยจง!
นอกจากเป็นอาวุโสแล้ว มันยังเป็นบุตรชายคนเดียวของ 1 ใน 4 มหาธรรมราชาของลัทธิอารามทมิฬ จ้าวราชสีห์ขนทอง!
“เซี่ยจง!”
ทันใดนั้นในใจต้วนหลิงเทียนก็ปรากฏร่างในชุดคลุมสีเทา เป็นชายวัยกลางคนที่มีนัยน์ตากลิ้งกลอก ใบหน้าเผยความชั่วร้ายน่ากลัว
และคนผู้นั้นก็คือเซี่ยจง ที่บุกเข้ามาทำร้ายคนในตำหนักเมฆาครามวันนั้น!
ตั้งแต่วันนั้นจวบจนวันนี้ ต้วนหลิงเทียนยังจำเรื่องราวในวันนั้นได้ชัดเจน ดั่งทั้งหมดพึ่งเกิดขึ้นเมื่อวาน
เซี่ยจงที่บุกรุกเข้ามาในตำหนักเมฆาคราม ไม่เพียงทำร้ายเหยียดหยามและชิงตราผนึกมารไปโดยที่เขาไม่อาจต่อต้านมันได้ อีกฝ่ายยังฆ่ากู่มี่มือขวาบิดาเขาด้วย!
นอกจากนั้นยังมีองครักษ์เกราะทมิฬตกตายด้วยน้ำมือมันไม่น้อย!
เรียกว่าเขากับเซี่ยจงนั้นมีความแค้นที่ไม่อาจอยู่ร่วมโลกเดียวกันได้สืบไป!
ตอนนี้พอมาได้ยินว่าสถานที่แห่งนั้นกลับตั้งอยู่ในภาคกลาง และใกล้ๆกับลัทธิอารามทมิฬที่เซี่ยจงอาศัยอยู่ ใจต้วนหลิงเทียนจึงไม่อาจสงบนิ่ง บังเกิดอาการกระสับกระส่ายขึ้นมา
“พี่ใหญ่หลิงเทียน…ท่านเป็นอะไรไป”
ชิวมูชิงที่สังเกตเห็นว่าอารมณ์ต้วนหลิงเทียนคล้ายจะเปลี่ยนไป ก็อดไม่ได้ที่จะกล่าวถามออกมาด้วยสงสัย
“ไม่เป็นไรหรอก”
ต้วนหลิงเทียนที่ดึงสติกลับมาก็มองกล่าวกับชิวมู่ชิงพร้อมส่ายหัวทันที “มู่ชิง เจ้าช่วยเล่าเรื่องสถานที่แห่งนั้นที่เจ้าพึ่งพูดถึงให้ข้าฟังอย่างละเอียดที”
“อื๊อ”
ชิวมู่ชิงพยักหน้ารับคำอย่างเชื่อฟัง ค่อยๆกล่าวเล่าออกมาว่า “สถานที่แห่งนั้นที่ตั้งอยู่ในภาคกลางที่ข้าพูดถึง มันเรียกว่านครแห่งบาป”
ขณะที่กล่าวถึงนครแห่งบาป สีหน้าแววตาชิวมู่ชิงฉายชัดออกมาถึงความหวาดกลัวอีกครั้ง
ถึงแม้ว่าตัวนางเองจะไม่เคยไปที่นั่นก็ตาม
ทว่าเพียงแค่ได้ยินผู้ใดกล่าวถึงสถานที่แห่งนั้น ก็ทำให้นางบังเกิดความหวาดกลัวแล้ว
“นครแห่งบาป?”
ต้วนหลิงเทียนหยีตาหดเล็ก รู้สึกสะกิดใจขึ้นมา หากแต่ก็ไม่คิดจะถามอะไรเพียงตั้งใจฟังเรื่องราวจากชิวมู่ชิง
“นครแห่งบาป นั้นเรียกว่ามีมาตั้งแต่ยุคสมัยที่ภูมิภาคเบื้องบนของดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋าถือกำเนิดก็ว่าได้…มันมีประวัติศาสตร์อันยาวนานเก่าแก่นัก”
ชิวมู่ชิงกล่าวสืบต่อ “ว่ากันว่านครแห่งบาปถูกก่อตั้งขึ้นโดยยอดฝีมือขอบเขตเซียนสวรรค์ 9 เปลี่ยนคนหนึ่ง…อีกทั้งยอดฝีมือผู้นั้นก็เป็นผู้ฝึกตนพเนจรไร้สังกัด”
“เช่นนั้นแล้วนครแห่งบาปจึงเสมือนแหล่งรวมตัวของผู้ฝึกตนพเนจรทั้งแดนดินก็ไม่ปาน…ทำให้ผู้ฝึกตนพเนจรที่มีพลังฝีมือร้ายกาจส่วนใหญ่ในภูมิภาคเบื้องบนมักไปอาศัยอยู่ที่นั่น”
“นอกจากนั้นข้าได้ยินมาว่า…พลังฝีมือของผู้ฝึกตนพเนจรชนชั้นยอดฝีมือในนครแห่งบาปหลายคน กลับกล้าแข็งทัดเทียมกับยอดฝีมือของ 3 ลัทธิใหญ่ กระทั่งยังมีสุดยอดฝีมือของผู้ฝึกตนพเนจรบางคน ที่มีพลังฝีมือทัดเทียมได้กับชนชั้นจ้าวลัทธิอันร้ายกาจ!”
“และข้าคิดว่าที่นครแห่งบาปสมควรมีสุดยอดฝีมือที่มีความแข็งแกร่งทัดเทียมกับชนชั้นจ้าวลัทธิของทั้ง 3 ลัทธิอยู่จริงๆ! หาไม่แล้วนครแห่งบาปคงมิอาจตั้งอยู่ได้อย่างไร้เรื่องราวมานานหลายปี…ทั้งๆที่อยู่ใกล้ลัทธิอารามทมิฬเช่นนี้”
ชิวมู่ชิงกล่าวถึงตรงนี้ก็หยุดลงชั่วคราว
เพื่อให้ต้วนหลิงเทียนย่อยข้อมูลที่นางกล่าว
‘นครแห่งบาป? เมืองที่ก่อตั้งขึ้นด้วยน้ำมือของยอดฝีมือขอบเขตเซียนสวรรค์ 9 เปลี่ยน? มีมาตั้งแต่ภูมิภาคเบื้องบนของดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋าถือกำเนิด?’
‘นอกจากนี้นครแห่งบาปนั่น แม้จะตั้งใกล้ๆลัทธิอารามทมิฬ แต่ลัทธิอารามทมิฬก็ไม่เคยดำเนินการใดๆกับมันเลย?’
‘หากเป็นแบบที่มู่ชิงว่ามาจริงๆ ถ้างั้นนครแห่งบาปอะไรนี่ ไม่พ้นมียอดฝีมือที่ทัดเทียมกับจ้าวลัทธิทั้ง 3 ดำรงอยู่แน่นอน…ไม่งั้นพวกยอดฝีมือของลัทธิอารามทมิฬจะยอมให้หมาป่ามาสร้างรังนอนข้างบ้านแบบนี้ได้อย่างไร’
ไม่นานต้วนหลิงเทียนก็ย่อยข้อมูลที่ชิวมู่ชิงกล่าวจนหมด
“ว่าต่อเถอะมู่ชิง”
ต้วนหลิงเทียนกล่าวทักชิวมู่ชิงหลังย่อยเรื่องราวเสร็จสิ้น
ชิวมู่ชิงพยักหน้ารับค่อยกล่าวสืบต่อ “จากเรื่องที่ข้าพูดไปพี่ใหญ่หลิงเทียนคงเดาได้แล้ว…ว่าในนครแห่งบาปนั้นมีผู้ฝึกตนพเนจรมากมายเพียงใด! เพราะผู้ฝึกตนพเนจรที่ไร้สังกัดพรรคพวกก็ล้วนมารวมตัวกันที่นี่ตามธรรมชาติ”
“แน่นอนว่าเมื่อมากคนก็มากความ นครแห่งบาปจึงมิอาจหลีกเลี่ยงความขัดแย้งไม่ลงรอย ยังมีฆาตกรและผู้ฝึกตนชั่วร้ายที่หนีการตามล่าจากขุมพลังต่างๆมาพึ่งพิงอาศัยมากมาย กระทั่งคำนครแห่งบาปก็มาจากสิ่งนี้เช่นกัน…เห็นว่าตอนแรกนครแห่งบาปไม่ได้เรียกหาเช่นนี้”
“ในนครแห่งบาปสามารถพบเห็นเรื่องราวความขัดแย้งได้ทุกที่ และเรื่องนี้ก็มิอาจหลีกเลี่ยง เพราะผู้ฝึกตนพเนจรก็ไร้ใครสนับสนุนด้านทรัพยากร การแย่งชิงจึงมีให้เห็นจนชินชา…นับว่าการเข่นฆ่ากันเพื่อชิงสมบัติในนครแห่งบาปกลางถนนเสมือนเป็นเรื่องปกติไปแล้ว การฆ่าคนคล้ายเป็นกิจวัตรประจำวันของพวกมัน”
“นอกจากนี้ยังกล่าวกันว่า ในนครแห่งบาปนั้น หากพลังฝึกปรือยังไม่บรรลุถึงขอบเขตเซียนสวรรค์ อย่าได้ออกจากบ้านในเวลากลางคืนเด็ดขาด…หากคิดจะออกไปไหน ก็จำต้องมียอดฝีมือขอบเขตเซียนสวรรค์คุ้มกัน”
“ทั้งหมดล้วนเป็นสิ่งที่ข้ารู้เกี่ยวกับนครแห่งบาป…”
ชิวมู่ชิงกล่าวจบก็มองต้วนหลิงเทียนอีกครั้ง “ถึงแม้ข้ามิรู้ว่าไฉนพี่ใหญ่หลิงเทียนกำลังมองหาสถานที่ๆคนชั่วมารวมตัวกัน…แต่ข้าคิดว่านครแห่งบาป สมควรเป็นสถานที่ๆมีคนชั่วร้ายมารวมตัวกันเยอะที่สุดในดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋า”
“กระทั่งข้าได้ยินมาว่า…ที่นั่นมีแม้แต่มนุษย์กินคน เป็นผู้ฝึกมารที่ชั่วร้ายกินคนไม่คายกระดูก ใช้เลือดเนื้อผู้อื่นในการบ่มเพาะ…”
กล่าวถึงเรื่องนี้เสียงใสของชิวมู่ชิงก็สั่นเครือไม่น้อย สีหน้ายังซีดลงด้วยความหวาดกลัว เห็นได้ชัดว่านางกลัวเรื่องที่ผู้ฝึกมารเหล่านั้นกระทำมากแค่ไหน
ผู้คนกลับกินเนื้อผู้คนด้วยกันเอง กระทั่งเดียรัจฉานยังไม่กินพวกเดียวกัน!
ตราบใดที่ยังเป็นคนปกติ ย่อมไม่มีใครรับเรื่องนี้ได้
ต้วนหลิงเทียนเองก็รับไม่ได้เช่นกัน
เมื่อชิวมู่ชิงกล่าวถึงเรื่องนี้ สีหน้าเขาก็มืดลงทันใด
ในขณะเดียวกัน
เขาก็ตระหนักได้ว่า นครแห่งบาปนี้ เป็นสถานที่ในฝันสำหรับเขาตอนนี้อย่างแท้จริง…นครแห่งบาป ดั่งเมืองคนบาปแหล่งรวมพวกชั่วตัวร้าย! เขาออกจากลัทธิบูชาไฟมาก็เพื่อสิ่งนี้!!
‘ข้าตัดสินใจแล้ว! นครแห่งบาป เดี๋ยวเจอกัน!!’
ต้วนหลิงเทียนแทบจะตัดสินใจได้ในทันที
เขาจะไปนครแห่งบาปนั่นแล้วเข่นฆ่าคนชั่วกลืนกินพรสวรรค์รากวิญญาณของพวกมัน!
หากเป็นดั่งที่ชิวมู่ชิงพูดจริง เขาก็ไม่ขัดข้องอะไรที่จะฆ่าคนชั่วในนครแห่งบาป!
“มู่ชิง แล้วเจ้าเคยไปที่นครแห่งบาปนั่นหรือไม่?”
สูดลมหายใจเข้าลึกๆระงับความคึกคักในใจให้สงบลง ต้วนหลิงเทียนก็ถามชิ่วมู่ชิงออกมาอีกครั้ง
“ไม่เคย”
ได้ยินคำถามของต้วนหลิงเทียน ชิวมู่ชิงก็ส่ายหัวตอบออกมาทันที
กระทั่งนางยังคิดว่าตลอดชั่วชีวิตนี้ นางจะไม่ไปที่แบบนั้นเด็ดขาด!
“อ้าว? แล้วนี่เจ้ารู้เรื่องนครแห่งบาปมากขนาดนี้ได้ยังไง?”
ต้วนหลิงเทียนกล่าวถามด้วยความแปลกใจ