War sovereign Soaring The Heavens - ตอนที่ 2086
ตอนที่ 2,086 : มุ่งหน้าสู่ภาคกลาง
ตอนนี้หวังยี่ฝัวตกใจจนหัวใจแทบวาย…
เนื่องเพราะดาบร้อยอาคมเซียนอันแข็งแกร่งที่เต็มไปด้วยพลังเซียนต้นกำเนิดของมันกลับถูกฟันจนหักครึ่งในกระบี่เดียว! แถมรอยตัดยังราบเรียบปานถูกตัดด้วยวัตถุที่คมจนเหลือเชื่อ!!
พอนึกถึงเสียงตวัดกระบี่เมื่อครู่ หนังศีรษะหวังยี่ฝัวถึงกับชาด้านไร้ความรู้สึกขึ้นมาทันที!
ตอนนี้ยามมองไปยังชายหนุ่มชุดม่วงเบื้องหน้าที่อยู่ไม่ไกลอีกครั้ง ลูกตาหวังยี่ฝัวอดไม่ได้ที่จะฉายความหวาดกลัวออกมาอย่างไม่รู้ตัว
“กรี๊ด”
“กรี๊ด”
……
แทบจะพร้อมๆกันกับที่ดาบร้อยอาคมเซียนของหวังยี่ฝัวถูกฟันขาดกลางหักเป็นสองท่อน สตรีที่คอยปรนนิบัติหวังยี่ฝัวทั้ง 2 รวมถึงนางรำและนักดนตรีก็ถึงกับกรีดร้องออกมาเสียงหลงด้วยความกลัว
“พวกเจ้าทั้งหมดออกไปก่อนเถอะ…ข้ามีเรื่องจะหารือกับผู้นำหวัง”
ตอนนี้เองต้วนหลิงเทียนพลันกล่าวขึ้นมาเสียงเบา
เมื่อวาจานี้ของเขาดังขึ้นในศาลา สตรีที่คอยปรนนิบัติหวังยี่ฝัวทั้ง 2 รวมถึงเหล่านางรำและนักดนตรีก็ค่อยๆผ่อนคลายลงหลายส่วน ความตื่นตระหนกหวาดกลัวในแววตาจืดจางลงทันใด ด้วยตระหนักว่าผู้มามิใช่โจรอำมหิตฆ่าคนไม่ละเว้น
อย่างไรก็ตามถึงแม้พวกนางจะได้ฟังวาจาคล้ายดั่งราชโองการอภัยโทษของต้วนหลิงเทียนแล้ว แต่พวกนางก็ยังไม่กล้าออกไปไหน
สองตางามใสทั้งหลายล้วนเบนไปตกยังร่างหวังยี่ฝัวเป็นสายตาเดียวกัน เพื่อรอให้หวังยี่ฝัวอันเป็น ‘แขกผู้มีเกียรติ’ ของหอเมฆมรกตอนุญาต!
หวังยี่ฝัวเห็นฉากนี้ก็แทบอาเจียนเป็นเลือด!
สตรีเหล่านี้ล้วนกลายเป็นตัวโง่งมกันหมดแล้วหรือไร! ไม่เห็นหรือเจ้าหนุ่มชุดม่วงหน้ามันคนนี้ร้ายกาจแค่ไหน!!
ตัวตนเช่นนี้กล่าวสั่งออกมาแต่พวกนางยังกล้าไม่ฟัง! หากพวกนางตกตายไปเพราะความโง่ก็ช่าง แต่ตอนนี้พวกนางกลับมองขออนุญาตจากมัน…ใยมิใช่การทำร้ายมันแล้ว?
“ใต้เท้าให้พวกเจ้าออกไป ไฉนยังไม่รีบไป!?”
จังหวะนี้หวังยี่ฝัวมีโมโหนัก มันระเบิดคำออกมาเสียงดังจนทำให้เหล่าสตรีหวาดกลัวขวัญหนีดีฝ่อ เร่งวิ่งจากไปกันจ้าละหวั่น
พริบตาต่อมาในศาลาริมสระกระทั่งภายในสวนหลังเรือนชั้นดีแห่งนี้ ก็คงเหลือแต่ต้วนหลิงเทียนกับหวังยี่ฝัวเพียงสองคน
“ใต้เท้าเชิญนั่ง…”
โทสะบนใบหน้าหวังยี่ฝัวสลายหายไปทันทีเมื่อหันมามองต้วนหลิงเทียน ยังปั้นหน้าแย้มยิ้มผายมือกล่าวเชิญให้ต้วนหลิงเทียนนั่งลงบนโต๊ะหินอ่อนในศาลาด้วยท่าทีสุภาพเรียบๆร้อยๆ
ต้วนหลิงเทียนก็ไม่ได้เกรงใจอะไรก้าวอาดๆไปยังโต๊ะทันที
เรื่องที่หวังยี่ฝัวไม่กลัวตอนห็นเขาครั้งแรก เขาก็ไม่ได้แปลกใจอะไร
ด้วยเหตุนี้เขาจึงเผยความแข็งแกร่งออกมาทันที เพื่อทำให้หวังยี่ฝัวตื่นตระหนกตกใจและสิ้นความคิดแข็งข้อต่อต้าน
ด้วยพลังเซียนสุริยันที่ถูกยกระดับด้วยเวทย์พลังอย่างปฐมเวทย์กลืนกิน พร้อมกระบี่นิลสวรรค์ เขาเพียงฟันกระบี่ออกไปธรรมดาๆ ก็สามารถฟันทำลายดาบร้อยอาคมเซียนในมือหวังยี่ฝัวให้หักขาด 2 ท่อนได้ง่ายดาย
ต่อหน้ากกระบี่นิลสวรรค์แล้ว ดาบร้อยอาคมเซียนก็เปราะบางราวเต้าหู้!
เรื่องนี้สามารถเห็นได้ชัดเจนจากฉากเมื่อครู่
กระบี่ร้อยอาคมเซียนนั้นฟันดาบร้อยอาคมเซียนให้ขาดกลางได้ราวกับไร้แรงต้าน ปานหั่นเต้าหู้!
ภายใต้สายตาสายตาหวาดระแวงทั้งขลาดกลัวของหวังยี่ฝัว ต้วนหลิงเทียนก็นั่งลงอย่างไม่เกรงใจ
หลังจากนั่งลงไปแล้ว ต้วนหลิงเทียนก็เด็ดองุ่นในจานเบื้องหน้ามาเอาเข้าปาก หลังเคี้ยวอยู่ไม่กี่ทีก็คายเมล็ดองุ่นออกมา “องุ่นนี่อร่อยดีนี่นา”
“หากใต้เท้าชมชอบ ครั้งหน้าข้าจักขอให้ทางหอเมฆมรกตเตรียมไว้ให้ใต้เท้าให้มาก”
ได้ยินวาจาของต้วนหลิงเทียน หวังยี่ฝัวก็ยิ้มกล่าวออกมาด้วยท่าทางเรียบๆร้อยๆ
เทียบกับหวังยี่ฝัวตอนเร่งเร้าพลังสภาวะจนดุดันเหี้ยมหาญก่อนหน้า กับหวังยี่ฝัวที่แลดูเรียบร้อยเชื่อฟังตอนนี้แล้ว…มันช่างแตกต่างกันราวกับคนละคน!
เหตุผลที่ไฉนก่อนและหลังต้วนหลิงเทียนลงมือ หวังยี่ฝัวถึงมีท่าทีเปลี่ยนไปจากหน้ามือเป็นหลังมือแบบนี้ ย่อมเป็นเพราะมันตระหนักถึงพลังฝีมือต้วนหลิงเทียนเป็นธรรมดา!
ตอนแรกมันไม่รู้ว่าต้วนหลิงเทียนมีพลังฝีมือเหนือมัน
ทว่ามาตอนนี้มันตระหนักได้แล้วว่าต้วนหลิงเทียนไม่เพียงแต่แข็งแกร่งกว่ามัน ยังแข็งแกร่งมากพอจะฆ่ามันได้ในชั่วพริบตา!
ไม่ต้องกล่าวอะไรให้มาก
เมื่อครู่หากเป้าหมายการฟันของกระบี่ไวอันเหลือเชื่อนั่นไม่ใช่ดาบร้อยอาคมเซียนแต่เป็นลำคอของมัน เกรงว่าคอมันคงได้ถูกปลิดปลงไปง่ายดายราวปลิดขั้วแตงสุก
นึกถึงกระบี่เมื่อครู่อีกครั้ง ร่างหวังยี่ฝัวยังสั่นสะท้านขึ้นมาอย่างอดไม่ได้
“นั่งสิ”
ต้วนหลิงเทียนมองหวังยี่ฝัว บอกให้มันนั่งลง
อย่างไรก็ตามหวังยี่ฝัวที่ตอนนี้ได้รับทราบพลังฝีมือต้วนหลิงเทียนแล้ว ไหนเลยจะกล้านั่งลงตรงหน้าให้เป็นการตีตัวเสมอต้วนหลิงเทียนอยู่อีก? มันรีบกล่าวออกมาอย่างสุภาพนอบน้อม “ใต้เท้าข้าน้อยไม่กล้าตีตัวเสมอท่าน ให้ข้ายืนเช่นนี้เถอะ”
หวังยี่ฝัวไม่อยากนั่ง ก็เป็นธรรมดาที่เขาคร้านจะบังคับ เลือกล่าวออกมาตรงๆว่า “ที่ข้ามาหาเจ้าวันนี้ เพราะคิดจะถามเรื่องราวอะไรบางอย่างจากเจ้า”
“มิทราบใต้เท้าอยากรู้เรื่องใด หากข้าน้อยล่วงรู้จักบอกท่านทั้งหมดไม่คิดปิดบัง!”
พอได้ยินเป้าหมายการมาของต้วนหลิงเทียน หวังยี่ฝัวอดไม่ได้ที่จะระบายลมหายใจออกมาอย่างโล่งอก
ตอนแรกมันยังกังวลจนขวัญหนีดีฝ่อ ด้วยกลัวว่าอีกฝ่ายจะมาหาเรื่องมันโดยเฉพาะ และจากพลังฝีมืออีกฝ่ายคิดฆ่ามันก็คงลำบากแค่ยกมือ! พริบตามันก็ไปเยือนเมืองผีแล้ว!!
“ข้าได้ยินมาว่าเจ้าเคยอยู่ในนครแห่งบาปมาพักหนึ่งงั้นหรือ?”
ต้วนหลิงเทียนกล่าวถาม
“ใช่แล้วใต้เท้า”
แม้มันจะสงสัยไม่น้อยว่าต้วนหลิงเทียนจะถามเรื่องนี้ทำไม แต่หวังยี่ฝัวก็พยักหน้าตอบคำไปตามตรง เรื่องนี้ไม่ใช่ความลับอะไรเลย ผู้คนส่วนใหญ่ของเมืองคงหมิงก็รู้กันหมด
กระทั่งตัวมันเองยังเอาเรื่องนี้มา ‘อวด’ ผู้อื่นบ่อยครั้งด้วยซ้ำ
เพราะสุดท้ายแล้วนครแห่งบาปก็ไม่ใช่สถานที่ๆทุกคนจะกล้าเข้าไป
ต่อให้เป็นผู้ฝึกตนขอบเขตเซียนสวรรค์ที่มีพลังฝีมือร้ายกาจ ก็ไม่อาจประมาทได้ยามอยู่นครแห่งบาป เพราะหากไม่ระวังเผลอไปล่วงเกินคนที่ไม่อาจล่วงเกินเข้าล่ะก็ คงได้ทิ้งร่างไร้วิญญาณนอนทอดกายที่นครแห่งบาปตลอดไป
“เล่าเรื่องราวนครแห่งบาปเท่าที่เจ้ารู้ออกมาให้ข้าฟัง”
ต้วนหลิงเทียนกล่าว
“ใต้เท้า…ท่านคิดไปนครแห่งบาปหรือ?”
สองตาหวังยี่ฝัวทอประกายเรืองวูบขึ้นมาด้วยความสงสัย
มันย่อมเห็นได้ชัดว่าชายหนุ่มเบื้องหน้า ไม่ได้ถามเรื่องนี้อย่างขอไปที แต่สมควรเพราะอยากไปที่นั่นจึงมาหาข้อมูล
“ที่ข้าถามเจ้าไม่ได้ยิน?”
ทว่าต้วนหลิงเทียนไม่เพียงเพิกเฉยไม่ตอบคำถามของหวังยี่ฝัว ยังย้อนถามออกมาด้วยใบหน้าไม่สบอารมณ์
เห็นท่าทีต้วนหลิงเทียนเปลี่ยนไปในฉับพลัน พาลให้หวังยี่ฝัวรู้สึกหนาวเหน็บจับใจ มันไม่กล้ารอช้าหรือถามซักไซ้อะไรอีกต่อไป เร่งกล่าวตอบออกมาอย่างร้อนรน “ขะ…ข้าจะเล่าเรื่องทั้งหมดของนครแห่งบาปให้ใต้เท้าฟัง…”
หลังจากนั้นหวังยี่ฝัวก็ค่อยๆเล่าเรื่องราวของนครแห่งบาปให้ต้วนหลิงเทียนฟังอย่างกล้าๆกลัวๆ
มันเล่าตั้งแต่ต้นกำเนิดนครแห่งบาป ไปจนถึงสถานการณ์และเรื่องราวภายในของนครแห่งบาป แน่นอนว่าเป็นข้อมูลเก่าหลายปีแล้ว
…
อย่างไรก็ตามด้วยความที่มันก็เคยอาศัยอยู่ในนครแห่งบาปพักหนึ่ง ความรู้ความเข้าใจของหวังยี่ฝัวที่มีต่อนครแห่งบาปย่อมมากมายอย่างที่ชิวมู่ชิงเทียบไม่ติด เพราะอย่างไรนางก็แค่ฟังเรื่องราวจากผู้อื่นมาเท่านั้น
ผ่านไปพักหนึ่ง ต้วนหลิงเทียนก็ได้รู้ข้อมูลเกี่ยวกับนครแห่งบาปจากหวังยี่ฝัวไม่น้อย ยังเป็นข้อมูลที่ถือว่ามีประโยชน์สำหรับเขามากมาย
“ผู้นำหวังไฉนเจ้าถึงจากนครแห่งบาปและมายังเมืองคงหมิงแห่งนี้เล่า คงไม่ใช่แค่อยากใช้ชีวิตอย่างสุขสงบหรอกนะ?”
หลังหวังยี่ฝัวกล่าวเล่าเรื่องราวของนครแห่งบาปให้ต้วนหลิงเทียนทราบหมดแล้ว ต้วนหลิงเทียนพลันกล่าวถามออกมาด้วยความสงสัย
เพราะตอนที่หวังยี่ฝัวกล่าวเล่าเรื่องนครแห่งบาป มันไม่ได้บอกเหตุผลที่มันออกมาจากที่นั่น
ด้วยพลังฝึกปรือที่บรรลุถึงจุดสูงสุดของเซียนสวรรค์ 1 เปลี่ยนของหวังยี่ฝัว คิดอยู่ในนครแห่งบาปถึงแม้จะไม่อดสูถึงขั้นเป็นแค่เบี้ยตัวเล็กตัวน้อย แต่ก็เป็นแค่ผู้ฝึกตนธรรมดาๆ
ในนครแห่งบาปมันไม่ได้ยิ่งใหญ่มีหน้ามีตาเหมือนอย่างในเมืองคงหมิงแห่งนี้
ดั่งคำกล่าวที่ว่า ยอมเป็นหัวไก่ดีกว่าหางหงส์!
หวังยี่ฝัวในปัจจุบันก็คล้ายๆกัน
แต่แน่นอนว่าต้วนหลิงเทียนก็รู้ดีแก่ใจ
ว่านครแห่งบาปที่สามารถดึงดูดผู้ฝึกตนเพนจรได้ทั่วทุกสารทิศได้แบบนี้ คิดจะยืนหยัดอยู่ที่นั่นได้จำต้องมีเขี้ยวเล็บไม่น้อย
หาไม่แล้วใครยังอยากจะมาอุดอู้อยู่ในเมืองเล็กๆ ทำราวกับตั้งตัวเป็นไต้อ๋องแห่งขุนเขาแบบนี้….
และหากจะบอกว่าหวังยี่ฝัวมาลงหลักปักฐานที่เมืองเล็กๆนี่เพราะคิดเสพย์สุขอย่างเดียวก็คงเป็นไปไม่ได้ เพราะอย่างไรน้ำไหลลงที่ต่ำ คนขวนขวายหมายปีนขึ้นที่สูง
“ย่อมมิใช่เช่นนั้น”
ได้ยินคำถามนี้ของต้วนหลิงเทียน หวังยี่ฝัวก็ระบายลมหายใจออกมาอย่างทอดถอน กล่าวออกด้วยน้ำเสียงอับจนไร้หนทาง “เป็นเพราะข้าได้ล่วงเกินคนผู้หนึ่งในนครแห่งบาป…และเบื้องหลังคนผู้นั้นก็มีกองกำลังสนับสนุนอยู่ ทำให้ข้าต้องหนีจากนครแห่งบาปมาอย่างไม่เต็มใจ…แม้เมืองคงหมิงแห่งนี้จะดีและทำให้ข้าใช้ชีวิตได้อย่างมีความสุข แต่หากไม่ไร้หนทางไหนเลยข้าจะเลือกอยู่ในที่ๆมิอาจทำให้ข้าก้าวหน้า ยากยกระดับพลังฝึกปรือได้เช่นนี้…”
“ฟังจากที่เจ้าว่า…หรือสภาพแวดล้อมในการบ่มเพาะของนครแห่งบาปนั่นมันดีกว่าเมืองคงหมิงแห่งนี้มาก?”
ได้ยินคำของหวังยี่ฝัวต้วนหลิงเทียนอดไม่ได้ที่จะสงสัย
“มิใช่แค่สภาพแวดล้อมในการบ่มเพาะหรอกใต้เท้า…”
หวังยี่ฝัวส่ายหัวไปมา ค่อยกล่าวสืบต่อด้วยสองตาทอประกายวูบวาบ “มีผลประโยชน์มากมายในนครแห่งบาป ข้าเองก็มิรู้จะอธิบายให้ท่านทราบอย่างไรดี…เอาเป็นว่าหากใต้เท้าไปถึงที่นั่นท่านย่อมทราบได้ด้วยตัวเองทันที”
แม้หวังยี่ฝัวจะทำราวกับ ‘ขายใบตราส่งของ’ แต่ต้วนหลิงเทียนก็ไม่ถามอะไรมันเพิ่ม
(ขายใบตราส่งของ = อุบไว้ไม่ยอมเล่าเรื่อง ,อุบเรื่องที่สำคัญที่สุดเอาไว้ แล้วปล่อยให้อีกฝ่ายเฝ้ารออย่างกระวนกระวายใจ / มาจากสมัยราชวงศ์ซ่งใต้ ที่จะรู้ว่าของเป็นอะไรก็ต้องเอาใบตราส่งของไปเบิกที่เมืองหลวงเท่านั้น)
เพราะเขาเองก็กำลังจะเดินทางไปนครแห่งบาปอยู่แล้ว
“ขอบคุณมากผู้นำหวัง…”
หลังได้รับทราบเรื่องราวที่อยากรู้จากหวังยี่ฝัวแล้ว ต้วนหลิงเทียนก็ลุกขึ้นยืนเตรียมตัวจากไปทันที และก่อนที่จะไปเขาก็ไม่ลืมขอบคุณหวังยี่ฝัวอีกด้วย
“ใต้เท้าเกรงใจไปแล้ว”
ได้รับคำขอบคุณจากต้วนหลิงเทียนแบบนี้ หวังยี่ฝัวรู้สึกยินดีไม่น้อย
หลังจากนั้นภายใต้สายตาที่มองไปด้วยความยำเกรงของหวังยี่ฝัว แผ่นหลังไวๆต้วนหลิงเทียนที่รีบร้อนจากไปก็หายลับไปจากสายตาของหวังยี่ฝัว
“ให้ตายเถอะ ที่แท้มันเป็นผู้ใดในใต้หล้ากันแน่…”
ต้วนหลิงเทียนจากไปไม่ทันไรหวังยี่ฝัวก็ดึงสติกลับมาอยู่กับเนื้อกับตัวได้อีกครั้ง หากแต่ในแววตายังเต็มไปด้วยความสงสัยจับใจ
มันเองก็อยู่เมืองคงหมิงมานานหลายปีแล้ว แต่นี่เป็นครั้งแรกเลยจริงๆที่มันได้เจอยอดฝีมือที่ร้ายกาจถึงระดับนี้แวะมาเยือนเมืองคงหมิง!
เพราะสุดท้ายแล้วเมืองคงหมิงก็เป็นแค่เมืองเล็กๆในชายแดนตอนใต้ของภาคตะวันตกเท่านั้น ต่อให้จะมียอดฝีมือเดินทางผ่านไปบ้าง แต่ก็ไม่ค่อยมีใครสนใจจะแวะพักสักเท่าไหร่
หลังออกจากหอเมฆมรกตแล้วต้วนหลิงเทียนก็ไม่รอช้า พุ่งร่างออกจากเมืองคงหมิงทันที
หลังออกจากเมืองคงหมิงไปได้สักพัก ต้วนหลิงเทียนก็หันมองกลับไปยังเมืองคงหมิงเบื้องหลังสองตาทอประกายวูบหนึ่ง ไม่ทราบในใจคิดอะไร
“ปีกอีกาทองคำ!”
ครู่ต่อมาแผ่นหลังพลันปรากฏปีกเพลิงทีคล้ายจะลุกโชนโชติช่วงแผดเผาทุกสรรพสิ่ง! เขาถึงกับใช้เวทย์พลังเสริมเคลื่อนไหวระดับสูง ปีกอีกาทองคำ เพื่อเดินทาง!!
ปีกอีกาทองคำคู่ใหญ่สะบัดโบกลงทันใด
ครู่ต่อมา
ปง! ปง! ปง! ปง! ปง!
…
เสียงแตกระเบิดของอากาศดังสนั่นลั่นก้องฟ้าเป็นชุด! ร่างต้วนหลิงเทียนที่สำแดงเวทย์พลังปีกอีกาทองคำก็พุ่งทะยานออกไปด้วยความเร็วสูงล้ำ!!