War sovereign Soaring The Heavens - ตอนที่ 2203
ตอนที่ 2,203 : เหาฉ่วงครึ่งก้าวเซียนสวรรค์ 9 เปลี่ยน!?
เหลิ่งอิงกล่าวจบคำ ลูกตาของคนลัทธิบูชาไฟก็ทอประกายสว่างาบขึ้นมาทันที
“เหอะ!”
จ้าวลัทธิอารามทมิฬแค่นเสียงสบถออกมาอย่างไม่สบอารมณ์
เรื่องที่เหลิ่งอิงพูด มันย่อมรู้ดีกว่าใคร!
ด้วยเหตุนี้แต่ต้นจนจบมันจึงไม่เคยคิดฆ่าผู้พิทักษ์คนอื่นของลัทธิบูชาไฟจริงๆสักครั้ง! เพียงแค่คิดจะสั่งสอนบทเรียนให้ทั้งหมดรับทราบถึงรสชาติความขื่นขมเท่านั้น!!
หากจะให้มันฆ่าผู้พิทักษ์ลัทธิบูชาไฟคนอื่นจริง มันยอมรับว่าไม่มีความกล้าขนาดนั้น
แต่ต้วนหลิงเทียนนั้นต่างกัน ด้วยมีความแค้นกันมาก่อน เช่นนั้นต่อให้พวกมันฆ่าต้วนหลิงเทียนไป จ้าวลัทธิบูชาไฟก็ไม่อาจเอาเรื่องอะไรได้มาก…
เพราะถ้าเรื่องราวมันลุกลามใหญ่โตขึ้นมาถึงขั้นแตกหักกันจริงๆ อาวุโสสูงสุดของพวกมันก็ใช้ไม้เดียวกันกับถังซวน บุกไปฆ่าคนอื่นๆของลัทธิบูชาไฟได้เช่นกัน!
แต่ถ้าวันนี้พวกมันฆ่าผู้พิทักษ์ขอลัทธิบูชาไฟที่เหลือทั้ง 4 ไป นั่นเสมือนเลาะกระดูกสันหลังของลัทธิบูชาไฟโค่นล้มเสาหลัก ถังซวนไม่พ้นต้องเดือดดาลจนอาจทำอะไรบ้าๆขึ้นมาได้!
ถึงตอนนั้นถังซวนต้องล้างแค้นพวกมันแน่!
และเป็นอย่างที่เหลิ่งอิงกล่าวไว้ไม่มีผิด หากถังซวนคิดล้างบางพวกมันขึ้นมาจริงๆ อาวุโสสูงสุดก็ไม่มีทางหยุดถังซวนได้เลย
ถึงตอนนั้นผู้คนในลัทธิอารามทมิฬนอกจากหล่างเชียงจิน ได้ตายอนาถแน่!
ด้วยเหตุนี้ตั้งแต่ต้นจนจบมันไม่คิดฆ่าผู้พิทักษ์ทั้ง 4 เพียงจะฆ่าต้วนหลิงเทียนคนเดียวเท่านั้น
และแม้จะเป็นต้วนหลิงเทียน พวกมันก็ไม่ได้คิดฆ่าทันทีด้วยซ้ำ!
พวกมันอยากจับตัวต้วนหลิงเทียนกลับไปสอบสวนที่ลัทธิอารามทมิฬ เพื่อเค้นความลับทุกอย่างในระนาบเทียม ที่ 3 ปีศาจครึ่งก้าวเซียนอมตะเหลือทิ้งไว้! เปิดโปงว่าไฉนพลังฝึกปรือถึงได้ก้าวหน้าอย่างพิสดารเหลือเชื่อแบบนี้!!
ตราบใดที่ความลับดังกล่าววมันสามารถกระทำซ้ำได้ นั่นหมายความว่าลัทธิอารามทมิฬของพวกมันม ได้รับวิธีประเสริฐในการยกระดับขุมกำลังแล้ว
แต่ถ้าสืบค้นทุกสิ่งขุดคุ้ยทุกอย่างแล้วพบว่าต้วนหลิงเทียนไม่มีความลับอะไรอีก พวกมันก็จะฆ่าต้วนหลิงเทียนทิ้ง!
เพราะถ้าไม่ฆ่าต้วนหลิงเทียน ผู้คนทั้งแดนดินจะครหาลัทธิอารามทมิฬเอาได้ ว่าหวาดกลัวลัทธิบูชาไฟ!
“ผู้พิทักษ์เหลิ่งอิงกล่าวถูกแล้ว…แต่พวกเราไม่ฆ่าพวกเจ้า หรือพวกเจ้าสามารถฆ่าพวกเราได้?”
จ้าวพยัคฆ์ขาวมองกล่าเหลิ่งอิงด้วยทีท่าเย้ยเยาะ “เป้าหมายการมาของพวกเราวันนี้มีแค่ ต้วนหลิงเทียน คนเดียวเท่านั้น! แต่หากพวกเจ้าคิดยืนกรานออกตัวปกป้อง ต่อให้พวกเราฆ่าพวกเจ้าไม่ได้ แต่ก็ไม่รังเกียจที่จะสั่งสอนบทเรียนให้พวกเจ้ารับทราบ!!”
“ถึงตอนนั้นพววกเจ้าก็ไม่อาจโทษว่าพวกเราได้…เพราะจ้าวลัทธิของเราก็ให้โอกาสพวกเจ้าแต่แรก!”
ยิ่งกล่าวใบหน้าท่าทีของจ้าวพยัคฆ์ขาวก็ยิ่งเผยความเย้ยเยาะมากขึ้นเท่านั้น
“ตอนนี้พวกเจ้าจะเอาอย่างไรเล่า ไม่มีท่านเห่าฉวงกำลังรบพวกเราก็พอๆกัน…แต่ตอนนี้พอท่านเหาฉ่วงปรากฏตัวออกมาสะกดต้วนหลิงเทียนที่แข็งแกร่งที่สุดในบรรดาพวกเจ้า แล้วพวกเจ้าที่เหลือจะเอาอะไรมาสู้พวกเราเล่า?”
จ้าวพยัคฆ์ขาวกล่าวจบก็ระเบิดเสียงหัวเราะออกมาอย่างพอใจ
ววาจาของมันยังตีเข้าจุดตายลัทธิบูชาไฟแล้วจริงๆ
ก่อนที่ลัทธิอารามทมิฬของพวกมันจะยกพลบุกมาลัทธิบูชาไฟ พวกมันย่อมประเมินพลังฝีมือต้วนหลิงเทียนที่กลายเป็นผู้พิทักษ์ไปแล้วกันอย่างระวัง
สุดท้ายแม้พวกมันจะไม่อยากเชื่อมากแค่ไหนแต่พวกมันก็ต้องเชื่อ ว่าต้วนหลิงเทียนสมควรเป็นผู้พิทักษ์ที่ร้ายกาจที่สุดในบรรดาผู้พิทักษ์ของลัทธิบูชาไฟ!
นั่นเพราะต้วนหลิงเทียนไม่เพียงแต่จะฆ่าเซี่ยคังฉวิน จ้าวราชสีห์ขนทองของลัทธิอารามทมิฬพวกมันใน 3 กระบี่ แต่ยังเอาชนะจ้าวหอคุมกฏเหลิ่งอิงที่ทะลวงถึงขอบเขตเซียนสวรรค์ 7 เปลี่ยนแล้วได้ใน 3 กระบี่เช่นกัน
พลังฝีมือของเหลิ่งอิงนั้น พวกมันลัทธิอารามทมิฬได้สืบทราบจนรู้ซึ้งดีแต่แรก…
ทันทีที่เหลิ่งอิงทะลวงผ่านมาถึงขอบเขตเซียนสวรรค์ 7 เปลี่ยน พวกมันประเมินพลังฝีมือเหลิ่งอิงไว้ว่าสูงทัดเทียมกับชิงหั่ว และเหนือกว่าหงอวิ๋นอย่างเห็นได้ชัด เรียกว่าไม่ได้ด้อยไปกว่าจ้าวลัทธิอารามทมิฬของพวกมันเลย…
ทว่าตัวตนดังกล่าวกลับพ่ายแพ้ต้วนหลิงเทียนใน 3 กระบี่!
ต้องทราบด้วยว่ากระทั่งในลัทธิอารามทมิฬ พญามังกรเสื้อม่วงกับจ้าวพยัคฆ์ขาวก็ไม่กล้าพูดว่าจะเอาชนะเหลิ่งอิงที่ทะลวงถึงเซียนสวรรค์ 7 เปลี่ยนแล้วได้ใน 3 กระบี่ด้วยซ้ำ!
เช่นนั้นพวกมันจึงประเมินพลังฝีมือต้วนหลิงเทียนได้ชัด
ไม่อ่อนด้อยไปกว่าพญามังกรเสื้อม่วงกกับจ้าวพยัคฆ์ขาวแม้แต่นิดเดียว กระทั่งยังจะเหนือกว่าอีกด้วย!
ด้วยเหตุนี้ทำให้พวกมันหาตัวช่วยจากนอกลัทธิ
สุดท้ายก็ทำข้อตกลงกับ เหาฉ่วง ยอดฝีมืออันดับ 5 ในรายนามยอดเซียนยังได้รับการขนานนามว่ามือหนึ่งใต้เซียนสวรรค์ 9 เปลี่ยน!
ในสายตาของพวกมัน…
ต้วนหลิงเทียนนั้นร้ายกาจ แต่หากจะเทียบกับเหาฉ่วงแล้ว ย่อมต้องอ่อนด้อยกว่าแน่นอน!
เหาฉ่วงเพียงคนเดียว ก็สยบต้วนหลิงเทียนได้ไม่ยากเย็น!
ซูว! ซูว! ซูว!
…
สิ้นคำกล่าวของจ้าวพยัคฆ์ขาวว คนลัทธิบูชาไฟทั้งหมดยกเว้นต้วนหลิงเทียนก็หน้าเปลี่ยนสีไปทันที
ที่แท้คนของลัทธิอารามทมิฬได้วางแผนไว้แต่แรกแล้ว!
เป้าหมายของพวกมันมีเพียง ‘ผู้พิทักษ์หลิงเทียน’ คนเดียวเท่านั้น!
ที่สำคัญถ้าคิดต่อต้านแม้จะไม่ถึงขั้นฆ่าแกง ทว่าคนของลัทธิอารามทมิฬก็คิดลงมือทุบตีสั่งสอนคนของลัทธิบูชาไฟให้หลาบจำเช่นกัน!
“เหาฉ่วง!”
ผู้พิทักษ์สื่อเฟิงหันไปมองจ้องเหาฉ่วงตาดุ กล่าวออกด้วยน้ำเสียงเข้มขรึม “ผู้พิทักษ์หลิงเทียนคือคนที่ท่านจ้าวลัทธิของพวกเราออกปากว่าจะปกป้องถึงที่สุด…”
“กระทั่งเพื่อผู้พิทักษ์หลิงเทียนแล้วท่านจ้าวมิลังเลที่จะสู้แตกหักกับอาวุโสสูงสุดลัทธิอารามทมิฬ…”
“เจ้าลองคิดเอาเองเถอะ…หากวันนี้เจ้าช่วยลัทธิอารามทมิฬทำร้ายหรือจับตัวผู้พิทักษ์หลิงเทียนของเรา นั่นเท่ากับเจ้าเพาะสร้างความแค้นกับท่านจ้าวลัทธิของเรา!”
“เรื่องที่ท่านจ้าวลัทธิของเราจะบันดาลโทสะสังหารเจ้าก็มิใช่เรื่องยาก!”
ไม้อ่อนไม่ได้ก็ใช้ไม้แข็ง!
ทีท่าของสื่อเฟิงกลายเป็นแข็งกร้าวไม่คิดอ่อนข้ออีกต่อไป
สีหน้าเหาฉ่วงยังมืดลงทันใดเมื่อได้ยินวาจาข่มขู่ของสื่อเฟิง
“ไม่ผิด!”
เหลิ่งอิงยังสมทบมาติดๆ “เหาฉ่วงเจ้าต้องคิดให้ดี…ย้อนกลับไปตอนที่ท่านจ้าวลัทธิของเรายังมีพลังฝึกปรือทัดเทียมกับเจ้า ตัวเจ้าก็ปราชัยท่านจ้าวลัทธิมาแล้ว”
“ตอนนี้เมื่อพลังฝึกปรือท่านจ้าวลัทธิของเราทะลวงถึงเซียนสวรรค์ 9 เปลี่ยน ย่อมหมายความว่าคิดฆ่าเจ้าก็ง่ายดายไม่ต่างใดจากตัดหญ้าฆ่าไก่!”
“เว้นเสียแต่เจ้าจะไปหาที่ซ่อนตัวให้ดี…หาไม่แล้วหากท่านจ้าวลัทธิหาตัวเจ้าเจอเมื่อใด เกรงว่าคงเหลือทางตายสถานเดียว!”
วาจาเหลิ่งอิงแม้ฟังแล้วเสมือนกล่าวชี้แนะเหาฉ่วง แต่ฟังให้ดีจะพบว่าไม่ขาดความคุกคามขู่ข่มแม้แต่น้อย!
“หึ!”
ตอนนี้เองจ้าวลัทธิอารามทมิฬพลันพ่นลมสบถเสียงเย็นออกมาอีกครั้ง กล่าวออกด้วยน้ำเสียงรังเกียจ “ผู้พิทักษ์สื่อเฟิง ผู้พิทักษ์เหลิ่งอิง…พวกเจ้าอาจยังไม่ทราบ แต่ท่านผู้อาวุโสสูงสุดของพวกเราใด้สัญญากับพี่เหาไว้แล้ว ว่าจักอยู่ปกป้องพี่เหาจนทะลวงผ่านไปยังขอบเขตเซียนสวรรค์ 9 เปลี่ยน!”
“ตอนนี้ด่านพลังฝึกปรือของพี่เหา เรียกว่าห่างเซียนสวรรค์ 9 เปลี่ยนแค่ครึ่งก้าวเท่านั้น…คิดทะลวงผ่านก็คงใช้เวลาอีกไม่นานนัก…กระทั่งพี่เหายังมั่นใจว่าสามารถทะลวงได้ภายใน 10 ปี!”
“รอให้พี่เหาทะลวงถึงเซียนสวรรค์ 9 เปลี่ยนก่อนเถอะ ถึงตอนนั้นแม้ในแง่ความเร็วพี่เหาจะสู้จ้าวลัทธิของพวกเจ้าไม่ได้…แต่เพียงป้องกันตัวเองหรือจะยังทำไม่ได้!?”
วาจาต่อมา ขณะกล่าวจ้าวลัทธิอารามทมิฬก็แสยะยิ้มเหี้ยมเกรียมนัก!
ทันใดนั้นสีหน้าผู้พิทักษ์ทั้งอาวุโสเพลิงทองของลัทธิบูชาไฟเปลี่ยนเป็นมืดลงทันใด
“เหาฉ่วง นี่เจ้าใกล้ทะลวงผ่านไปยังเซียนสวรรค์ 9 เปลี่ยนแล้ว?”
คนลัทธิบูชาไฟแทบทั้งหมดหันไปมองจ้องเหาฉ่วงด้วยสายตาหวั่นเกรงทันที ยังเผยทีท่าตึงเครียดถึงขีดสุด!
เพราะหากเรื่องที่จ้าวลัทธิอารามทมิฬกล่าวเป็นความจริง…
เช่นนั้นไม่ใช่ตอนนี้เหาฉ่วงกล่าวได้ว่าเป็น ครึ่งก้าวเซียนสวรรค์ 9 เปลี่ยนแล้วหรือไร!?
“หึ! ตราบใดที่ข้าเหาฉ่ววงทะลวงถึงเซียนสวรรค์ 9 เปลี่ยน ไหนเลยยังต้องกลัวจ้าวลัทธิบูชาไฟของพวกเจ้าอีก?”
เมื่อจ้าวลัทธิอารามทมิฬกล่าวจบคำ เหาฉ่วงก็กวาดตามองทั้งหมด เชิดหน้าขึ้นกล่าวออกเสียงเย็น “ผู้พิทักษ์สื่อเฟิง ผู้พิทักษ์เหลิ่งอิง…บางทีแม้ถึงตอนนั้นข้าอาจจะยังอ่อนด้อยกว่าจ้าวลัทธิของพวกเจ้า…”
“แต่ถ้ามันกล้าทำร้ายข้า…ขอเพียงมันฆ่าข้าไม่ตาย ข้าจะเอาคววามแค้นทั้งหมดไปลงกับลัทธิบูชาไฟของพวกเจ้า!”
“ข้าจะคอยดู…ว่าถ้ามันไม่มั่นใจว่าจะฆ่าข้าได้จริงๆ มันยังจะกล้าลงมือทำอะไรข้า เหาฉ่วง หรือไม่”
เหาฉ่วงกล่าวออกมาเสียงดังฟังชัด เป็นอะไรที่มั่นใจอย่างมาก!
ส่วนด้านคนของลัทธิบูชาไฟนั้น ตอนนี้ในปากบังเกิดรสชาติยากจะกลืนลงคอ!
บรรยากาศโดยรอบเปลี่ยนเป็นอึมครึมตึงเครียดขึ้นมาทันที
“ฮ่าๆๆ…”
ทันใดนั้นเองเสียงหัวเราะด้วยความขบขันพลันดังขึ้นเบาๆ ไม่ได้เข้ากับบรรยากาศแม้แต่นิดเดียว!
เสียงหัวเราะนี้จึงดึงดูดความสนใจของทุกคนได้ทันที
และพอพวกมันหันไปมองต้นเสียง ก็พบว่าผู้ที่หัวเราะออกมาไม่ใช่ใครที่ไหน แต่เป็น ต้วนหลิงเทียน นั่นเอง!
“เจ้าหัวเราะอะไร?”
สายตาคมกล้าของเหาฉ่วงจับจ้องมองไปยังร่างต้วนหลิงเทียนโดยพลัน ยังดุร้ายเอาเรื่องนัก! กล่าวถามออกเสียงแข็ง!!
“ข้าหัวเราะอะไร? ก็ไม่อะไรหรอก…”
ต้วนหลิงเทียนค่อยๆสงบลง หลังจากหยุดหัวเราะก็มองเหาฉ่วงปราดหนึ่งค่อยละสายตาไปกวาดมองคนของลัทธิอารามทมิฬทุกคน “งั้น…สรุปว่า วันนี้ข้าจะถูกลัทธิอารามทมิฬพาตัวไปฆ่าแกงหรือไม่ กุญแจสำคัญ ก็อยู่ในมือเหาฉ่วงคนเดียวสินะ?”
“ว่าแต่…เจ้า เหาฉ่วง คิดลงมือกับข้าจริงๆ?”
วาจาประโยคท้ายต้วนหลิงเทียนก็หันกลับมามองถามเหาฉ่วง พลางโค้งคิ้วขึ้น
“ทำไม? เจ้ากลัวแล้ว?”
เหาฉ่วงหัวเราะอำมหิต
“กลัว?”
ต้วนหลิงเทียนฉีกยิ้ม ยิ่งมายิ่งกว้างสุดท้ายก็ระเบิดเสียงหัวเราะออกมาอีกครั้ง
และในขณะที่ระเบิดเสียงหัวเราะนั้นเอง ชุดคลุมของเขากก็เริ่มโบกสะบัดขึ้นมาแม้ไร้ลม ครู่ต่อมาตามตัวก็ปรากฏเกล็ดมากมายผุดโผล่ขึ้นเรียงตัวละเอียดนัก…
หากมองใกล้ๆ นั่นไม่ใช่เกล็ดมังกรหรือไร?!
หลังจากนั้นไม่ถึงครึ่งลมหายใจ เสื้อต้วนหลิงเทียนก็เริ่มฉีกขาด ปรากฏร่างน่ากลัวให้ทุกคนได้ยลโฉม พริบตามองไปคนก็ไม่คล้ายผู้คนอีกต่อไป ราวกับสัตว์ประหลาดผสมระหว่างมนุษย์กับมังกร!
และหากสังเกตให้ดี จะพบว่ามือเท้าของผู้คนบัดนี้ ได้แปรเปลี่ยนไปเป็นอุ้งมือทั้งกรงเล็บมังกรเรียบร้อยแล้ว ที่สำคัญที่สุดแต่ละข้างยังมีถึง 9 กรงเล็บ!!
เป็นนักรบมังกร 9 กรงเล็บ!!
ร่างต้วนหลิงเทียนที่อยู่ๆก็อุบัติความเปลี่ยนแปลงไปดั่งสายฟ้าฟาดนั้น เผยให้เห็นชัดถึงเรื่องหนึ่ง…
เผชิญหน้ากับเหาฉ่วง แม้ทีท่าเขาดูสบายๆ แต่ที่จริงแล้วเขาระวังมันไม่น้อย!
หาไม่แล้วเขาคงไม่เลือกที่จะแปลงเป็นนักรบมังกร 9 กรงเล็บตั้งแต่แรกแบบนี้!
ต้องทราบด้วยว่าไม่ว่าจะเป็นตอนที่เขาฆ่าเซวี่ยคังฉวิน จ้าวราชสีห์ขนทองแห่งลัทธิอารามทมิฬ หรือประมือกับจ้าวหอคุมกฏอย่างเหลิ่งอิง เขาก็ไม่เคยแปลงกายเป็นนักรบมังกร 9 กรงเล็บเลย!
ถึงแม้ว่าการแปลงร่างเป็นนักรบมังกร 9 กรงเล็บ จะไม่ทำให้ระดับพลังของเขาเพิ่มพูนสูงขึ้นมากมาย แต่ความแข็งแกร่งทางกายภาพของเขาก็แปรเปลี่ยนไปไม่ใช่น้อย!
เผยให้เห็นว่า ที่เขาแปลงกายเป็นนักรบ 9 มังกรเพื่อเตรียมพร้อมไว้แต่แรกแบบนี้ เพราะให้ความสำคัญกับศัตรูอย่างเหาฉ่วงไม่ใช่เล่น!
“นักรบมังกร 9 กรงเล็บ!!”
เมื่อเห็นต้วนหลิงเทียนแปลงกายเป็นนักรบมังกร ทั้งแลเห็นว่าต้วนหลิงเทียนยังมีถึง 9 กรงเล็บ ลูกตาของทุกผู้คนที่อยู่ในจุดเกิดเหตุพลันหดหยีลงทันใด!