War sovereign Soaring The Heavens - ตอนที่ 2283
ตอนที่ 2,283 : อวิ๋นฟู่เหย่
“เฮ่! อย่าบอกนะว่านี่เจ้าเคยเจอนายน้อยตำหนักเมฆาครามจริงๆ!?”
“หวงเจิ้ง เจ้าพบมันที่ใด!? ใช่ยังมีเบาะแสที่อยู่ของมันหรือไม่!? หากมีจริงเจ้าสามารถเอามันไปมอบให้จ้าววังวิญญาณอสุรา! ที่นี้จ้าววังวิญญาณอสุราได้ตบรางวัลใหญ่ให้เจ้าแน่!!”
ศิษย์ลาดตระเวนทั้ง 2 ที่มองหวงเจิ้งด้วยสายตาลุกวาว เร่งกล่าวกันออกมาอย่างตื่นเต้น
“ข้าเคยเห็นคนในภาพเหมือนนี่ก็จริง แต่…”
หวงเจิ้งกล่าวออกมา ทว่าไม่ทันได้พูดจบคำก็ถูกสหายขัดเสียก่อน
“แต่เจ้าไม่รู้ที่อยู่ของมันงั้นเหรอ…กระทั่งเบาะแสว่ามันอยู่ที่ใดก็ไม่มี?”
หนึ่งในศิษย์ลาดตระเวนกล่าวออกมาด้วยความเสียดาย สีหน้ายังเผยความผิดหวังไม่น้อย “ถ้างั้นก็น่าเสียดายจริงๆ…หากเจ้ามีเบาะแสก็เป็นการดีที่จะไปแจ้งเรื่องราว แต่ถ้าไร้เบาะแสใดๆมันก็มิมีประโยชน์”
“นั่นสิ”
ศิษย์ลาดตระเวนอีกคนพยักหน้าเห็นด้วย
“พวกเจ้าว่า…ในโลกใบนี้ใช่มีผู้คน 2 คนที่มีทั้งหน้าตาและชื่อแซ่เหมือนกันดำรงอยู่หรือไม่?”
หวงเจิ้งเมินวาจาทีท่าเสียดายของสหายร่วมหน่วยลาดตระเวนทั้งสอง ก่อนที่จะกล่าวคำถามนี้ออกมา
“คนที่มีหน้าตาและชื่อแซ่เหมือนกันงั้นเหรอ?”
หนึ่งในศิษย์ลาดตระเวนอดไม่ได้ที่จะผงะไป
“เหอะๆ…เรื่องแบบนั้นมันจะไปมีได้ยังไงเล่า!”
ศิษย์ลาดตระเวนอีกคนส่ายหัวไปมาทั้งบอกปัด “คนเราอาจมีบ้างที่มีหน้าตาละม้ายคล้ายกัน ส่วนนามนั้นย่อมมีซ้ำกันไม่น้อยเป็นธรรมดา…แต่ถ้าเจ้าจะหาผู้คนที่ชื่อเหมือนกันไม่พอแต่กระทั่งใบหน้ายังเหมือนกันล่ะก็ ถึงจะมีแต่ก็คงหาได้ยากยิ่งนัก”
“ยังไม่ต้องกล่าวถึงเรื่องที่คนมีหน้าตาเหมือนกันแต่มีชื่อเดียวกันจะมีอยู่จริงหรือไม่ด้วยซ้ำ…”
“จริงอยู่ที่ว่าโอกาสเป็นไปได้นั้นก็ยังมี…หากพวกมันเป็นพี่น้องฝาแฝดกันแล้วจงใจใช้นามเหมือนกัน หรือพี่น้องฝาแฝดที่พลัดพรากกันแต่เกิดแล้วบังเอิญมีนามเหมือนกัน…นอกเหนือจากนี้ข้าก็ไม่เห็นความเป็นไปได้อย่างอื่นอีก”
ศิษย์ลาดตระเวนอีกคนกล่าวออก และคำพูดก็มีเหตุผลไม่น้อย
“แล้วถ้าหนึ่งในนั้นเป็นมนุษย์…แล้วอีกหนึ่งเป็นเผ่าปีศาจมนุษย์เล่า?”
หวงเจิ้งคลี่ยิ้มขื่นขม
“มนุษย์? ปีศาจมนุษย์? หวงเจิ้ง นี่เจ้าคิดจะพูดอะไรกันแน่?”
คิ้วศิษย์ลาดตระเวนทั้ง 2 ขดย่นเป็นปม
และหนึ่งในนั้นคล้ายนึกอะไรขึ้นได้ ลูกตามันหดเล็กลงทันที
มันถึงกับต้องสูดลมหายใจเข้าลึกๆด้วยความหนาวเหน็บ มองถามหววงเจิ้งไปด้วยสีหน้าประหลาดใจ “หวงเจิ้ง…เจ้าถามเรื่องนี้…คงมิใช่ว่า…นายน้อยตำหนักเมฆาครามนั่น ไม่เพียงมีชื่อเดียวกันกับท่านรองจ้าววังคนใหม่ของวังเซียนสัญจรเรา แต่กระทั่งใบหน้ายังเหมือนกันหรอกนะ!?”
“ไม่จริงน่า!!”
ศิษย์ลาดตระเวนอีกคนพอได้ฟังก็ถึงกับอุทานออกมาด้วยความเหลือเชื่อ
“มิผิด!”
หวงเจิ้งพยักหน้าลงด้วยรอยยิ้มเจื่อนๆ “พวกเจ้าก็น่าจะเคยได้ยินมาแล้ว…ว่าในตอนที่ท่านรองจ้าววังเซียนสัญจรคนใหม่ของพวกเราพึ่งมาถึงวังเซียนสัญจรวันแรกและได้ลงมือฆ่าอาวุโสหลินหย่วนไป ข้าก็อยู่ในที่เกิดเหตุด้วย…เช่นนั้นข้าจึงรู้ว่าหน้าตาของท่านรองจ้าววังเป็นเช่นไร…”
“และรูปร่างหน้าตาของท่านก็เหมือนกันกับคนในรูปเหมือนที่เจ้าเอาออกมาราวกับแกะ…แต่ทว่าเจ้าบอกว่าในรูปเหมือนของเจ้านั้น ก็คือนายน้อยตำหนักเมฆาคราม ต้วนหลิงเทียน!”
“หากเพียงแค่รูปลักษณ์เหมือนกันยังพอทำเนา…แต่ปัญหาก็คือท่านรองจ้าววังคนใหม่ของพวกเรา กลับมีนามว่าต้วนหลิงเทียนด้วย!”
จากนั้นสีหน้าของหวงเจิ้งก็เผยความเหลือเชื่อออกมา
“บ้าน่า…!!”
ทันใดนั้นศิษย์ลาดตระเวนอีก 2 คนก็ตกตะลึงไปไม่ต่าง
รองจ้าววังเซียนสัญจรคนใหม่ของพวกมัน ไม่เพียงมีชื่อแซ่เหมือนกันกับนายน้อยตำหนักเมฆาครามคนนั้น แต่กระทั่งหน้าตายังเหมือนกันราวกับแกะ?
นี่มัน…
จะมีเรื่องบังเอิญขนาดนี้ด้วยหรือ?
“หากนี่มิใช่เรื่องบังเอิญ…เช่นนั้นก็มีความเป็นไปได้เพียงประการเดียวเท่านั้น…”
สุดท้ายศิษย์ลาดตระเวนที่เปิดประเด็นเรื่องนี้ขึ้นมา ก็หยิบรูปเหมือนขึ้นมามองอีกครั้ง ค่อยกล่าวออกเสียงขรึม “รองจ้าววังเซียนสัญจรคนใหม่ของพวกเรา กับนายน้อยตำหนักเมฆาครามผู้นี้…เป็นคนๆเดียวกัน!”
“กล่าวได้ว่า…มันคือนายน้อยตำหนักเมฆาคราม! แล้วที่มันมาเข้าร่วมวังเซียนสัญจรของพวกเรา ก็สมควรมีแผนการบางอย่างแน่!!”
วาจาท้ายประโยคของศิษย์ลาดตระเวนคนนี้ เผยความคาดหมายอันน่ากลัวหนึ่ง
“หากเป็นเช่นนั้นจริง…มิใช่วังเซียนสัญจรของพวกเรามีสายลับของพวกมนุษย์เข้ามาแฝงตัวอยู่รึไร!?”
ศิษย์ลาดตระเวนอีกคนอดสูดลมหายใจเข้าด้วยความหนาวเหน็บไม่ได้ สีหน้าท่าทางยังเผยความหวาดกลัวออกมา
“เป็นไปได้อย่างยิ่ง!”
หวงเจิ้งกล่าวออกด้วยสีหน้าเคร่งขรึม ลูกตาของมันหดหยีลง คลี่ยิ้มขื่นขมกล่าวว่า “แล้วตอนนี้พวกเราจักทำอย่างไรกันดี ถึงแม้มัน 9 ใน 10 สมควรเป็นนายน้อยตำหนักเมฆาคราม…หากแต่อย่างไรตอนนี้มันก็มีตำแหน่งถึงรองจ้าววัง อาศัยคนฐานะต่ำต้อยอย่างพวกเราทั้ง 3 ข้าเกรงว่าคงมิมีผู้ใดเชื่อคำของพวกเราหรอก?”
“ไม่ได้การแล้ว! นี่เป็นเรื่องที่เกี่ยวพันถึงความปลอดภัยของวังเซียนสัญจรเราถึงแม้ว่าเสียงของพวกเรา 3 คนจักไร้น้ำหนัก แต่พวกเราก็ต้องเปิดโปงเรื่องนี้ออกไป!!”
ศิษย์ลาดตระเวนอีกคนกล่าวออกเสียงหนัก
“ที่สำคัญเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องเล็กน้อย อย่างไรพวกเราก็ต้องเปิดโปงออกไป! เป็นการดีที่สุดที่พวกเราจะเอาเรื่องนี้ไปแจ้งให้ท่านจ้าววังล่วงรู้…เพราะตอนนี้ในวังเซียนสัญจรของพวกเรา ผู้ที่สามารถรับมือรองจ้าววังจอมปลอมนั่นได้มีเพียงท่านจ้าววังคนเดียวเท่านั้น!!”
ศิษย์ลาดตระเวนคนสุดท้ายก็กล่าวออกด้วยน้ำเสียงตึงเครียด
หลังจากนั้นศิษย์ลาดตระเวนทั้ง 3 ที่หารือกันอยู่อีกพักหนึ่ง ก็ตัดสินใจนำความนี้ไปแจ้งจ้างวังเซียนสัญจร
นั่นเพราะ 9 ใน 10 รองจ้าววังคนใหม่ของพวกมัน ก็คือนายน้อยตำหนักเมฆาคราม ต้วนหลิงเทียน ที่ได้ลอบแฝงตัวเข้ามาด้วยมีแผนการร้ายอะไรบางอย่างกับวังเซียนสัญจรของพวกมัน!
เมื่อตัดสินใจได้แล้ว ทั้ง 3 ก็ไม่กล้ารอช้าอีก ละทิ้งหน้าที่ลาดตระเวนแล้วเร่งเหินร่างไปยังเขตที่พักของจ้าววังเซียนสัญจร อวี่เหวินฮ่าวเฉินทันที
หากแต่พวกมันก็ทำได้แค่หยุดลงหน้าเขตที่พักไกลๆเท่านั้น
นั่นเพราะพวกมันพึ่งเหินร่างมาถึงที่นี่ได้ไม่ทันไร ก็ถูกผู้อาวุโสที่ทำหน้าที่ลาดตระเวนหยุดขวางเอาไว้
“หวงเจิ้งพวกเจ้าทั้ง 3 ไฉนรีบร้อนมาที่นี่?”
ในฐานะผู้อาวุโสลาดตระเวนคนหนึ่ง มันย่อมจดจำหวงเจิ้งกับอีก 2 คนได้เป็นธรรมดา
“เรียนท่านผู้อาวุโสโหวเฟิง พวกเรามีเรื่องด่วนต้องเข้าพบท่านจ้าววังโดยเร็วที่สุด!”
ตอนนี้หวงเจิ้งย่อมตระหนักถึงความร้ายแรงของสถานการณ์ดี เช่นนั้นน้ำเสียงของมันจึงเผยความรีบร้อนไม่น้อย
“ช่วงนี้ท่านจ้าววังยังอยู่ในการปิดด่าน…”
อาวุโสลาดตระเวนชักหน้าเคร่งโบกมือพลางกล่าวเสียงหนัก “มิว่าจักเป็นเรื่องด่วนเพียงใด ก็จำต้องรอให้ท่านจ้าววังออกจากการปิดด่านเสียก่อนค่อยรายงาน!”
“ท่านผู้อาวุโสโหวเฟิง! เรื่องนี้เกี่ยวพันถึงความอยู่รอดของวังเซียนสัญจรของพวกเรา! เพื่อให้วังเซียนสัญจรมิพบหายนะพวกเราจำต้องเข้าพบท่านจ้าววังโดยเร็วที่สุด!!”
หวงเจิ้งย่อมเป็นกังวลไม่น้อยเมื่อได้ยินคำปฏิเสธของอาวุโสลาดตระเวน มันเร่งกล่าวออกอย่างตรงไปตรงมาว่าไฉนถึงต้องรีบร้อนเข้าพบจ้าววัง เรื่องความเป็นความตายของวังเซียนสัญจรเช่นนี้มันไม่อาจรอช้าได้!
“อันใด? เกี่ยวพันถึงความอยู่รอดของวังเซียนสัญจรเราเลยรึ?”
ได้ยินคำพูดของหวงเจิ้งอาวุโสลาดตระเวนก็กล่าวประชด ทั้งรู้สึกอยากจะหัวเราะเราะออกมานัก ทว่าศิษย์ลาดตระเวนอีก 2 คนที่มากับหวงเจิ้งเร่งกล่าวขัดขึ้นมาเสียก่อน
“อาวุโสโหวเฟิง หวงเจิ้งมันมิได้กล่าววเรื่องเหลวไหล! เรื่องที่มันคิดไปรายงานให้ท่านจ้าววังรับรู้ยามนี้ เกี่ยวพันกับความเป็นความตายของคนในวังเซียนสัญจรเราทุกคน!!”
“ใช่แล้วท่านอาวุโสโหวเฟิง เรื่องนี้มิอาจล่าช้าได้ หากเกิดเรื่องขึ้นมา วังเซียนสัญจรของพวกเรามิอาจแบกรับความเสียหายได้แน่!!”
ศิษย์ลาดตระเวนทั้ง 2 เร่งกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียดทีท่าร้อนรนทั้งเป็นกังวลอย่างหนัก พาลให้อาวุโสลาดตระเวนถึงกับต้องขมวดคิ้ว
“ที่แท้มันเป็นเรื่องอะไรกันแน่!?”
ผู้อาวุโสหน่ววยลาดตระเวนกล่าวถามออกเสียงหนัก แววตายังคมกล้าเผยประกายดุร้าย “หากเจ้ามิพูดออกมาให้ชัดเจนว่านี่มันเรื่องอันใดกันแน่ ข้าก็มิอาจไปรบกวนการปิดด่านบ่มเพาะของท่านจ้าววังให้พวกเจ้าได้…เพราะหากท่านจ้าววังคิดคาดโทษขึ้นมา คนที่จะตายย่อมเป็นข้า!!”
“ท่านผู้อาวุโสโหวเฟิง เรื่องมันเป็นเช่นนี้…”
ตอนนี้หวงเจิ้งย่อมรู้ดี หากไม่อธิบายเรื่องราวให้ละเอียด เกรงว่าคงไม่มีโอกาสได้พบเจอจ้าววังเป็นแน่ เช่นนั้นมันจึงเล่ารายละเอียดของเรื่องราวทั้งหมดให้โหวเฟิงฟัง
ศิษย์หนึ่งในหน่วยลาดตระเวนที่เหลือก็หยิบม้วนภาพขึ้นมาคลี่กาง
เป็นภาพเหมือนของต้วนหลิงเทียน!
“ข้าเองก็เคยเห็นภาพเหมือนนี้ตอนออกไปนอกวังเมื่อไม่กี่วันก่อน และมันเป็นภาพเหมือนของนายน้อยตำหนักเมฆาคราม…ว่าแต่เจ้ามั่นใจแน่หรือ ว่าท่านรองจ้าววังคนใหม่ของพวกเรามีหน้าตาเหมือนกันกับบุคคลในภาพวาดนี้ราวกับแกะ?”
เมื่อได้รับทราบเรื่องราวจากปากของทั้ง 3 แล้ว อาวุโสลาดตระเวนก็ตระหนักได้ถึงความร้ายแรงของสถานการณ์เช่นกัน สีหน้าท่าทีของมันแปรเปลี่ยนเป็นจริงจังทั้งตึงเครียดทันที
อย่างไรก็ตามมันจำต้องกล่าวถามยืนยันออกมาอีกครั้ง
“เรียนท่านผู้อาวุโสโหวเฟิง ข้าเองก็อยู่ที่นั่นยามรองจ้าววังคนใหม่ของพวกเราลงมือสังหารอาวุโสหลินหย่วนเมื่อสองปีก่อน…รูปร่างหน้าตาของมันตัวข้าย่อมจดจำได้ไม่มีลืมเลือน ยังเหมือนกับคนในภาพวาดนี้ทุกประการ!!”
“หากท่านผู้อาวุโสโหวเฟิงมิเชื่อคำของข้าน้อย…ท่านสามารถเรียกศิษย์ลาดตระเวนนาม ติงเจี้ยนหง และคนอื่นๆที่อยู่ในเหตุการณ์วันนั้นมาสอบถามหาความก็ได้ขอรับ เพราะพวกมันเองก็ได้เห็นหน้าค่าตาของรองจ้าววังคนใหม่ชัดเหมือนกันกับข้า!”
หลังหวงเจิ้งกล่าวประโยคนี้ออกมา มันก็รู้สึกกังวลเล็กน้อย “แน่นอนว่าหากท่านอาวุโสโหวเฟิงคิดว่ามันยุ่งยากลำบาก…ข้าน้อยยินดีกล่าวคำสาบานต่อทัณฑ์สวรรค์เก้าเก้าเพื่อพิสูจน์ว่าข้ามิได้กล่าวคำเท็จ!”
และแทบจะทันทีที่หวงเจิ้งกล่าวจบคำ มันก็กรีดนิ้วหลั่งโลหิตและเอ่ยคำสาบานต่อทัณฑ์สวรรค์เก้าเก้าออกมาทันที
“ข้า หวงเจิ้ง วันนี้ขอสาบานต่อทัณฑ์สวรรค์เก้าเก้า ว่าหากข้ามิได้เห็นว่ารองจ้าววังคนใหม่ ต้วนหลิงเทียน มีใบหน้าเหมือนกันกับ ต้วนหลิงเทียน นายน้อยตำหนักเมฆาครามในรูปเหมือนนี้จริงๆ ข้ายินดีให้อัสนีสวรรค์พิฆาตร่างตายตก!!”
ทันทีที่เสียงกล่าวหวงเจิ้งดังจบคำ
เปรี๊ยง! เปรี๊ยง! เปรี๊ยง! เปรี๊ยง!…
…
ทันใดนั้นเสียงอัสนีฟาดผ่าพลันดังขึ้น 9 คำรบสนั่นหวั่นไหว ประหนึ่งจะกลั่นแกล้งให้โลกหล้าตกใจ
และมันคือเสียงฟาดผ่าของอัสนีทัณฑ์สวรรค์เก้าเก้า ที่ขานรับคำสาบานของหวงเจิ้ง!
เมื่อตัวหวงเจิ้งยังอยู่ดีมีสุขมิได้ถูกอัสนีฟ้าฟาดผ่าจนตายตก ย่อมหมายความว่าทุกถ้อยคำวาจาที่มันกล่าวสาบานล้วนเป็นความจริง!
อย่างน้อยๆตอนนี้โหวเฟิงก็เชื่อคำพูดหวงเจิ้ง!
“ผู้ใดหาญกล้าเอ่ยคำสาบานต่อทัณฑ์สวรรค์เก้าเก้ารบกวนการปิดด่านบ่มเพาะของท่านอาจารย์ข้า?”
และแทบจะพร้อมกันกับที่เสียงอัสนีฟ้าลั่นดังจบ 9 คำรบ ก็พลันปรากกฏเสียงเปี่ยมโทสะหนึ่งดังขึ้นจากคฤหาสน์หลังใหญ่เบื้องหน้าไกลตา และเสียงดังกล่าวยังทำให้สีหน้าของโหวเฟิง อาวุโสลาดตระเวนซีดลงด้วยความหวาดกลัว!
ฟุ่บ!!
และแทบจะพร้อมกันกกับที่เสียงเปี่ยมโทสะดังสิ้นคำ ก็ประหนึ่งมีสายลมแรงพัดกรรโชกตีเข้าใบหน้าทั้ง 4! ปรากฏร่างหนึ่งผุดโผล่ขึ้นเบื้องหน้าหวงเจิ้งและคนทั้งหมด!!
เป็นชายหนุ่มที่มาในชุดคลุมสีน้ำเงินแลดูกำยำแข็งแกร่งพร้อมใบหน้าหล่อเหลา เพียงมันปรากฏตัวกลิ่นอายที่แผ่ออกทั่วร่างก็พาลให้หวงเจิ้งและคนอื่นๆรู้สึกหวาดกลัวขึ้นมาจากก้นบึ้งของใจ
“ผู้น้อยคารวะรองจ้าววัง!”
“ผู้น้อยคารวะรองจ้าววัง!”
…
หลังได้เห็นร่างผู้มาใหม่หวงเจิ้งและคนอื่นๆก็โค้งคารวะอีกฝ่ายด้วยความนอบน้อม น้ำเสียงยังมากล้นไปด้วยความเคารพ
“เป็นผู้ใด…ที่มันหาญกล้ากล่าวคำสาบานต่อทัณฑ์สวรรค์เก้าเก้า!?”
สายตาชายหนุ่มในชุดคลุมสีน้ำเงินกวาดผ่านร่างโหวเฟิงและพวกหวงเจิ้งทีละคนๆ ด้ววยสายตาที่คมกล้าปานมีดดาบ ทำให้ทั้งหมดอดไม่ได้ที่จะบังเกิดความหวาดกลัวจับใจ
พวกมันไม่อาจไม่กลัว!
นั่นเพราะชายหนุ่มในชุดคลุมสีน้ำเงินเบื้องหน้าผู้นี้ก็คือชนชั้นรองจ้าววังของวังเซียนสัญจรคนหนึ่ง! กระทั่งยังเป็นรองจ้าววังอันดับ 1 ที่สำคัญนอกจากมีมีฐานะเป็นรองจ้าววังแล้ว…มันยังเป็นถึงศิษย์เอกของ อวี่เหวินฮ่าวเฉิน จ้าววังเซียนสัญจร!!
อวิ๋นฟู่เหย่!