War sovereign Soaring The Heavens - ตอนที่ 2402
ตอนที่ 2,402 : ความหวังในการย้อนกลับไปยังโลก!
“เจ้า…ไฉนเจ้าถึงได้รู้นามที่แท้จริงของท่านบรรพชนผู้ก่อตั้งสำนักเทียนซือของข้าได้เล่า?”
จางยี่อดไม่ได้ที่จะตกตะลึงอึ้งไปเมื่อได้ยินคำถามนี้ของต้วนหลิงเทียน
ต้องทราบด้วยว่ากระทั่งในระนาบเหยียนหวงของมันเอง เว้นก็เสียแต่เหล่าศิษย์สาวกทั้งอาวุโสระดับสูงของสำนักเทียนซือ คนส่วนใหญ่ที่ล่วงรู้นามที่แท้ของบรรพชนผู้ก่อตั้ง ‘จางเทียนซือ’ นั้น นับว่ามีน้อยคนนัก!
กระทั่งในสำนักเทียนซือของมันเอง เหล่าศิษย์ระดับต่ำๆยังไม่ล่วงรู้นามของบรรพชนผู้ก่อตั้งด้วยซ้ำ!
ทว่าตอนนี้ต้วนหลิงเทียนกลับเอ่ยชื่อนามของบรรพชนผู้ก่อตั้งของมันออกมา!
จางเต้าหลิง!
“ฟืด~~”
ถึงแม้ต้วนหลิงเทียนจะมีเตรียมตัวเตรียมใจไว้บ้างแล้ว แต่พอได้ยินคำยืนยันจากปากจางยี่ เขายังอดสูดลมหายใจเข้าลึกๆไม่ได้!
จังหวะนี้สีหน้าท่าทีของต้วนหลิงเทียน พลันแปรเปลี่ยนไปเป็นซับซ้อนหลากอารมณ์
ตัวเขานั้นได้นึกถึงเรื่องย้อนกลับไปยังโลกเก่ามานานแล้ว…
นอกเหนือจากกลับไปแก้แค้นผู้ที่ขายเขาจนตาย เขายังคิดตอบแทนแผ่นดินเกิดด้วยการทำอะไรเพื่อให้แผ่นดินบ้านเกิดของเขาด้วยพลังสามารถที่มี…
อนิจจาเขารู้ดีว่าหนทางย้อนคืนมาตุภูมินั้นยากเย็นแสนเข็ญนัก
ฟังจากที่ผู้เฒ่าหั่วเคยบอกไว้ หากเขาคิดย้อนกลับไปยังโลกจริงๆ อย่างน้อยเขาต้องขึ้นสู่ระนาบเทวโลกเสียก่อน จากนั้นค่อยใช้มหาค่ายกลเคลื่อนย้ายข้ามระนาบ เดินทางจากระนาบเทวโลกที่เขาขึ้นไปจนไปถึง อวี้หวงเทียน ระนาบเทวโลกที่อยู่ใกล้ระนาบโลกกียะที่มีดาวโลกของเขาดำรงอยู่มากที่สุด…
และแน่นอนว่าการจะกลับลงไปยังระนาบโลกียะ และหวนคืนสู่ดาวโลกของเขา ทั้งๆที่เขาขึ้นสู่ระนาบเทวโลกไปแล้ว ก็ยังมีขั้นตอนไม่น้อย
ตั้งแต่วันนั้นหลังได้ฟังเรื่องที่ผู้เฒ่าหั่วกล่าว หนทางย้อนคืนมาตุภูมิของเขาก็เป็นอะไรที่ริบหรี่เสียเหลือเกิน
อย่างน้อยๆพลังฝึกปรือต้องบรรลุครึ่งก้าวเซียนอมตะ จนสามารถขึ้นสู่ระนาบเทวโลกให้ได้ก่อน ยังไม่นับค่าเดินทางมากมาย….
แต่ไม่คิดไม่ฝันเลยจริงๆ ว่าก่อนที่ตัวเขาจะทันได้ขึ้นสู่ระนาบเทวโลก เขากลับได้เห็น ‘ความหวัง’ ในการย้อนกลับไปยังโลกในแดนลับต่างสวรรค์แห่งนี้!
เพียงเพราะคนที่อยู่ตรงหน้าเขาตอนนี้ มาจากระนาบโลกียะเหยียนหวงที่มี ‘โลก’ ของเขาดำรงอยู่!
“ต้วนหลิงเทียน”
“น้องหลิงเทียน!”
…
เสียงตะโกนดังเข้าหูต้วนหลิงเทียนหลายสำเนียงดึงสติเขาที่เหม่อลอยและจมอยู่ในภวังค์คิดให้กลับมา เขาค่อยพบว่าไม่ว่าจะเป็นหวังฉี หลิ่วเสวี่ยรวมถึงจางยี่ ตอนนี้ก็กำลังมองเขาด้วยใบหน้าเป็นห่วง
พอเห็นว่าเขากลับมารู้สึกตัวแล้ว ทั้ง 3 ก็กล่าวถามออกมาอย่างพร้อมเพรียง “เจ้าเป็นไรหรือไม่?”
“ข้าไม่เป็นไร”
ต้วนหลิงเทียนส่ายหัวไปมา “พอดีข้านึกถึงบางเรื่องอยู่น่ะ…”
“สิ่งที่เจ้านึกถึงใช่เรื่องของสำนักเทียนซือข้าหรือไม่? ยังเกี่ยวข้องกับท่านบรรพชนผู้ก่อตั้งของสำนักข้า?”
จางยี่ถาม
จนถึงตอนนี้มันเองก็รู้สึกเหลือเชื่ออยู่บ้าง
ต้วนหลิงเทียน ผู้ที่มาจากระนาบโลกียะอื่นแท้ๆ แต่กลับล่วงรู้นามที่แท้จริงของบรรพชนผู้ก่อตั้งสำนักของมันได้!
“หือ สำนักเทียนซือ? บรรพชนผู้ก่อตั้งของสำนักเจ้า?”
ต้วนหลิงเทียนผงะไป ด้วยไม่รู้ว่าไฉนจางยี่ถึงจี้ถามเรื่องนี้ด้วยท่าทางจริงจัง เพราะเขาคิดก็แต่เรื่องจะหาทางกลับโลกอยู่เท่านั้นไม่ได้เกี่ยอะไรกับสำนักเทียนซือเลย
“อ่าว…มิใช่หรอกหรือ?”
คราวนี้เป็นตาเจียงยี่ผงะไปบ้าง “แล้วถ้ามิเกี่ยวของกับท่านบรรพชนรวมถึงสำนักข้า แล้วไฉนเจ้าถึงได้ล่วงรู้นามที่แท้จริงของท่านบรรพชนสำนักข้าได้เล่า…เจ้าต้องรู้ด้วยนะว่ากระทั่งศิษย์สำนักเทียนซือของข้าเอง ก็มีน้อยคนนักที่ล่วงรู้นามของท่านบรรพชนผู้ก่อตั้ง”
“แต่เจ้าเล่า…เจ้าเป็นคนที่มาจากระนาบโลกียะอื่นแท้ๆ แถมยังเป็นระนาบโลกียะขนาดเล็กอย่างระนาบเซียน! แล้วไฉนถึงล่วงรู้นามที่แท้จริงของท่านบรรพชนผู้กก่อตั้งสำนักข้าได้? ทั้งๆที่นามของท่านเองแทบจะเลือนหายไปกับกาลเวลาแล้ว…เจ้าช่วยบอกข้าได้หรือไม่ว่าเจ้าไปได้ยินนามนี้มาแต่ใด?”
ตอนนี้เองจางยี่ก็ไม่อาจเฉยเมยสบายๆได้อีกต่อไป
และหลังได้ฟังคำจี้ถามของจางี่ ต้วนหลิงเทียนก็ตระหนักได้ว่าเกิดอะไรขึ้น
แน่นอนว่าเขาไม่อาจพูดเรื่องชาติที่แล้วของเขาได้ เพราะมันน่าเหลือเชื่อเกินไป…
เช่นนั้นเขาจึงหาข้ออ้างแถสดออกไปว่า “พอดีข้าเคยพบเจอโครงกระดูกโครงหนึ่งในระนาบเซียนของข้าน่ะ…แล้วด้านข้างโครงกระดูกกลับมีศิลาจารึกอันมีข้อความสลักเอาไว้ว่า โครงกระดูกโครงนี้เป็นศิษย์ของสำนักเทียนซือ และบรรพชนผู้ก่อตั้งก็มีนามว่า ‘จางเต้าหลิง’ ผู้ที่ถูกเรียกหาว่าจางเทียนซือ”
“อะไรนะ!? แล้วศิลาจารึกข้างโครงกระดูกที่เจ้าพบได้สลักนามเขาไว้หรือไม่? ในตัวเล่า…ในตัวโครงกระดูกที่เจ้าเจอใช่มีป้ายอันใดอยู่หรือไม่?”
จางยี่สูดลมหายใจเข้าลึกๆเพื่อระงับความตื่นตระหนก ก่อนที่จะมองต้วนหลิงเทียนด้วยสายตาจริงจังกล่าวถามออกมาเสียงขรึมว่า “ต้วนหลิงเทียน ข้าสงสัยว่าโครงกระดูกที่เจ้าพบ สมควรเป็นโครงกระดูกของบรรพบุรุษคนหนึ่งในสำนักเทียนซือของข้า…เผลอๆอาจเป็นศิษย์สำนักเทียนซือของพวกเรา ที่บังเอิญพลัดหลงไปยังระนาบเซียนของเจ้าตอนที่แดนลับต่างสวรรค์เปิดออกเมื่อครั้งล่าสุด!”
“นามหรือ? ข้าไม่เห็นว่ามีนะ แล้วก็ในตัวไม่ได้มีป้ายอันใดเลย…”
ต้วนหลิงเทียนส่ายหัวไปมาพลางถามสืบต่อว่า “จากที่เจ้าพูดมาเมื่อครู่…หมายความว่าคนของระนาบเหยียนหวงเจ้า สามารถไปยังระนาบเซียนของข้าได้ ตอนที่แดนลับต่างสวรรค์เปิดออกเมื่อครั้งที่แล้วหรือ?”
ขณะกล่าวถาม สองตาต้วนหลิงเทียนก็ทอประกายเจิดจ้า!
อันที่จริงที่เขาถามจางยี่ออกไปแบบนี้ ก็เพื่อจะโยงไปเข้าเรื่องการเดินทางข้ามระนาบเท่านั้น!
เพราะทันทีที่เขาพบว่าแดนลับต่างสวรรค์นี้มันเชื่อมต่อกับระนาบโลกียะทั้ง 5 รวมถึงมีระนาบเหยียนหวงรวมอยู่ด้วย เขาก็บังเกิดความคิดอุกอาจประการหนึ่ง…
ไม่ใช่ว่าหากเขาค้นพบทางเข้าออกที่เชื่อมต่อระนาบเหยียนหงกับแดนลับต่างสวรรค์แห่งนี้…จะทำให้เข้าเดินทางไปยังระนาบเหยียนหวงได้หรือไร?
และหากเขาสามารถผ่านช่องทางเข้าออกที่ว่านั่นได้ ไม่ใช่ว่าเขามีหนทางย้อนกลับไปยังโลกหรอกหรือ?
“ย่อมได้แน่นอน!”
จางยี่หักหน้าพลางกล่าวว่า “ขอเพียงเจ้าค้นพบหนทางเข้าออกที่เชื่อมระหว่างระนาบต่างๆกับแดนลับต่างสวรรค์แห่งนี้ อย่าว่าแต่คนของระนาบเหยียนหวงจะไปยังระนาบเซียนของเจ้าเลย ไม่ว่าผู้คนจากระนาบใดๆในอีก 3 ระนาบที่เหลือก็ไประนาบเซียนของเจ้าได้”
“กลับกัน…เจ้าเองก็สามารถไปยังระนาบทั้ง 4 นอกเหนือจากระนาบเซียนของเจ้าได้ ขอเพียงเจ้าค้นพบทางเข้าออกที่เชื่อมระหว่างระนาบนั้นๆกับแดนลับต่างสวรรค์เป็นพอ”
วาจาตอบคำของจางยี่รอบนี้ ได้ยืนยันข้อสันนิษฐานของต้วนหลิงเทียนทั้งหมด!
ต้วนหลิงเทียนจึงตระหนักได้ทันที
เขามีโอกาสจะย้อนกลับไปยังโลกเก่าของเขา ก่อนที่เขาจะขึ้นสู่ระนาบเทวโลก!!
“เอ่อ…แต่ตอนนี้ข้ากระทั่งหาช่องทางกลับระนาบเซียนของข้าไม่ได้ด้วยซ้ำ แล้วข้าจะหาทางเข้าออกระนาบอื่นได้ยังไง?”
ต้วนหลิงเทียนอดยิ้มขื่นขมออกมาไม่ได้
“น้องหลิงเทียน เรื่องนี้เจ้ามิต้องห่วงเลย…”
ตอนนี้เองหวังฉีพลันกล่าวออกมาว่า “โดยปกติแล้วหลังจากเข้าสู่แดนลับต่างสวรรค์เป็นเวลา 3 ปี มิว่าผู้ใดที่เข้ามาในแดนลับต่างสวรรค์แห่งนี้ ก็จักสัมผัสได้ถึงร่องรอยประตูเข้าออกของระนาบโลกียะที่ตัวเองจากมา…ตราบใดที่เจ้าเดินทางตามร่องรอยที่ชักนำเจ้าไป ก็จักพบหนทางเข้าออกได้อย่างง่ายดาย”
“ถึงตอนนั้นเจ้าจักกลับไปยังระนาบที่เจ้าจากมาหรือจะเลือกอยู่ในแดนลับต่างสวรรค์ต่อ ก็สามารถทำได้ตามใจเจ้าเลย”
หวังฉีกล่าว
“3 ปีหรือ? ทำไมต้อง 3 ปีด้วยล่ะ?”
ต้วนหลิงเทียนอดไม่ได้ที่จะสงสัย
“เหตุผลที่ไฉนต้องเจาะจงเป็นเวลา 3 ปี ข้าเองก็มิรู้แน่ชัดเช่นกัน…ทว่านี่เป็น ‘กฏ’ ของแดนลับต่างสวรรค์ก็ว่าได้ ตราบใดที่ยังอยู่ภายในแดนลับต่างสวรรค์มิครบ 3 ปี ไม่ว่าเจ้าจะพยายามอย่างไรก็มิอาจย้อนกลับไปยังระนาบของเจ้าได้ เพราะเจ้าจักไม่มีทางหาทางเข้าออกได้พบ…”
หวังฉีกล่าวสืบต่อ
“เช่นนั้นหมายความว่า…หากข้าคิดไปเยือนระนาบโลกียะอื่นๆ อย่างเช่นระนาบโลกียะที่เจ้าจากมา ข้าก็ต้องรอให้เจ้าอยู่ในแดนลับต่างสวรรค์ครบ 3 ปี แล้วค่อยขอแรงให้เจ้าช่วยนำทางไปงั้นหรือ?”
ต้วนหลิงเทียนมองถามหวังฉี
“ในทางทฤษฎีแล้วเป็นเช่นนั้น”
หวังฉีพยักหน้า “แต่แน่นอนว่าไม่ต้องเป็นข้าที่นำทางก็ได้…”
“เพราะคนส่วนใหญ่ที่เข้ามาในแดนลับต่างสวรรค์ ตอนนี้ก็ล้วนอยู่ในสภาพดุจเดียวกัน คืออยู่ในแดนลับต่างสวรรค์แห่งนี้มาครึ่งปีแล้ว ขอเพียงผ่านไปอีก 2 ปีครึ่ง ตราบใดที่เจ้าพบผู้อื่นที่มาจากระนาบ ฉีอวิ๋น ของข้าและถามเกี่ยวกับช่องทางเข้าออกว่าอยู่ที่ใด คนๆนั้นก็สามารถบอกทางให้เจ้าได้เช่นกัน”
“ถึงยามนั้นเจ้าเพียงเดินทางไปตามทิศทางที่ได้รับทราบมา เจ้าก็จะสามารถพบเจอประตูเข้าออกของระนาบฉีอวิ๋น และเข้าสู่ระนาบฉีอวิ๋นของข้าได้…”
หวังฉีค่อยๆกล่าวอธิบายออกมาอย่างอดทน
“แบบนี้นี่เอง…”
หลังฟังคำของหวังฉีแล้ว ต้วนหลิงเทียนก็ตระหนักเรื่องราวได้ทันที
ขณะเดียวกกันเขาก็อดนึกไปในใจไม่ได้
‘หมายความว่า…หลังจากนี้อีก 2 ปีครึ่ง ขอเพียงข้าเจอคนของระนาบเหยียนหวง และสามารถให้คนผู้นั้นนำทางไปยังช่องทางเข้าออกของระนาบเหยียนหวงได้ ข้าก็จะเดินทางไปยังระนาบเหยียนหวงได้แล้วสิ…’
‘เมื่อข้าไปถึงระนาบเหยียนหวง…ข้าก็มีโอกาสกลับไปยังดาวโลก!’
นึกถึงเรื่องนี้ ต้วนหลิงเทียนก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกตื่นเต้น!
ในขณะที่เหินร่างเดินทางด้วยความเร็วสูง ต้วนหลิงเทียนก็อดถามจางยี่เกี่ยวกับเรื่องราวของระนาบเหยียนหวงเพิ่มเติมไม่ได้ จนเขาเองก็ค่อยๆทำความเข้าใจระนาบเหยียนหวงได้มากยิ่งขึ้น
นั่นรวมไปถึง ดาวเหยียนหวง เช่นกัน
‘ที่แท้โลกที่ข้าเคยอยู่หรือดาวเหยียนหวงนั้น มันก็เป็นดาวเคราะห์ต้นกำเนิด ที่มีผู้ฝึกตนเยอะที่สุดในระนาบเหยียนหวง…แถมในอดีตก็มียอดคนมากมายที่ถือกำเนิดขึ้นจากดาวเหยียนหวง! ตัวตนที่เป็นดั่งเทพเซียนในตำนานโบราณของข้าในชาติที่แล้ว ก็ล้วนถือกำเนิดขึ้นในช่วงเวลารุ่งโรจน์ของดาวเหยียนหวงครั้งอดีต…’
‘ต่อมาพอดาวเหยียนหวงมีผู้ฝึกตนถือกำเนิดขึ้นมาเข้า พลังวิญญาณฟ้าดินก็ถูกดูดซับจนร่อยหรอ กระทั่งในที่สุดก็หมดลง…ตอนนั้นเหล่าผู้ฝึกตนบนโลกจึงเริ่มอพยพออกจากโลก เดินทางเข้าสู่ท้องฟ้าอันเต็มไปด้วยหมู่ดาวกระทั่งออกจากกาแล็คซี่ทางช้างเผือกไปยังกาแล็คซี่อื่นๆ จนในที่สุดก็เริ่มค้นพบดาวเคราะห์ต้นกำเนิดดวงอื่นๆในกาแล็คซี่อันไกลโพ้น จึงค่อยตั้งรกรากถิ่นฐานและสืบทอดมรดกต่อๆกันมา…’
‘ระนาบเหยียนหวงเป็นมหาระนาบโลกียะ ซึ่งมีขนาดใหญ่โตจนแทบไร้ขอบเขต…มีกาแล็คซี่มากมาย ดาวเคราะห์เองก็มีมากมายนับไม่ถ้วน รวมถึงดาวเคราะห์ต้นกำเนิดเองก็เช่นกัน’
‘นอกจากนั้นยังมีสิ่งมีชีวิตอื่นๆดำรงอยู่มากมายหลากหลายเผ่าพันธุ์ อารยะธรรมเองก็แตกต่างกันไป…บ้างก็เป็นผู้ฝึกตน บ้างก็เป็นดาวที่มีเทคโนโลยีสูงล้ำ ยังมีแม้กระทั่งสหพันธุ์จักรวาลมากมาย…’
…
ยิ่งเข้าใจเรื่องราวของระนาบเหยียนหวงจากปากของจางยี่มากเท่าไหร่ ต้วนหลิงเทียนก็ยิ่งคึกคักอักโข ในใจอยากให้แผ่นหลังมีปีกงอกเงยแล้วโบยบินไปยังระนาบเหยียนหวงในบัดดล…
ตอนนี้สิ่งที่ระนาบเหยียนหงดึงดูดเขาไม่ใช่แค่โลกเท่านั้น ยังมีอารยธรรมต่างดาวมากมาย ที่ชาติก่อนเขาได้แต่ฝันถึงเท่านั้น เขาเองก็กระเหี้ยนกระหือรืออยากรู้เหลือเกินว่ามนุษย์ต่างดาวจะมีหน้าตาเป็นอย่างไร ใช่เหมือนในหนังหรือไม่?
แต่แน่นอนว่าสิ่งที่เขายังคงให้ความสนใจมากที่สุดของระนาบเหยียนหวงก็คือ โลก…
เพราะนั่นคือมาตุภูมิของเขา!
“อันที่จริงตราบใดที่เป็นมหาระนาบโลกียะ มันก็มีขนาดใหญ่โตสุดไพศาลไม่ต่างอะไรจากระนาบเหยียนหวงของข้า…ระนาบฉีอวิ๋นที่หวังฉีกับหลิ่วเสวียจากมา รวมถึงระนาบโหมหลัวของหรงปัวเองก็เช่นกัน สภาพการณ์ก็เป็นแบบนี้ทั้งสิ้น…”
จางยี่กล่าว
โดยทั่วไปแล้วมหาระนาบโลกียะทั้งหลาย จะมีกาแล็คซี่และดาวเคราะห์นับไม่ถ้วน ยังรวมถึงมีชีวิตหลากหลายเผ่าพันธุ์ดำรงอยู่ อารยธรรมเองก็สูงต่ำไม่เท่ากัน…บ้างก็เข่นฆ่าแย่งชิงทรัพยากรระหว่างดวงดาวกันดุเดือดนัก!
ระนาบเซียนหรือดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋าที่เป็นระนาบสังกัดของต้วนหลิงเทียนตอนนี้ เป็นแค่ระนาบโลกียะขนาดเล็กเท่านั้น…
และในสายตาของผู้คนจากมหาระนาบโลกียะ ระนาบโลกียะขนาดเล็กก็ไม่ต่างอะไรจากดินแดนล้าหลัง ที่มีแต่คนเถื่อนไร้อารยธรรม…
‘เรื่องพวกนี้ว่าไป ก็เหมือนกับที่ผู้เฒ่าหั่วเคยบอกข้าเอาไว้…’
หลังจากทำความเข้าใจของระนาบโลกียะขนาดใหญ่จากปากจางยี่แล้ว ต้วนหลิงเทียนก็ตระหนักได้ว่า
เรื่องราวทั้งหมดก็เหมือนกันกับที่ผู้เฒ่าหั่วเคยเล่าให้เขาฟังคร่าวๆในกาลก่อน เพียงแค่ตอนนั้นมันไกลตัวเขาเกินไป…