War sovereign Soaring The Heavens - ตอนที่ 2433
ตอนที่ 2,433 : แตกคอ
“13 กระบี่…”
เมื่อถูกหานเฉวี่ยไน่ จางยี่ และหลิ่วเสวียมองมาด้วยสายตาเร่าร้อนด้วยความอยากรู้ ต้วนหลิงเทียนก็กล่าวตอบออกมา 3 คำอย่างไม่รีบไม่ร้อน
13 กระบี่!
และทันทีที่ต้วนหลิงเทียนตอบออกมา ทั้ง 3 ก็อึ้งกันเป็นแถบ!
ถึงแม้ว่าพวกมันจะพอเดาได้แล้วว่าต้วนหลิงเทียน สมควรตอบจำนวนกระบี่ที่มองเห็นและจดจำได้ของ 13 กระบี่บงกชฟ้าออกมามากกว่าพวกมันแน่ๆ…
แต่พวกมันก็ไม่คิดไม่ฝันเลยว่าต้วนหลิงเทียนจะกล่าวตอบออกมาว่าจดจำได้ทั้ง 13 กระบี่แบบนี้!
ต้องทราบด้วยว่า 13 กระบี่บงกชฟ้านั้น มีทั้งสิ้น 13กระบวนท่า!
ทว่าตอนนี้ต้วนหลิงเทียนกล่าวตอบออกมาว่าจำได้ 13 กระบี่ นั่นหมายความว่าต้วนหลิงเทียนสามารถจดจำเวทย์พลัง 13 กระบี่บงกชฟ้าได้ทั้งหมด! และหากมีเวลามากพอก็ย่อมแตกฉานเวทย์พลัง 13กระบี่บงกชฟ้าได้อย่างสมบูรณ์!!
“ต้วนหลิงเทียน…นี่เจ้าสามารถมองเห็นทั้งจดจำได้ครบทั้ง 13 กระบี่เลยหรือ?”
หลิ่วเสวียอดไม่ได้ที่จะกล่าวถามต้วนหลิงเทียนออกมาอีกครั้ง แววตายังฉายความสงสัยไม่น้อย
ดูท่าแล้วนางจะไม่ค่อยในคำตอบนี้ของต้วนหลิงเทียนสักเท่าไหร่
เพราะสุดท้ายแล้วต่อให้เป็นในระนาบเทวโลก ทว่า 13 กระบี่บงกชฟ้าก็ถือว่าเป็นเวทย์พลังที่ไม่ธรรมดา!
ยิ่งไปกว่านั้นตัวนางยังประสบพบเจอความยากในการมองวิถีกระบี่ของ13 กระบี่บงกชฟ้ามาด้วยตัวเอง…
ดังนั้นนางจึงไม่เชื่อว่าต้วนหลิงเทียนจะมีปัญญามองเห็นวิถีกระบี่และจดจำพวกมันได้ครบถ้วนสมบูรณ์!
“หึ!”
ต้วนหลิงเทียนย่อมสัมผัสได้ถึงความแคลงใจทั้งไม่เชื่อจากสายตาของหลิ่วเสวียชัดเจน “ข้าไม่จำเป็นต้องพูดซ้ำ…เจ้าจะเชื่อหรือไม่เชื่อก็แล้วแต่เจ้า”
ยามกล่าววาจาประโยคนี้ออกมา น้ำเสียงต้วนหลิงเทียนเฉยเมยไร้ซึ่งอารมณ์ใดๆ
เดิมทีตอนแรกต้วนหลิงเทียนก็มีความประทับใจในตัวหลิ่วเสวียอยู่บ้าง
แม้กระทั่งต่อมานางจะเผยทีท่าลังเลราวกับจะขับไล่ต้วนหลิงเทียนออกจากกลุ่มเล็กของนางดีหรือไม่ดีภายใต้การข่มขู่ของหรงปัว…
แต่เขาก็ไม่ได้ว่าอะไรนาง และไม่คิดโทษนางเรื่องนี้
แน่นอนว่าถึงแม้เขาจะเข้าใจความลังเลของหลิ่วเสวีย แต่ก็เป็นไปไม่ได้ที่เขาจะปฏิบัติกับนางด้วยดีเหมือนในตอนแรก
มาตอนนี้พอถูกหลิ่วเสียตั้งแง่สงสัยในคำตอบ ทำให้ความประทับใจที่มีต่อนางมลายไปสิ้น ยังกลายเป็นติดลบอีกด้วย…
เขา ต้วนหลิงเทียน มีความจำเป็นต้องโกหกนางด้วยเหรอ?
กระทั่งเขาต้วนหลิงเทียน ยังเบื่อการโกหกเพื่ออวดโอ่เป็นที่สุด!
“ข้า…”
หลิ่วเสวียหน้าม้านไปทันใด เมื่อตระหนักได้ว่านางพลาดแล้วที่กล่าวถามต้วนหลิงเทียนออกไปด้วยท่าทีแบบนั้น
หากนางได้รับโอกาสอีกครั้ง ต่อให้จะสงสัยและไม่เชื่อต้วนหลิงเทียนเพียงใด นางคงเลือกที่จะเก็บมันไว้ในใจ ไม่กล่าวออกไปเด็ดขาด…
‘จบสิ้นกัน…’
ในใจหลิ่วเสวียเต็มไปด้วยความขื่นขม ‘ท่าทีของต้วนหลิงเทียนที่มีต่อข้ามันเปลี่ยนไปตั้งแต่เกิดเรื่องหรงปัววันนั้น…กระทั่งภายหลังพอได้รับยอดสมบัติสวรรค์มา ยังให้จางยี่ไปก่อน…’
‘ตอนนี้ข้าดันมาทำให้มันขุ่นเคืองใจอีก…เช่นนั้นต่อให้ติดตามมันต่อไป ก็เกรงว่าข้าคงไม่ได้รับอะไรดีๆอีกแล้วแน่นอน’
พอคิดถึงจุดนี้หลิ่วเสวียก็มองต้วนหลิงเทียนด้วยสายตาไม่มั่นใจ
“พี่ใหญ่หลิงเทียนข้าเชื่อท่าน!”
เมื่อเห็นหลิ่วเสวียตั้งคำถามกับต้วนหลิงเทียน หานเฉวี่ยไน่เองก็รู้สึกไม่สบอารมณ์นัก
ยิ่งมาได้ยินคำพูดด้วยน้ำเสียงเฉยเมยไม่ยินดียินร้ายของต้วนหลิงเทียน หานเฉวี่ยไน่ก็หันไปมองหลิ่วเสวียด้วยสายตาเยียบเย็น ก่อนจะหันมายิ้มกล่าวกับต้วนหลิงเทียนด้วยสายตาเชื่อมั่น
“ต้วนหลิงเทียน ไหนเลยต้องโกหกพวกเรา…”
ตอนนี้เองจางยี่ก็กล่าวออกมาเช่นกัน
และคำพูดของมันก็ออกมาจากใจจริง เพราะมันไม่คิดว่าต้วนหลิงเทียนจะต้องโกหกทุกคนเรื่องนี้
ไม่ต้องกล่าวถึงตลอดทางที่ผ่านมา มันเห็นลักษณะนิสัยต้วนหลิงเทียนไม่น้อย จึงพอรู้มาบ้างในระดับหนึ่งว่าต้วนหลิงเทียนไม่ใช่คนที่อวดอ้างตัว กระทั่งท่าทางยังจะดูแคลนคนประเภทนี้ด้วยซ้ำ…
และต่อให้มันไม่อาจมองนิสัยต้วนหลิงเทียนได้ออก มันก็ไม่คิดว่าต้วนหลิงเทียนจะต้องกล่าวโกหกอะไร เพราะมันไม่จำเป็น!
คำพูดของหานเฉวี่ยไน่กับจางยี่พอดังเข้าหูหลิ่วเสวียก็ไม่ต่างอะไรจากหมุดตอกลงกลางใจ ทำให้สีหน้านางเปลี่ยนไปเป็นเขียวสลับขาวทันที
“ต้วนหลิงเทียน”
ตอนนี้เองหลิ่วเสวียคล้ายตัดสินใจอะไรได้ จึงหันไปมองกล่าวกับต้วนหลิงเทียนทันที “ข้าคิดว่าคงไม่เหมาะหากจะต้องไปกับเจ้าต่อ…พวกเราต่างคนต่างไปเถอะ”
กล่าวจบหลิ่วเสวียก็หันหลังเตรียมออกจากสมบัติสถานระดับสวรรค์ของเซียนกระบี่บงกชฟ้าแห่งนี้ทันที
“ช้าก่อน”
อย่างไรก็ตามในขณะที่หลิ่วเสวียกำลังจะจากไป ต้วนหลิงเทียนก็กล่าวรั้งนางเอาไว้ “ข้ารู้ว่าเจ้ากำลังคิดอะไรอยู่…แต่เจ้ามั่นใจได้เลยว่าหากคราวหน้าพวกเราเจอยอดสมบัติสวรรค์อีก ไม่ว่ามันจะเป็นอะไรก็ตามมันจะเป็นของเจ้า”
“ข้าต้วนหลิงเทียนไม่ทำอะไรไร้ความเป็นธรรมเพียงเพราะคำพูดของเจ้าแน่”
ต้วนหลิงเทียนกล่าวออกเสียงห้วน
“จริงหรือ?”
ได้ยินคำของต้วนหลิงเทียนหลิ่วเสวียไม่เพียงไม่ดีใจ หากแต่กลับเผยรอยยิ้มเย็นชาออกมา “ต้วนหลิงเทียนข้าคิดว่าที่เจ้ายังจะให้ข้าติดตามเจ้าไปต่อ…คงเพราะหมายปล่อยให้ข้าตายตกในสมบัติสถานแห่งนี้ใช่หรือไม่?”
“เจ้าพูดแบบนี้หมายความว่าอะไร?”
ถึงแม้ต้วนหลิงเทียนจะใจดี แต่ตอนนี้ก็อดไม่ได้ที่จะมีโมโหขึ้นมาเล็กน้อย
หากเขาอยากให้หลิ่วเสวียตายจริง มีหรือนางจะมีชีวิตรอดมาพูดอะไรแบบนี้ต่อหน้าเขาได้?
“หลิ่วเสวียเจ้ากล่าววาจาบัดซบอะไร!?”
หานเฉวี่ยไน่เองก็หัวร้อนขึ้นมาไม่น้อย
หลิ่วเสวียคนนี้กล้าตัดสินพี่ใหญ่หลิงเทียนของนางแบบนั้นได้ยังไง?
“หลิ่วเสวียเจ้ากล่าวเหลวไหลอะไรของเจ้า!?”
สีหน้าจางยี่ก็แปรเปลี่ยนไปเช่นกัน
มันเองก็ไม่คิดไม่ฝันมาก่อนว่าหลิ่วเสวียจะพูดออกมาแบบนี้ เห็นชัดว่านางตั้งแง่กับนิสัยต้วนหลิงเทียนโดยตรง!
“แล้วไม่ใชรึไง?”
หลิ่วเสวียระเบิดเสียงหัวเราะออกมา “ต้วนหลิงเทียน จากพลังฝีมือที่เจ้าเผยออกในสมบัติสถานระดับสวรรค์แห่งนี้ ไม่ว่าใครก็มองออกได้ไม่ยาก…ว่าตอนแรกกหากไม่ใช่เพราะเจ้าจงใจปกปิดพลังฝีมือไว้ มีหรือหวังฉีจะต้องตกตายแบบนั้น!”
“นี่เจ้าคิดว่าเป็นข้าจงใจปล่อยให้หวังฉีตกตายงั้นเหรอ?”
สีหน้าต้วนหลิงเทียนเริ่มมืดลง
ก่อนหน้านี้ที่หวังฉีตกตายในสมบัติสถานระดับมนุษย์นั้น เป็นเพราะอยู่ดีๆความยากของบททดสอบก็เพิ่มมากขึ้นหลายเท่า แถมอีกฝ่ายยังเดินทะเล่อทะล่าไปกระตุ้นค่ายกลที่เขาไม่ทันเห็น เช่นนั้นเขาจึงไม่มีเวลาจะใช้ปฐมเวทย์กลืนกิน
ด้วยเหตุนี้หวังฉีจึงต้องสังเวยชีวิตไป…
อย่างไรก็ตามตั้งแต่แรกเขาไม่ได้จงใจปกปิดพลังฝีมือแม้แต่น้อย เพียงแค่เรื่องที่เกิดขึ้นมันปุบปับเกินไปเขาจึงไม่อาจใช้พลังทั้งหมดได้ทันเวลา…
ทว่าตอนนี้หลิ่วเสวียกลับขุดเรื่องเก่าขึ้นมาแขวะ! ทั้งจี้ถามเขาด้วยท่าทางทำราวกับเป็นเขาจงใจปล่อยให้หวังฉีตาย?!
“แล้วมิใช่หรือไร?!”
หลิ่วเสวียไม่สนอะไรอีกต่อไป ใจคิดจะฉีกหน้ากากจอมปลอมของต้วนหลิงเทียนให้ได้ กล่าวออกด้วยสีหน้าเย้ยหยัน “ด้วยพลังฝีมือเจ้าที่เผยออกมาในด่านทดสอบที่นี่ มิใช่ว่าง่ายดายนักหรือไรที่จะทำลายอาคมสังหารหวังฉีได้ทัน…หากไม่ใช่เป็นเพราะตอนนั้นเจ้ายั้งมือไว้ หวังฉีไหนเลยต้องตาย!”
“งั้นเจ้าจะบอกว่า…เป็นข้าจงใจฆ่าหวังฉีให้ได้?”
ต้วนหลิงเทียนแสยะยิ้มค่อนแคะ “ไหนเจ้าบอกข้าที ว่าทำไมข้าต้องฆ่ามันด้วย?”
“เฮอะ! ก็ไม่ใช่เพราะหรงปัวขู่จะฆ่าพวกเราโดยเหลือทางเลือกให้ขับไล่เจ้าออกจากกลุ่มไปรึไร พอข้ากับหวังฉีลังเลเข้าหน่อยเจ้าก็เจ้าคิดเจ้าแค้นฝังใจ…แล้วยังจะแปลกอะไรที่เจ้าจงใจปล่อยให้หวังฉีตาย!!”
หลิ่วเสวียหัวเราะเยาะ
“จากที่เจ้าว่า…ไม่ได้หมายความว่าข้าต้องแค้นเจ้าด้วยหรือไง แล้วไม่สงสัยบ้างรึ…ว่าทำไมข้ายังปล่อยให้เจ้าหายใจจนถึงตอนนี้?”
ลูกตาต้วนหลิงเทียนหดเล็กลง
“ผู้ใดจะไปรู้…บางทีเจ้าอาจเสแสรงทำตัวเป็นคนดีต่อหน้าจางยี่ก็ได้!”
หลิ่วเสวียตอนนี้เรียกว่าไม่ทนอีกต่อไป เลือกที่จะกล่าวความไม่พอใจที่ปิดซ่อนออกมาอย่างเกรี้ยวกราด!
“หลิ่วเสวียต้วนหลิงเทียนไม่ใช่คนแบบนั้น”
จางยี่ทนฟังไม่ไหวอีกต่อไป จึงกล่าวออกมาด้วยเสียงเข้ม คิ้วยังย่นยู่เป็นปม
“จางยี่ คนเรารู้หน้าไม่รู้ใจ…ข้าแนะนำให้เจ้าระวังไว้จะดีกว่า!”
หลิ่เสวียกล่าวทิ้งท้ายกับจางยี่จบคำ ก็หันหลังเดินจากไปทันที
พระราชวังใต้ดินอันเป็นสมบัติสถานระดับสวรรค์ของเซียนกระบี่บงกชฟ้าแห่งนี้ หากเดินหน้าไปต่อก็จะเจอด่านทดสอบที่เหลือ แต่ถ้าคิดหันหลังกลับก็จะไม่ต้องพบพานอุปสรรคใดๆ สามารถกลับออกไปด้านนอกได้ทันที
“จางยี่…เจ้าคิดว่าเป็นข้าจงใจปล่อยให้หวังฉีตายรึเปล่า?”
ต้วนหลิงเทียนหันไปมองถามจางยี่ด้วยรอยยิ้มบางๆ หลังมองส่งหลิ่วเสวียจนเงาหลังนายหายลับตาไป
“ย่อมไม่แน่นอน!”
จางยี่กล่าวออกด้วยท่าทีจริงจัง “ถึงแม้ตอนแรกที่เห็นพลังฝีมือเจ้าในการผ่านด่านทดสอบที่นี่ ข้าก็มีความคิดแบบนั้นแว่บขึ้นมาในหัวอยู่บ้าง…แต่ข้าเชื่อว่าตอนที่หวังฉีเกิดเรื่อง สมควรเป็นเพราะเจ้าไม่มีเวลามากพอจะช่วยเหลือมันได้ทันมากกว่าเรื่องนี้สมควรเป็นแค่เหตุสุดวิสัย…”
“หากเจ้าช่วยหวังฉีได้จริง ก็เป็นไปไม่ได้เลยที่เจ้าจะปล่อยให้มันตายแบบนั้น”
“อีกทั้งจากที่หลิ่วเสียบอก ต่อให้เจ้ามีความแค้นกับพวกมันจริง อาศัยเพียงเศษพลังของเจ้าก็ฆ่าพวกมันทั้งคู่ได้ง่ายดาย ยังต้องเสียเวลาเล่นลูกไม้เหลวไหลพรรค์นั้นด้วยหรือ…”
จางยี่ที่กล่าวออกมาจากใจ ยังเผยความคิดตัวเองออกมา
หลังได้ยินคำของจางยี่ต้วนหลิงเทียนก็อดหัวเราะออกมาไม่ได้ ความหดหู่ใจที่เกิดขึ้นเพราะถูกตั้งแง่จากหลิ่วเสวียสลายหายไปหมดสิ้นในพริบตา
เพียงจางยี่เชื่อเขาก็พอ
“เอาล่ะ ไปกันต่อเถอะ ดูว่าด่านทดสอบที่ 7 มันจะเป็นยังไง”
หัวเราะจบต้วนหลิงเทียน ก็หันไปกล่าวชวนจางยี่กับหานเฉวี่ยไน่ ก่อนที่จะเดินนำออกไปทันที
ถึงแม้ว่าหลังผ่านด่านที่ 9 แล้วจะมีความเข้าใจในเต๋ากระบี่ของเซียนกระบี่บงกชฟ้าหลี่ไป๋ทิ้งไว้
แต่พอได้รู้จากจางยี่ว่านั่นเป็นแค่มรดกที่ไม่สมบูรณ์ ต้วนหลิงเทียนก็ไม่ได้คาดหวังอะไรกับมันมาก
แต่ในเมื่อไหนๆก็มาถึงที่นี่แล้ว ต้วนหลิงเทียนจึงตัดสินใจที่จะผ่านด่านทดสอบทั้งหมด
ในขณะเดียวกันกับที่ต้วนหลิงเทียน จางยี่ และหานเฉวี่ยไน่กำลังฝ่าฟัน 3 ด่านทดสอบหลังนั้นเอง
ด้านหลิ่วเสวียที่ออกมาจากสมบัติสถานระดับสวรรค์ที่เซียนกระบี่บงกชฟ้าหลี่ไป๋เหลือทิ้งไว้ ก็บังเกิดความไม่พอใจถึงที่สุด
“หากไม่ใช่เพราะเป็นข้ากับหวังฉีค้นพบเบาะแสแรก มีหรือที่พวกมันจะมาถึงที่นี่แล้วได้อะไรดีๆกลับไป!”
สุดท้ายยิ่งคิดมากเท่าไหร่หลิ่วเสวียก็ยิ่งบังเกิดความไม่พอใจมากขึ้นเท่านั้น นางจึงตัดสินใจนำข่าวเรื่องสมบัติสถานระดับสวรรค์ของเซียนกระบี่บงกชฟ้าหลี่ไป๋ออกไปโพทนากับทุกคนที่พบเจอ…
ด้วยคำบอกจากปากต่อปาก ไม่นานนักก็มีหลายคนได้รับทราบเรื่องสมบัติสถานระดับสวรรค์ของเซียนกระบี่บงกชฟ้าหลี่ไป๋ รวมถึงตำแหน่งที่ตั้งและจุดสังเกต
“อะไรนะ! สมบัติสถานระดับสวรรค์ของเซียนกระบี่บงกชฟ้าหลี่ไปงั้นเหรอ…นั่นมิใช่ตัวตนที่เป็นดั่งตำนานในระนาบเหยียนหวงของพวกเราหรือไร? ไม่คิดไม่ฝันเลยว่าท่านหลี่ไป๋จะขึ้นสู่ระนาบเทวโลกได้ไม่กี่พันปีท่านกลับประสบความสำเร็จถึงขนาดนี้แล้ว…ต้าหลัวจินเซียน!!”
“ในสมบัติสถานแห่งนั้นไม่เพียงมียอดสมบัติสวรรค์…ยังมีกระทั่งเวทย์พลังจากระนาบเทวโลก!?”
“ไป! รีบไปดูกันเร็วเข้า!!”
“เจ้าจะรีบร้อนทำอะไร เซียนอมตะเสเพลเช่นพวกเราต่อให้ไปถึงเร็วก็เข้าไปไม่ได้ แถมเรื่องเวทย์พลังกับมรดกไม่สมบูรณ์ของท่านหลี่ไป๋อย่างไรพวกเราก็ไม่มีทางได้มาแน่ หากจะได้ก็มีแต่ยอดสมบัติสวรรค์อย่างเดียวเท่านั้น”
…
ไม่นานนักก็มีผู้คนมากหน้าหลายตามาปรากฏตัวขึ้นหน้าทางเข้าสถานสมบัติระดับสวรรค์ที่เซียนกระบี่บงกชฟ้าหลี่ไป๋เหลือทิ้งไว้
และคนเหล่านี้ส่วนใหญ่ก็เป็นเซียนอมตะเสเพล
ด้วยความที่พวกมันเป็นเซียนอมตะเสเพล จึงได้แต่มองสมบัติสถานระดับสวรรค์เบื้องล่างอย่างเดียว นั่นเพราะสถานที่แห่งนี้ปิดกั้นการเข้าไปของพวกมัน
ฟุ่บ! ฟุ่บ! ฟุ่บ!
…
อย่างไรก็ตาม นอกเหนือจากเซียนอมตะเสเพลแล้วยังมีตัวตนที่ไม่ใช่เซียนอมตะเสเพลมากมาย และทั้งหมดก็โรยตัวลงไปยังพระราชวังใต้ดินเบื้องล่างทันที พากันหายเข้าไปในสมบัติสถานระดับสวรรค์แห่งนี้ทีละคนๆ…