War sovereign Soaring The Heavens - ตอนที่ 2628
ตอนที่ 2,628 : พบพานสองผู้กล้า!
“ต้วนหลิงเทียน…เจ้าเมืองหลิ่วกล่าวแนะนำตัวเจ้าไว้ในยันต์อมตะเก็บความทรงจำมาว่า เจ้าพึ่งจะเข้าร่วมกับกองทัพมังกรดำเมื่อครึ่งปีที่แล้วเท่านั้น…และหลังจากเข้าร่วมกองทัพได้ไม่ทันไร เจ้าก็สามารถเข่นฆ่าไป่ฟูฉางขอบเขตจินเซียนที่มาท้าทายได้อย่างง่ายดาย…”
“หลังจากนั้นในเหลาอาหารกลางเมือง กระทั่งหยางกงผิงที่เป็นถึง 1 ใน 3 แม่ทัพที่แข็งแกร่งที่สุดของกองทัพมังกรเงินผู้มีระดับพลังฝึกปรือจินเซียนตะวันแสด มันยังทำอะไรเจ้าไม่ได้เลย”
ชายชราชุดเทาที่เหินร่างนำหน้า ทูตพิเศษจากจนผู้ว่า มองจ้องต้วนหลิงเทียนกล่าวออกเสียงเข้ม “ด้วยเหตุนี้เจ้าเมืองหลิ่วจึงเลือกสงวนสิทธิ์ไว้ให้เจ้าโดยตรง! เผยให้เห็นว่าเจ้าเมืองหลิ่วตีค่าเจ้าไว้สูงเพียงใด…”
“เจ้าเมืองก็แค่ใจดีกับทุกคน”
ต้วนหลิงเทียนกล่าวตอบเสียงอ่อน
“เจ้ามิต้องถ่อมตัวนักหรอก”
ชายชรายิ้มอ่อน “เจ้าสามารถเอาชนะแม่ทัพของกองทัพมังกรเงินที่มีพลังฝีมือติดสามอันดับแรกได้ทั้งๆที่อายุยังมิถึงร้อยปี เผยให้เห็นแล้วว่าความสามารถของเจ้านั้นมิได้ด้อยไปกว่าจินเซียนที่อายุไม่ถึงร้อยปีผู้ใดในเมืองเฉวี่ยโยว”
“เจ้าเมืองหลิ่วกระทำสิ่งใดล้วนละเอียดรอบคอบเสมอ ข้าเชื่อว่าเจ้ามีคุณสมบัติได้รับสิทธิ์นี้…”
หลังกล่าวจบคำ ชายชราก็มองต้วนหลิงเทียนด้วยสายตาถูกชะตา
ในความคิดของมัน
เมื่อฟังจากคำแนะนำในยันต์อมตะที่เจ้าเมืองกล่าวถึงต้วนหลิงเทียน เผยให้รู้ว่าในบรรดาผู้ที่มีอายุไม่ถึงร้อยปีแต่บรรลุขอบเขตจินเซียนของเมืองเฉวี่ยโยวนั้น ต้วนหลิงเทียนสมควรเป็นผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดอย่างไร้ข้อกังขา! กระทั่งฉินอวี่ที่อยู่ข้างๆก็เทียบต้วนหลิงเทียนไม่ได้เลย
เนื่องจากชายชราได้อาศัยอยู่ในเมืองเฉวี่ยโยวแค่ในเวลาสั้นๆเท่านั้น เท่าให้มันยังไม่ทันได้ยิน ‘ข่าว’ เรื่องที่เขาพึ่งขึ้นสวรรค์มาหลิงหลัวเทียนได้ครึ่งปี…
เป็นธรรมดาว่าต่อให้ชายชราจะได้ยินข่าวลือดังกล่าวมา แต่มันก็ไม่มีทางเชื่อได้ลงคอว่านั่นเป็นความจริง
ล้อกันเล่นหรือไร!
เซียนอมตะสวรรค์หน้าใหม่ที่พึ่งขึ้นสวรรค์มา จะมีพลังฝีมือกล้าแข็งถึงขั้นเอาชนะหยางกงผิงที่แข็งแกร่งติด 3 อันดับแรกในบรรดาแม่ทัพของกองทัพมังกรเงินได้หรือ?
ถึงแม้ว่าวิญญาณของต้วนหลิงเทียนจะถูกชิ้นส่วนโลหะไม่สมบูรณ์แผ่พลังปกป้องเอาไว้ ยากที่พลังวิญญาณผู้ใดจะตรวจจับอายุขัยที่แท้จริงของเขาด้วยทักษะวิญญาณได้
ทว่าในระนาบเทวโลกนั้น ตัวตนที่อยู่ในขอบเขตจินเซียนขึ้นไป สามารถระบุอายุของผู้อื่นได้คร่าวๆเพียงสัมผัสกลิ่นอายเลือดเนื้อที่แผ่ออกมาจากทั่วร่างได้ไม่ยาก..
ด้วยเหตุนี้ทันทีที่ได้พบต้วนหลิงเทียน ชายชราจึงยืนยันได้ตั้งแต่แรกเห็น…
ต้วนหลิงเทียนยังมีอายุไม่ถึงร้อยปี!
“พวกเจ้าคงรู้แค่ว่าข้าเป็นทูตพิเศษจากเมืองประจำมณฑลจิ่วโยว แต่ยังไม่รู้จักชื่อข้าใช่หรือไม่…ข้าเรียกว่า เจิ้งชิว เป็นผู้อาวุโสฝ่ายในของจวนผู้ว่าการประจำมณฑลเฉวี่ยโยว”
ชายชรากวาดตามองสลับไปมาระหว่างฉินอวี่กับต้วนหลิงเทียนพลางกล่าวแนะนำตัว
“อาวุโสฝ่ายใน?”
ได้ยินคำพูดดังกล่าวของชายชรา ต้วนหลิงเทียนก็ไม่อะไรมากมาย แต่ฉินอวี่อดชักหน้าตกใจไม่ได้ มันหรี่ตามองกล่าวกับชายชราว่า “อาวุโสเจิ้งชิว…เท่าที่ข้ารู้ในจวนผู้ว่ามีอาวุโสฝ่ายในทั้งสิ้น 13 คนเท่านั้น”
“และอาวุโสฝ่ายในทุกคนของจวนผู้ว่า ล้วนเป็นผู้ที่บรรลุถึงขอบเขตจินเซียนตะวันม่วง!”
กล่าวถึงท้ายประโยค แววตาที่ใช้มองชายชราของฉินอวี่ก็เพิ่มความเคารพยำเกรงขึ้นสามส่วน
ถึงแม้มันจะรู้อยู่แล้ว่วาทูตพิเศษของจวนผู้ว่าไม่มีทางเป็นชนชั้นต่ำทรามไปได้ แต่มันไม่ทราบจริงๆว่าอีกฝ่ายก็คือ เจิ้งชิว อาวุโสฝ่ายในแห่งจวนผู้ว่า!
จินเซียนตะวันม่วงคือขั้นพลังสูงสุดของขอบเขตจินเซียน เป็นตัวตนที่ใกล้เคียงกับต้าหลัวจินเซียนมากที่สุด
ตรงกันข้าม ด้านต้วนหลิงเทียนแต่ต้นจนจบยังมีสีหน้าสงบไม่ได้ตื่นเต้นอะไร
เนื่องเพราะก่อนที่จะเดินทางออกจากเมืองเฉวี่ยโย หลิ่วเฟิงกู่ก็ได้กล่าวบอกรายละเอียดของชายชราที่จะเป็นคนพาเขาไปจวนผู้ว่าแต่แรก
ดังนั้นเขาเลยรู้ว่า…
ชายชราชุดเทาคนนี้เป็นอาวุโสฝ่ายในของจวนผู้ว่า และเป็นตัวตนขอบเขตจินเซียนตะวันม่วง!
“ระยะทางระหว่างเมืองทั้ง 9 ในมณฑลจิ่วโยวกับเมืองประจำมณฑลจิ่วโยวนั้นค่อนข้างไกลไม่น้อย อีกทั้งยังมีโจรร้ายออกหากินชุกชุมนัก…และในบรรดาโจรร้ายที่ว่าก็มิได้ขาดจินเซียนตะวันม่วงเลย”
ชายชรานาม เจิ้งชิว อาวุโสฝ่ายในของจวนผู้ว่าเอ่ยขึ้นว่า “การเดินทางไปยังจวนผู้ว่าของผู้มีสิทธิ์จากทั้ง 9 เมือง จึงมีอาวุโสฝ่ายในเช่นข้าออกไปรับด้วยตัวเองทั้งสิ้น…”
“ทั้งหมดเพื่อรับรองความปลอดภัยขั้นสูงสุดให้กับพวกเจ้า”
เจิ้งชิวกล่าวต่อ
ฉินอวี่พยักหน้ารับทราบ
“อาวุโสเจิ้งชิว”
ต้วนหลิงเทียนมองไปยังเจิ้งชิวค่อยถามด้วยความสงสัยว่า “ท่านทราบหรือไม่ ว่าไฉนจวนผู้ว่าถึงต้องคัดเลือกจินเซียนอายุไม่ถึงร้อยปีอย่างข้ากับฉินอวี่จากเมืองทั้ง 9 ด้วย…ทั้งหมดทำไปเพื่ออะไรกัน?”
“ข้าเองก็ไม่รู้รายละเอียดเช่นกัน…แต่ได้ยินแว่วๆมาว่าสมควรเกี่ยวข้องกับพระราชวังฉิน”
เจิ้งชิวกล่าว
ได้ยินคำพูดของเจิ้งชิว ต้วนหลิงเทียนก็รู้ดีว่าที่ถามไปช่างไร้ความหมายนัก เพราะเรื่องนี้เขาเองก็ได้ยินหลิ่วเฟิงกู่พูดถึงมาแล้ว
ตรงกันข้าม ด้านฉินอวี่ที่อยู่ข้างๆต้วนหลิงเทียนพอได้ยินเจิ้งชิวกล่าวถึงพระราชวังฉิน ในแววตาของมันก็ทอประกายลี้ลับขึ้นมาทันที
อย่างไรก็ตามประกายลี้ลับในแววตาดังกล่าวของมัน ต้วนหลิงเทียนนับเจิ้งชิวไม่มีใครทันสังเกตเห็น…
“ฮั้ย…ข้าพึ่งจะพูดถึงโจรร้ายได้ไม่ทันขาดคำ…มิคาดพวกเรากลับเจอโจรเข้าแล้วจริงๆ!”
ทันใดนั้นเองเจิ้งชิงที่เหินร่างนำก็หยดลง ทั้งหันศีรษะไปยังเมฆก้อนหนึ่งบนฟ้าตาเขม็ง ทำราวกับพบเห็นอะไรบางอย่าง กล่าวออกเสียงเข้มดัง
ทันใดนั้นต้วนหลิงเทียนกับฉินอวี่ก็หยุดร่างลง และหันไปมองตามเจิ้งชิวทันที
จึงพบว่าเมฆก้อนหนึ่งที่ลอยอยู่สูงไกลตา มีลักษณะแปลกๆ แตกต่างจากเมฆก้อนอื่น…
และแทบจะทันทีที่ทั้งคู่มองไปยังเมฆดังกล่าว
ซัว! ซัว! ซัว! ซัว! ซัว!
…
เมฆก้อนดังกล่าวคล้ายหมอกควันเบาบางต้องลมแรง กระจัดกระจายหายไปในฉับพลัน ยังปรากฏร่างวูบวาบมากมายพุ่งแยกย้ายมาปิดล้อมทั้ง 3 เอาไว้ในพริบตา!
“กลับสังเกตเห็นพวกเราได้แต่แรก…สมแล้วที่เป็นจินเซียนตะวันม่วง!”
พอพวกต้วนหลิงเทียนทั้ง 3 ถูกคนยี่สิบกว่าคนปิดล้อมเอาไว้แล้ว ก็ปรากฏร่างชราสองคนค่อยโรยตัวลงมาจากฟ้าสูงอย่างไม่รีบไม่ร้อนคั่นกลางระหว่างเจิ้งชิวกับพวกต้วนหลิงเทียนเอาไว้ ยังเป็นชายชราที่แลดูแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง
คนหนึ่งใส่ชุดดำสนิท อีกคนก็มาในชุดขาวสนิท
ชายชราในชุดคลุมสีดำผอมสูงราวลำไผ่ ส่วนชายชราในชุดขาวกลับอ้วนกลมเหมือนลูกบอล
สายตาของพวกมัน มองจ้องไปยังเจิ้งชิวเขม็ง
พอได้ยินพวกมันพูดว่า สมแล้วที่เจิ้งชิวเป็นจินเซียนตะวันม่วง สองตาฉินอวี่ก็หดเล็กลงทันที
เพราะเรื่องนี้หมายความว่าอะไรมันรู้ดี
หมายความว่าอีกฝ่ายไม่กลัวจินเซียนตะวันม่วง!
กระทั่งต้วนหลิงเทียนเองยังอดไม่ได้ที่จะยักคิ้วขึ้นข้างหนึ่งด้วยความประหลาดใจหลังได้ยินวาจาอีกฝ่าย ยังลอบกล่าวในใจว่า ‘โชคของพวกเราจะไม่ดีไปหน่อยรึไง พึ่งออกจากเมืองเฉวี่ยโยวได้ไม่ทันไรแท้ๆ…ก็เจอกับตัวตนระดับจินเซียนตะวันม่วงเลยเหรอ?’
เนื่องจากตัวตนระดับต้าหลัวจินเซียนขึ้นไป คงรังเกียจและไม่คิดจะลดตัวลงมาปล้นชิงเซียนอมตะในสถานที่เล็กๆในมณฑลจิ่วโยวแน่นอน ต้วนหลิงเทียนจึงไม่คิดว่าชายชราทั้ง 2 ที่ไม่กลัวเจิ้งชิวจะเป็นตัวตนขอบเขตต้าหลัวจินเซียนไปได้
อย่างไรก็ตามในเมื่ออีกฝ่ายไม่ได้ดูเกรงกลัวจินเซียนตะวันม่วงเลย เช่นนั้นหมายความว่าในบรรดาพวกมันอย่างน้อยๆก็ต้องมีจินเซียนตะวันม่วงคนหนึ่ง…
“หลังจากรับทราบพลังฝึกปรือของข้าแล้วพวกเจ้ายังกล้าปรากฏตัว…”
ตอนนี้เองสองตาของเจิ้งชิวที่มองร่างชราทั้ง 2 พลันหดเล็กลงเล็กน้อยทอประกายเรืองขึ้นวาบหนึ่ง พูดว่า “หากข้าเดาไม่ผิด…พวกเจ้าสองคนสมควรเป็นโจรร้ายที่มีชื่อเสียงเลื่องลือในมณฑลจิ่วโยวของพวกเรา…สองผู้กล้าขาวดำ!”
“โฮ่ว…สหายเฒ่าเจ้าตาถึงเหมือนกันนี่!”
ชายชราในชุดคลุมสีขาวหยีตาลง ใบหน้าอุดมไปด้วยไขมันเผยรอยยิ้มร่าเริงแลดูไม่มีพิษไม่มีภัย
“ข้าได้ยินมานานแล้วว่าสองผู้กล้าขาวดำล้วนบรรลุถึงจินเซียนตะวันม่วงทั้งคู่…อีกทั้งยังมากไหวพริบดั่งกระต่ายมีสามโพรง…จวนผู้ว่าของมณฑลจิ่วโยวเราส่งคนออกไปมากมายหมายจัดการพวกเจ้า แต่ก็ยากจะหาตำแหน่งที่แน่ชัดของพวกเจ้าได้…”
หลังได้รับฟังคำยืนยันของชายชราขาวดำ เจิ้งชิวก็เริ่มคลี่ยิ้มบางๆออกมาบนใบหน้า “แต่ดูเหมือนวันนี้ข้าจักมีโชคแล้ว…”
ถึงแม้ว่าใบหน้าเจิ้งชิวจะกำลังแย้มยิ้มทำราวับอารมณ์ดี หากแต่ในแววตากลับฉายประกายเยียบเย็นมากเจตนาฆ่าฟัน!
“คนของจวนผู้ว่า!”
แทบจะทันทีที่เจิ้งชิวกล่าวจบคำ สีหน้าท่าทีของชายชราขาวดำก็แปรเปลี่ยนไปครั้งใหญ่!
กระทั่งเหล่าผู้คนยี่สิบกว่าคนที่ปิดล้อมอยู่ จากที่แลดูดุดันเหี้ยมเกรียมแลบลิ้นเลียดาบชักสีหน้าแววตาดุร้าย ก็หน้าเสียลงไปในฉับพลัน ร่างยังสั่นไปดั่งหนูหวาดแมวอย่างเห็นได้ชัด
จวนผู้ว่า!!
มารดามันเถอะ! นั่นคือดาวพิฆาตของโจรร้าย…ขุมพลังที่แข็งแกร่งที่สุดในมณฑลจิ่วโยว!!
ตลอดหลายปีที่ผ่าน ทางจวนผู้ว่าก็คนออกกวาดล้างพวกมันหลายครั้งหลายครา พวกมันเสียสละพี่น้องดั่งจิ้งจกสละหางทั้งทรัพย์ไปก็มาก จนไม่กล้าปักหลักอยู่ที่ใดนาน…
พวกมันพึ่งจะมาถึงละแวกเมืองเฉวี่ยโยวได้ไม่ทันไร ไม่คิดไม่ฝันเลยว่าวันนี้จะมาป๊ะเข้ากับคนของทางการ!!
พวกมันหลงคิดว่าจินเซียนตะวันม่วงเบื้องหน้าคือปลาตัวใหญ่ ไหนเลยจะคิดว่าอีกฝ่ายเป็นตัวหายนะจากจวนผู้ว่า!
“เอ่อ…ใต้เท้า…ท่านมาจากจวนผู้ว่างั้นหรือ?”
ชายชราชุดดำสูดลมหายใจเข้าลึกๆ มองกล่าวกับเจิ้งชิวด้วยน้ำเสียงระวัง “เพียงท่านแสดงตราประจำตัวออกมาว่าท่านเป็นคนของจวนผู้ว่าจริง เช่นนั้นวันนี้กลุ่มวีรบุรุษของพวกเราไม่เพียงแต่จะไม่กล้าสร้างปัญหาให้พวกท่าน ยังยินดีมอบหินอมตะระดับกลางให้ท่านพันก้อนเป็นการขอขมา…”
หากยืนยันได้ว่าคนเบื้องหน้ามาจากจววนผู้ว่าจริง พวกมันยอมจ่าย!
ต่อให้พลังฝีมือของอีกฝ่ายจะไม่เข้มแข็งเท่าพวกมัน แต่พวกมันก็ไม่กล้าเข่นฆ่าอีกฝ่ายมั่วซั่ว!
เพราะหากพวกมันฆ่าผู้อื่นเขาขึ้นมาล่ะก็ จวนผู้ว่าไม่พ้นต้องมีโมโหหนักแน่ ถึงตอนนั้นอาจจะส่งตัวตนขอบเขตต้าหลัวจินเซียนออกมาไล่ฆ่าล้างบางพวกมันแล้วจริงๆ!
ในกาลก่อนคนของจวนผู้ว่าส่วนใหญ่เพียงออกมาล่าพวกมันตามหน้าที่อย่างขอไปทีเท่านั้น บ้างก็มีพบปะแต่ก็จบเรื่องราวด้วยการมอบ ‘สินน้ำใจเล็กๆน้อย’ เช่นนี้ เพราะพวกมันไม่ได้ล้ำเส้นของอีกฝ่าย
แต่หากพวกมันไปฆ่าคนของจวนผู้ว่าจนกระตุ้นให้ต้าหลัวจินเซียนเคลื่อนไหวล่ะก็ คราวนี้พวกมันก็ไร้ที่ยืนในมณฑลจิ่วโยวแล้วจริงๆ กระทั่งยังเสี่ยงถูกฆ่าล้างจนสิ้นซาก…
“ไม่จำเป็น”
เจิ้งชิวกล่าวออกเสียงเบา “ในเมื่อวันนี้พวกเจ้าสองผู้กล้าขาวดำปรากฏตัวขึ้นทั้งที…เช่นนั้นก็อย่าได้จากไปเถอะ!”
ขณะเอ่ยประโยคหลัง แสงเย็นในแวววตาของเจิ้งชิวยิ่งแรงกล้าขึ้น
“ใต้เท้า…ท่านอย่าให้มันมากเกินไปนัก…”
ดั่งคำกล่าว อรหันต์ยังมีวันพิโรธ พอได้ยินวาจาถือดีของเจิ้งชิว ชายชราขาวดำก็ชักสีหน้ากล่าวออกเสียงทุ้มว่า “ใต้เท้า พวกท่านทั้ง 3 จะอย่างไรก็มีแค่หนึ่งจินเซียนตะวันม่วง…ไม่แน่ว่าท่านอาจจะไม่ใช่คู่ต่อสู้ของพวกเรา!”
“หากใต้เท้ายืนกรานคิดส่งพวกเราไปตามทางจริงๆ…ก็อย่าได้โทษที่พวกเราจำต้องเข่นฆ่าพวกใต้เท้าทั้ง 3!”
“อย่างมาก…หลังพวกเราเข่นฆ่าพวกใต้เท้าทั้ง 3 แล้ว พวกเราก็แค่ย้ายออกจากมณฑลจิ่วโยวเสีย!”