War sovereign Soaring The Heavens - ตอนที่ 2671
ตอนที่ 2,671 : หลอมโอสถ
ณ จวนผู้ว่าการมณฑลจิ่วโยว
ภายในห้องโถงใหญ่ของจวน ผู้ว่าอย่างเถียนจี้หวี่นั่งเหม่อคิดอะไรอยู่เงียบๆ คล้ายกำลังเฝ้ารอใครบางคน
ทว่าทันใดนั้นเอง อยู่ดีๆมันก็ลุกพรวดขึ้นมายืน!
“ท่านผู้ว่า…”
เสียงหนึ่งดังขึ้นจากด้านนอกโถง
พอได้ยินเสียงดังกล่าว เถียนจี้หวี่ก็คลี่ยิ้มออกมาทันที จากนั้นก็เร่งวูบร่างออกไปนอกห้องโถง และมองไปยังร่างชายหนุ่มชุดม่วงที่พึ่งมาถึงหน้าห้องโถงด้วยสายตาสดใส “ต้วนหลิงเทียน เรื่องราวกระจ่างแล้วหรือยัง มีอันใดให้ข้าช่วยหรือไม่?”
“ขอบคุณผู้ว่าที่เป็นห่วง”
ชายหนุ่มชุดม่วงที่มาถึงหน้าห้องโถงใหญ่จวนผู้ว่าการมณฑลจิ่วโยว ก็คือต้วนหลิงเทียนที่พึ่งกลับมาจากตระกูลหลิวนั่นเอง พอได้ยินคำถามดังกล่าวของเถียนจี้หวี่ เขาก็คลี่ยิ้มบางๆเอ่ยตอบกลับไปว่า “ด้วยมีผู้ว่าให้การสนับสนุนข้าทั้งคน เรื่องราวยังไม่เรียบร้อยได้เหรอ”
ถึงแม้ก่อนออกจากตระกูลหลิวเขาจะ ‘เรียกร้อง’ ราคาเกินจริงออกไปต่อผางปิง เรื่องให้ตระกูลผางนำหินอมตะระดับสูง 200,000 ก้อนมามอบให้เขาในเวลา 3 วันนั้น จะเป็นอะไรที่ตระกูลผางจ่ายไม่ไหว
แต่เขาเชื่อว่าผางปิงเป็นคนฉลาด มันต้องหาหนทางขุดหินอมตะระดับสูง 200,000 ก้อนมาให้เขาจนได้แน่!
ไม่ใช่เพราะอะไรอื่น แต่เป็นเพราะเขามีผู้ว่าให้ท้าย!
เรื่องที่ทำไมผู้ว่าต้องให้ท้ายเขา ไม่ว่าใครก็เดาได้ไม่ยาก
จากพลังที่เผย ไม่พ้นเขาต้องชนะเลิศในการประลอง 16 มณฑลแน่นอน! และนั่นหมายความว่าเขาจะนำโอสถต้าหลัวกลับมาให้ผู้ว่าถึง 3 เม็ด!!
ด้านหนึ่งคือโอสถทิพย์ระดับกลางอย่างโอสถต้าหลัว 3 เม็ด! อีกด้านคืออาวุโสฝ่ายในที่พลังฝึกปรือยังติดแหง็กอยู่ในขอบเขตจินเซียนขั้นสูงสุดมาหลายร้อยปี…
ถึงจะไม่ใช่ผู้ว่า แต่ไม่ว่าใครก็รู้ว่าอย่างไหนสำคัญกว่ากัน…
“ดีแล้ว”
เถียนจี้หวี่พยักหน้ารับ ค่อยเชิญต้วนหลิงเทียนเข้าไปในห้องโถง “เข้าไปคุยกันข้างในเถอะ”
หลังเข้ามาในห้องโถงใหญ่ เถียนจี้หวี่ก็ไม่ไปนั่งในตำแหน่งสูงสุด เพียงเลือกที่จะนั่งในระดับเดียวกับต้วนหลิงเทียนแทน หากแต่สีหน้าของมันหลังนั่งลงแล้ว กลับแลดูเป็นกังวลพิกล
“ต้วนหลิงเทียน…หลังจากวันนี้ไป ข้าเกรงว่าเจ้าคงไม่อาจอยู่ในเมืองประจำมณฑลจิ่วโยวได้อีกแล้ว…”
เถียนจี้หวี่กล่าวออกมา พลางถอนหายใจดังเฮือก
“ข้ารู้”
ต้วนหลิงเทียนพยักหน้า
“เจ้ารู้หรือ?”
เถียนจี้หวี่อดไม่ได้ที่จะผงะ เพราะมันเองก็พึ่งจะนึกถึงเรื่องนี้ขึ้นมาได้แท้ๆ…
แต่ตอนนี้มันแค่เกริ่นออกมา ต้วนหลิงเทียนดันบอกว่ารู้แล้ว?
ต้วนหลิงเทียนที่เห็นเถียนจี้หวี่มองมาด้วยสายตาแปลกใจ ก็เอ่ยตอบไปว่า “หลังจากวันนี้ไป ความจริงที่ข้าต้วนหลิงเทียนมีความแข็งแกร่งใกล้เคียงกับต้าหลัวจินเซียนอย่างมาก ไม่พ้นต้องแพร่ไปทั่วเมืองประจำมณฑล กระทั่งสมควรแพร่ไปทั้งมณฑลจิ่วโยวแน่นอน”
“เพราะเรื่องนี้ต่อให้ท่านผู้ว่าระวังป้องกันเพียงใดก็ไร้ผล ยากจะปิดปากผู้คนให้มิดได้…สุดท้ายในระนาบเทวโลกแห่งนี้ก็ไม่มีคำสาบานต่อทัณฑ์สวรรค์ ทำให้ไม่ว่าใครที่อยู่ในเหตุการณ์วันนี้ก็ล้วนลอบกระจายข่าวออกไปได้ทั้งสิ้น”
ต้วนหลิงเทียนพูดถึงจุดนี้ก็หยุดลงเล็กน้อย
เถียนจี้หวี่พยักหน้ารับ
เป็นแบบนั้นจริงๆ
“และพอข่าวนี้มันแพร่ไปทั่วเมืองประจำมณฑลจิ่วโยวเมื่อไหร่ ไม่พ้นต้องล่วงรู้ไปถึงหูของผู้ว่าอีก 15 มณฑลแน่นอน…และพออีก 15 มณฑลล่วงรู้ว่าที่มณฑลจิ่วโยวมีจินเซียนที่ร้ายกาจเช่นข้าดำรงอยู่ พวกมันไม่มีทางปล่อยให้ข้ามีชีวิตรอดถึงวันประลอง 16 มณฑลที่พระราชวังฉินแน่นอน”
“ถึงตอนนั้นพวกมันแม้ไม่ส่งยอดฝีมือในมณฑลของตัวเองมา แต่ไม่พ้นต้องลงขันระดมทุนครั้งใหญ่เพื่อจ้างวานยอดฝีมือให้มาฆ่าข้าคาจวนผู้ว่าแห่งนี้แน่! เพราะหากพวกมันระดมทุนกันจริง คงมีทุนมากพอจ้างวานยอดฝีมือที่มีพลังเหนือกว่าผู้ว่าได้ไม่ยากใช่หรือไม่?”
ต้วนหลิงเทียนพูดมาถึงท้ายประโยค ก็หันไปเอ่ยถามเถียนจี้หวี่
“มิผิด”
เถียนจี้หวี่ไม่คิดว่าต้วนหลิงเทียนจะมองเรื่องนี้ออกทะลุปรุโปร่งแต่แรก พอได้ยินคำถามของต้วนหลิงเทียน มันก็พยักหน้าตอบคำไปทันที “ขอเพียงพวกมันทั้งหมดยอมเฉือนเนื้อสักหน่อย ย่อมมีทุนทรัพย์มากพอจ้างวานยอดฝีมือที่เหนือกว่าข้าได้แน่นอน…”
“เพราะในสายตาของพวกมัน…หากเจ้ายังมีลมหายใจอยู่ ก็เสมือนอันดับ 1 ของการประลอง 16 มณฑลที่พระราชวังฉินจะจัดขึ้นถูกยึดครองไปแล้วแต่แรก นั่นย่อมเป็นอะไรที่พวกมันไม่อยากเห็นที่สุด เช่นนั้นพวกมันต้องรวมหัวกันหาทางกำจัดเจ้า โดยจ้างวานมือสังหารที่พลังฝีมือเหนือกว่าข้ามาฆ่าเจ้าแน่นอน”
“และหากคนที่พวกมันจ้างวานมาอ่อนด้อยกว่าข้า ก็ไม่ต่างจากพวกมันไม่ได้ทำอะไร…เพราะถึงตอนนั้นขอเพียงข้านั่งเฝ้าเจ้าอยู่ในจวนไม่ไปไหน ก็อย่าหวังจะมีใครทำร้ายเจ้าได้ นับประสาอะไรกับเอาชีวิตเจ้า!!”
เถียนจี้หวี่กล่าว
“ข้าก็คิดไว้แบบนี้”
ต้วนหลิงเทียนพยักหน้า “ดังนั้นข้าเลยวางแผนจะจากไป…”
“เจ้าจะออกเดินทางเมื่อไหร่หรือ?”
เถียนจี้หวี่กล่าวถาม
“แน่นอนว่ายิ่งเร็วเท่าไหร่ยิ่งดีที่สุด…หากไม่มีอะไรผิดพลาดก็สมควรเป็นหลังจากนี้อีก 3 วัน เพราะอย่างไรข้าก็ยังมีหนี้ 2 บัญชีที่ต้องรอเก็บหลังจากนี้ 3 วัน…”
ต้วนหลิงเทียนกล่าว
“หนี้รอเก็บ 2 บัญชี?”
เถียนจี้หวี่พอได้ฟังก็ผงะไปเล็กน้อย
พอต้วนหลิงเทียนอธิบายให้ชดว่าหนี้ 2 บัญชีที่ว่าคืออะไร แม้เถียนจี้หวี่จะเป็นผู้ว่าการมณฑลจิ่วโยวผู้ผ่านคลื่นลมมรสุมอะไรมาไม่น้อย มุมปากยังอดกระตุกไปไม่ได้
“เจ้า…ใจร้ายยิ่ง!”
“หินอมตะระดับสูงแสนก้อนสำหรับตระกูลหลิวแล้ว ถึงแม้จะยังไม่ถึงขั้นเฉือนเนื้อหั่นกระดูก แต่ไม่พ้นพวกมันต้องเซ้งกิจการสักอย่างเพื่อรวบรวมหินอมตะระดับสูงมาจ่ายเจ้าแน่”
“ส่วนหินอมตะระดับสูงสองแสนก้อน…ด้วยสถานการณ์ของตระกูลผางในปัจจุบัน ข้าเกรงว่าพวกมันคงจ่ายเจ้าไม่ไหว”
เถียนจี้หวี่กล่าว
“ตระกูลผางจ่ายไม่ไหว…แต่ข้าเชื่อว่าอาวุโสผางปิงเป็นคนฉลาด ไม่พ้นต้องบีบให้ตระกูลหลิวช่วยจ่ายแน่”
ต้วนหลิงเทียนกล่าวออกเสียงเบา “สำหรับฐานะของตระกูลหลิวแล้ว หินอมตะระดับสูงแสนก้อนคงควักออกมาไม่ยากเย็น…”
“แต่ถ้าเป็นหินอมตะระดับสูงสองแสนก้อน…ข้าเชื่อว่าต่อให้เป็นตระกูลหลิว ก็ต้องมีขายสมบัติประจำตระกูลกระทั่งเฉือนเนื้อหั่นกระดูกกันบ้าง!”
เถียนจี้หวี่ได้ฟังก็ถอนหายใจเฮือกหนึ่ง “เดิมทีข้าวางแผนจะมอบหินอมตะระดับสูงให้เจ้าติดตัวสำหรับการเดินทาง…แต่ตอนนี้ดูเหมือนจะไม่จำเป็นแล้ว ด้วยมีหินอมตะระดับสูง 300,000 ก้อน หินอมตะคงไม่ขาดมือเจ้าเร็วๆนี้แน่”
“อย่างไรก็ตามเจ้าจากไปครานี้…อย่าได้ลืมไปเข้าร่วมการประลอง 16 มณฑลที่พระราชวังฉินเล่า!”
อยู่ๆสีหน้าของเถียนจี้หวี่ก็เริ่มเปลี่ยนเป็นจริงจังแข็งขัน มองจ้องต้วนหลิงเทียนกล่าวออกเสียงเข้มว่า “ข้าจะจัดการเรื่องสมัครเข้าร่วมการประลอง 16 มณฑลให้เจ้าเอง…เจ้าเพียงปรากฏตัวในวันที่งานประลอง 16 ทณฑลเริ่มต้นขึ้นก็พอ ข้าเชื่อว่าพอถึงตอนนั้นต่อให้พวก 15 มณฑลอยากฆ่าเจ้าแค่ไหน แต่ด้วยมีคนของพระราชวังฉินอยู่ก็ไม่มีใครกล้าลงมือเป็นแน่!”
“ข้าก็คิดไว้แบบนั้น”
ต้วนหลิงเทียนพยักหน้า
หลังจากนั้นสักพัก ต้วนหลิงเทียนก็ขอตัวลาเถียนจี้หวี่ กลับหลุมมังกรซ่อน
เพราะก่อนที่เขาจะออกเดินทางไปจากที่นี่ เขายังมีเรื่องต้องทำอีกมาก
และสิ่งที่เขาให้ความสำคัญเป็นลำดับแรกตอนนี้ก็คือ การหลอมโอสถ!
ตอนนี้สมุนไพรสำหรับการหลอมโอสถเขาก็มีแล้ว ยังมีสมุนไพรไว้ให้ลองมือเพียบ ขาดก็แต่เตาหลอมเท่านั้น…
‘จริงสิ! ลองดูในแหวนของอาวุโสตระกูลหลิวก่อนดีกว่า เห็นว่ามันเป็นปรมาจารย์หลอมโอสถระดับต่ำเหมือนกัน เช่นนั้นก็สมควรมีเตาหลอมโอสถส่วนตัว แบบนั้นก็ไม่ต้องออกไปซื้ออีกรอบ’
หลังกลับมาถึงห้องศิลาบ่มเพาะในหลุมมังกรซ่อนแล้ว ต้วนหลิงเทียนก็หยิบแหวนพื้นที่ออกมาทั้งหมด เป็นแหวนที่เขาได้มาวันนี้สองสามวง หนึ่งในนั้นก็สมควรมีแหวนของหลิวชิงรวมอยู่ด้วย!
‘เจอแล้ว’
หลังต้วนหลิงเทียนลองส่องภายในแหวนสำรวจแหวนไปสักพัก เขาก็เจอแหวนที่สมควรเป็นของหลิวชิง เพราะในแหวนวงนี้ไม่เพียงมีสมุนไพร ยังมีสูตรโอสถและเทียบยาหลายอย่างนัก แน่นอนว่าเตาหลอมโอสถก็ด้วย!
สำหรับกองหินอมตะนั้นต้วนหลิงเทียนไม่ได้สนใจเลย
ถึงแม้ในแหวนพื้นที่ของหลิวชิงจะมีหินอมตะไม่น้อย
อย่างไรก็ตามเมื่อเทียบกับหินอมตะระดับสูง 300,000 ก้อนจากทั้ง 2 ตระกูลที่เขากำลังจะได้ในอีก 3 วันหลังจากนี้ หินอมตะกองเล็กๆในแหวนหลิวชิงก็ไม่สลักสำคัญอะไร
“โอสถทั้งหลายในแหวน ล้วนเป็นโอสถทิพย์ระดับต่ำ…หืม? นี่มันโอสถกระตุ้นวิญญาณนี่ มีสูตรหลอมด้วย?!”
ในบรรดาขวดโอสถที่หลิวชิงเก็บไว้ทั้งหมด ต้วนหลิงเทียนที่ไล่ดูก็พบว่ามีโอสถที่ทำให้เขาบังเกิดความสนใจได้แค่ชนิดเดียวเท่านั้น…โอสถทิพย์ระดับต่ำ โอสถกระตุ้นวิญญาณและสูตรของมัน!!
โอสถกระตุ้นวิญญาณเป็นโอสถที่ผู้ว่าให้เขาไว้ใช้ก่อนหน้านี้ และมีแค่ขวดเดียวเท่านั้น ซึ่งมีส่วนช่วยเหลือในการบ่มเพาะพลังของเขาไม่น้อย ทำให้เขาทะลวงถึงจินเซียนตะวันเหลืองได้ในเวลาแค่หนึ่งปีครึ่ง!
และพอเขาทะลวงถึงขอบเขตจินเซียนตะวันเหลืองโอสถกระตุ้นวิญญาณก็หมดลงพอดี…
‘ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมผู้ว่าถึงบอกว่าโอสถกระตุ้นวิญญาณหายากมาก…ที่แท้นอกจากสมุนไพรที่ใช้หลอมกลั่นจะหาได้ยากแล้ว กรรมวิธีในการหลอมมันยังยากเย็นนัก โอกาสที่ปรมาจารย์หลอมโอสถอมตะระดับต่ำจะหลอมสำเร็จนับว่าต่ำเตี้ยเรี่ยดินทีเดียว…’
หลังได้อ่านสูตรโอสถกระตุ้นวิญญาณและวิธีการหลอมแล้ว ในที่สุดต้วนหลิงเทียนก็ได้รู้…
ว่าไฉนโอสถกระตุ้นวิญญาณถึงได้หายากกว่าโอสถเสริมวิญญาณมากมายนัก!
‘อย่าพึ่งฝันไกล ตอนนี้ขอให้หลอมโอสถเสริมวิญญาณให้ได้ก่อน…ที่สำคัญ ข้ายังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเพลิงอมตะสีเทาในเศษโลหะแตกๆนี่ ที่แท้เป็นเพลิงอมตะหลอมโอสถหรือเพลิงอมตะหลอมอุปกรณ์กันแน่…’
ต้วนหลิงเทียนสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ก่อนที่จะกระทำตามวิธีเรียกใช้เพลิงอมตะที่เขาศึกษามา ทันใดนั้นก็ปรากฏเพลิงอมตะบางส่วนเคลื่อนออกจากเศษโลหะแตกหักมาลุกโชนบนมือเขา…และเขาก็เรียกใช้ได้แค่ส่วนน้อยของเพลิงอมตะสีเทาเท่านั้น!
“ลองดูก่อน”
เมื่อจุดเพลิงอมตะขึ้นได้แล้ว ต้วนหลิงเทียนก็ทดลองควบคุมเปลวเพลิงอยู่พักหนึ่ง จากนั้นก็หยิบเตาหลอมโอสถขึ้นมาและเริ่มจัดเรียงสมุนไพร สุดท้ายเขาก็เริ่มอุ่นเตาหลอมโอสถและเริ่มทดลองหลอมโอสถตามวิธีที่ได้ศึกษาไว้ทันที
หากแต่พึ่งอุ่นเตาเสร็จ และคิดจะสกัดสารตั้งต้นจากสมุนไพรชนิดหนึ่ง เพลิงเทาก็ลุกพรึ่บไหม้สมุนไพรชุดแรกเป็นตอตะโกต่อหน้าต่อตา
“นั่นไง!”
ต้วนหลิงเทียนได้แต่คลี่ยิ้มออกมาอย่างขื่นขม เขารู้ดีว่าไฉนเป็นเช่นนี้ ทั้งหมดเพราะเขาไม่ได้หลอมกลั่นโอสถมานานมากแล้ว ยังควบคุมความร้อนของเปลวเพลิงได้ไม่ดีพอ…
‘ว่าแต่…แค่ส่วนหนึ่งของเพลิงอมตะสีเทานี่ยังรุนแรงขนาดนี้เลยหรือ…พลังของมันไม่ได้ด้อยไปกว่าเพลิงอมตะระดับต่ำที่มีรายละเอียดบันทึกไว้ในยันต์อมตะเก็บความทรงจำเลย’
หลังตระหนักได้ถึงสิ่งนี้ ต้วนหลิงเทียนก็เริ่มตระหนักถึงอะไรบางอย่างในใจ จากนั้นก็ทดลองหลอมโอสถต่อ
ครั้งที่สองต้วนหลิงเทียนเริ่มควบคุมเปลวเพลิงได้ดีขึ้น อนิจจาสุดท้ายก็ยังมีผิดพลาดเล็กน้อย ทำให้สมุนไพรอีกชุดจำต้องไหม้ดำอีกรอบ…
“อีกรอบ!”
หลังจากนั้นต้วนหลิงเทียนก็พยายามครั้งที่ 3, 4, 5…
เขาเผาสมุนไพรที่ใช้ในการหลอมโอสถเสริมวิญญาณทิ้งราวฟางข้าว ทำเหมือนทั้งหมดที่ไหม้เกรียมเป็นแค่หญ้าข้างทางไร้ราคา…
ยังดีที่ไม่มีใครอยู่ที่นี่
หาไม่แล้วหากได้มาเห็นฉากเรื่องราวดังกล่าว คงได้แต่ร่ำร้องว่าต้วนหลิงเทียนจะล้างผลาญเกินไปแล้ว!
และในที่สุด ความพยายามครั้งที่ 13 ของต้วนหลิงเทียน เขาก็หลอมสกัดสารตั้งต้นจากสมุนไพรทั้งหมดด้วยเพลิงอมตะสีเทาได้สำเร็จ จากนั้นก็ค่อยๆควบคุมพวกมันให้ลอยลงสู่เตาหลอมอย่างไม่รีบไม่ร้อน และเริ่มต้นกำเนิดการตามขั้นตอนต่อไป…
หลังจากนั้นระหว่างการหลอมไม่ว่าจะควบคุมความร้อน หรือใช้พลังเคี่ยวตัวยาเขาก็ทำได้ดีไม่มีผิดพลาด…
อนิจจาพอถึงขั้นตอนสุดท้ายที่ต้องควบแน่นสารให้เป็นเม็ดโอสถ เตาหลอมโอสถก็เริ่มสั่นไหวครืนๆ!
หลังจากนั้นไม่ทันไร ควันสีดำมืดน่ากลัวก็ฟุ้งโขมงโฉงเฉงขึ้นมา ก่อนกลิ่นเหม็นไหม้หนึ่งจะโชยเตะจมูกต้วนหลิงเทียน…