War sovereign Soaring The Heavens - ตอนที่ 2715
ตอนที่ 2,715 : หินอมตะระดับสูง 800,000 ก้อน!
“ใต้เท้า! ตระกูลลู่ของพวกเราต้องขออภัยต่อท่าน และต้องขอขอบพระคุณใต้เท้าอย่างยิ่ง!”
เมื่อต้าหลัวจินเซียนขั้นสวรรค์ทั้ง 2 ได้ยืนยันแล้ว ผู้นำตระกูลลู่ ลู่เฉียน ก็โค้งหัวกล่าวคำขอขมาและคำขอบคุณออกมา หว่างคิ้วของมันตอนนี้แผ่พุ่งความตื่นเต้นทั้งมีความสุขล้นใจออกมาชัดเจน!
ทำราวกับต้วนหลิงเทียนไม่ใช่ศัตรูของมันอีกต่อไป แต่เป็นพระผู้มาโปรดแทน!
“ขอบพระคุณใต้เท้า!”
เหล่าผู้อาวุโสตระกูลลู่ที่ติดสอยห้อยตามชนชั้นผู้นำมา ก็เร่งกล่าวคำขอบคุณต้วนหลิงเทียนทันที ขณะเดียวกันใบหน้าของพวกมันก็ฉายชัดถึงความตื่นเต้นยินดีนัก
การที่ต้าหลัวจินเซียนขั้นสวรรค์ทั้ง 2 ของสกุลฉีตายตกไปแล้วมีความหมายอย่างไร พวกมันรู้ดี!
นั่นหมายความว่าตระกูลฉี ไม่อาจหยุดยั้งตระกูลลู่ของพวกมันได้อีกต่อไป!
ตระกูลลู่ของพวกมัน กำลังจะกลายเป็นนายเหนือหนึ่งเดียวของเมืองฉีลู่!
“แต่ดูเหมือนที่ข้าฆ่าไป…เห็นว่าเป็นลูกชายหัวแก้วหัวแหวนของเจ้าเลยนี่…”
ต้วนหลิงเทียนเหลือบมองลู่เฉียน พลางกล่าวเรื่องเก่าด้วยสายตาเฉยเมย
“ใต้เท้า ท่านมอบโอกาสอันประเสริฐในการรวบเมืองฉีลู่ให้กับตระกูลลู่ของพวกเราเช่นนี้…อย่าได้กล่าวถึงลูกชายคนเดียวเลย หากใต้เท้าต้องการ หลังจากนี้ข้าสามารถหาภรรยาน้อยมาปั๊มลูกชายเตรียมไว้สักหลายๆคน ให้ท่านกลับมาฆ่าเล่นยามว่างโดยเฉพาะ!”
ลู่เฉียนกล่าวออกด้วยความตื่นเต้นคึกคัก!
และวาจาดังกล่าวลู่เฉียนไม่ได้พูดออกมาเพราะหวาดกลัวพลังของต้วนหลิงเทียนกับฮ่วนเอ๋ออีกต่อไป
หากมันล่วงรู้แต่แรกว่า…สามารถแลกสิทธิ์ครอบครองเมืองเพียงหนึ่งเดียวกับการเสียสละลูกชายล่ะก็…
มันจะฆ่าลูกชายของมันด้วยน้ำมือตัวเอง!
ในสายตาของมันนั้น
ลูกชายตายตกไปแค่คนเดียว จะมีใหม่เมื่อไหร่ก็ได้…อย่างไรเสียมันก็มีชีวิตอมตะ!
แต่โอกาสฮุบกลืนเมืองฉีลู่เช่นนี้หากพลาดไปแล้วก็คงต้องพลาดเลย เพราะโอกาสดีๆเช่นนี้เป็นไปได้สูงว่าจะไม่มีปรากฏขึ้นอีก…
มันย่อมให้ความสำคับเรื่องนี้มาก เพราะนี่คือการต่อสู้ช่วงชิงมาหลายพันปีแล้ว…
ได้ยินคำของลู่เฉียน ต้วนหลิงเทียนถึงกับหมดคำจะพูด จากนั้นเขาก็คร้านจะสนใจเรื่องราวไร้สาระนี้ต่อไป เพราะคิดว่าไร้จำเป็น…
เห็นได้ชัดว่าในสายตาของลู่เฉียน ผลประโยชน์ของตระกูลอยู่เหนือสิ่งอื่นใด
“ทว่าคราวนี้ข้าฆ่าต้าหลัวจินเซียนขั้นสวรรค์ทั้ง 2 ของตระกูลฉี จนสร้างโอกาสงามๆให้ตระกูลลู่ของเจ้าขึ้นมารวมอำนาจเบ็ดเสร็จได้…ตระกูลลู่เจ้าไม่คิดว่าต้องตอบแทนอะไรข้าหน่อยหรือ?”
ต้วนหลิงเทียนหยีตากล่าว
“แน่นอน! ต้องตอบแทนใต้เท้าเป็นธรรมชาติ!!”
ลู่เฉียนกล่าวตอบ จากนั้นก็หันไปมองบิดาอดีตผู้นำตระกูล และบรรพบุรุษตระกูลลู่
“ใต้เท้า มิทราบว่าท่านต้องการอันใด? ตราบใดที่ยังอยู่ภายใต้ขอบเขตอำนาจของตระกูลลู่พวกเราสามารถกระทำได้…ตระกูลลู่เราจะพยายามทำให้ดีที่สุดเพื่อใต้เท้า”
บรรพบุรุษตระกูลลู่ มองกล่าวกับต้วนหลิงเทียนด้วยความจริงจัง
“อย่างแรกเลย ข้าอยากได้แผนที่ๆครอบคลุมอาณาบริเวณกว้างใหญ่ที่สุดเท่าที่ตระกูลลู่เจ้าจะหามาได้…และแผนที่ๆว่าต้องมีรายละเอียดมากพอ”
ต้วนหลิงเทียนกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงเฉยเมย
แผ่นที่ๆว่านั้น ตระกูลฉีสมควรตระเตรียมมาให้เขาแล้ว ทว่าไม่ทราบตอนนี้อยู่ส่วนไหนของแหวน เขาคร้านจะเสียเวลาหามัน…
“นี่เป็นเรื่องเล็กน้อยนัก!”
บรรพบุรุษตระกูลลู่เดิมทีก็หวาดกลัวว่าต้วนหลิงเทียนจะเอ่ยคำขอพิสดารสุดที่พวกมันจะทานทน แต่พอได้ยินคำขอดังกล่าว พวกมันก็พอได้ระบายลมหายใจออกมาอย่างโล่งอกทันที
“ใต้เท้า มิทราบใต้เท้ายังต้องการสิ่งใดอีกหรือไม่?”
บรรพบุรุษตระกูลลู่กล่าวถามสืบต่อ
“อืม ยังมีอีกเรื่อง…”
ต้วนหลิงเทียนพยักหน้า จากนั้นก็กวาดตามองไปยังคนขอสกุลลู่ที่คุกเข่าบนลานน้ำแข็งหน้าสลอน ค่อยกล่าวว่า “พวกเรากำลังจะจากไปในอีก 3 วัน…เช่นนั้นหลังจากนี้อีก 3 วัน พวกเราต้องการเห็นหินอมตะระดับสูงล้านก้อน…”
หินอมตะระดับสูงล้านก้อน
เมื่อต้วนหลิงเทียนเอ่ยประโยคนี้ออกมา สีหน้าของคนตระกูลลู่ไม่เว้นบรรพบุรุษก็เปลี่ยนสีไปทันที
“ใต้เท้า…”
บรรพบุรุษตระกูลลู่กล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงขื่นขม “ตอนนี้ตระกูลลู่เราอย่างดีก็สามารถรบรวมหินอมตะระดับสูงให้ท่านราวๆ 300,000 – 400,000 ก้อนเท่านั้น…หากท่านให้เวลาพวกเราสักระยะพวกเราอาจรวบรวมได้ 500,000-600,000 ก้อน ทว่า 3 วันมันสั้นเกินไป…”
“เจ้าจะบอกข้าว่าถึงข้าจะฆ่าต้าหลัวจินเซียนขั้นสวรรค์ทั้ง 2 ของตระกูลฉีไปแล้ว…แต่พวกเจ้าที่สามารถฮุบกลืนกิจการทั้งหมดของตระกูลฉีได้ทันที ยังไม่อาจจ่ายหินอมตะระดับสูงล้านก้อนให้ข้าได้งั้นเหรอ?”
ต้วนหลิงเทียนกล่าวออกเสียงเรียบ
“ใต้เท้า เรื่องนี้ท่านคงยังไม่ทราบ”
บรรพบุรุษตระกูลลู่สูดอากาศเข้าลึกๆ รวบรวมความกล้ากล่าวออกมาว่า “สำหรับตระกูลใหญ่อย่างตระกูลฉีกับตระกูลลู่ของพวกเรา ทรัพย์สินอย่างน้อยครึ่งหนึ่งจะอยู่ในมือต้าหลัวจินเซียนขั้นสวรรค์ทั้ง 2…ในเมื่อใต้เท้าได้ฆ่าต้าหลัวจินเซียนขั้นสวรรค์ทั้ง 2 ของตระกูลฉีไป เช่นนั้นแหวนพื้นที่ของพวกมันสมควรอยู่กับท่าน…”
“เช่นนั้นกล่าวได้ว่าความมั่งคั่งครึ่งหนึ่งของตระกูลฉีได้อยู่ในมือของท่านแล้ว ใต้เท้า…”
บรรพบุรุษตระกูลลู่กล่าว
“หินอมตะระดับสูง 800,000 ก้อน”
หลังได้ยินคำพูดของอีกกฝ่าย ต้วนหลิงเทียนก็โบกมือส่งๆอย่างขาดความอดทน “อีก 3 วันข้าต้องเห็นหินอมตะระดับสูง 800,000 ก้อน หากพวกเจ้าหามาให้ข้าไม่ได้ ข้าก็ไม่รังเกียจจะส่งต้าหลัวจินเซียนขั้นสวรรค์ทั้ง 2 ของตระกูลลู่เจ้า ไปอยู่เป็นเพื่อนต้าหลัวจินเซียนขั้นสวรรค์ของตระกูลฉี”
หลังกล่าวจบคำ ต้วนหลิงเทียนก็คร้านจะเสวนาอะไรกับคนตระกูลลู่สืบไป เขาหันไปมองฮ่วนเอ๋อ สีหน้ารำคาญยังเปลี่ยนเป็นรอยยิ้มอบอุ่น เอ่ยขึ้นว่า “ฮ่วนเอ๋อ พวกเราไปกันเถอะ”
“อื้อ”
ฮ่วนเอ๋อพยักหน้ารับอย่างเชื่อฟัง ก่อนที่จะเหินร่างตามต้วนหลิงเทียนไป
ไม่นานแผ่นหลังของต้วนหลิงเทียนกับฮ่นเอ๋อ ก็หายลับสายตาคนตระกูลลู่ไป…
ส่วนคนตระกูลลู่นั้น เมื่อลานน้ำแข็งสลายหายไป บัดนี้พวกมันก็กลับมาลอยร่างค้างกลางหาวอีกครั้ง ทว่าแต่ละคนไม่กล่าวโวยวายหรือไม่พอใจอะไรออกมาแม้ครึ่งคำ
เพราะพวกมันรู้ดี
ว่าชายหนุ่มชุดม่วงนั่นได้ปราณีพวกมันมากแล้ว
“พวกมัน…ที่แท้เป็นผู้ใดกันแน่?”
จนเมื่อแผ่นหลังของต้วนหลิงเทียนกับฮ่วนเอ๋อหายลับไปจากสายตาได้สักพัก อดีตผู้นำตระกูลลู่ อดไม่ได้ที่จะกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“ข้าก็ไม่รู้เลยท่านพ่อ…”
ได้ยินคำถามของบิดา ลู่เฉียนก็ส่ายหัวกล่าวว่า “พวกมันสมควรเป็นคนนอก และน่าจะพึ่งมาถึงเมืองฉีลู่ของพวกเราเป็นครั้งแรก…”
“ฮึ่ม! ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป…จักไม่มีเมืองฉีลู่อีก จะมีก็แต่ ‘เมืองลู่’ เท่านั้น”
บรรพบุรุษตระกูลลู่แค่นคำเสียงเย็น ค่อยกล่าวแก้คำ
เมืองลู่!
พอคำของบรรพบุรุษตระกูลลู่ดังจบคำ คนของตระกูลลู่ทุกคนก็ทำตาโต ฉายประกายวิ๊งๆ ไม่ต่างอะไรจากดวงดาวกลางฟ้ามืดยามค่ำคืน
“ท่านบรรพบุรุษรุษ…ในเวลาแค่ 3 วัน พวกเราจะไปหาหินอมตะระดับสูง 800,000 ก้อนมาได้จริงหรือ? กิจการของพวกเราอย่างไรก็ต่างจากตระกูลฉี พวกเรามีหินอมตะหมุนเวียนน้อยกว่าพวกมันนัก..”
หลัจากหายจากอาการตื่นเต้นแล้ว ลู่เฉียนก็อดถามออกมาด้ยความกังวลไม่ได้
“ไม่ว่าจะอย่างไรพวกเราก็ต้องหามาให้ได้! เมื่อครู่เจ้าไม่เห็นท่าทีของใต้เท้าผู้นั้นหรือไร?”
บรรพบุรุษตระกูลลู่กล่าวออกเสียงทุ้ม
หลังจากนั้นบรรพบุรุษตระกูลลู่ ก็หันไปมองอดีตผู้นำตระกุลลู่ ค่อยสั่งว่า “ลู่จิ่ว หลังจากที่พวกเราฮุบกลืนกิจการของตระกูลฉีแล้ว เจ้าเร่งเดินทางไปยังเมืองข้างเคียงเสีย…ไปหาพันธมิตรตระกูลลู่ของพวกเราแล้วหยิบยืมหินอมตะระดับสูงมาให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้เถอะ”
“ทราบแล้วท่านบรรพบุรุษ!”
ผู้นำตระกูลลู่รุ่นก่อนรับคำสั่งด้วยความเคารพ
ถึงแม้จะเป็นต้าหัวจินเซียนขั้นสวรรค์ดุจเดียวกัน หากแต่พลังฝีมือของบรรพบุรุษคนนี้เหนือกว่ามันมาก
อีกทั้งความอาวุโสก็สูงกว่ามันหลายรุ่น
เช่นนั้นแล้วต่อหน้าอีกฝ่าย มันไหนเลยจะกล้าทำตัวยิ่งใหญ่
หลังจากนั้นเหล่าอาวุโสของตระกูลลู่ ก็โจนทะยานเข้าไปในตระกูลฉีราวหมาป่าโหยหิว
ถึงแม้ตระกูฉีจะไม่ได้มีแค่ต้าหลัวจินเซียนขั้นสวรรค์ 2 คนเท่านั้นที่เป็นกำลังรบ ทว่าด้วยถูกยอดฝีมือระดับแนวหน้าของตระกูลลู่ที่มีต้าหลัวจินเซียนขั้นสวรรค์ถึง 2 คนนำมา ก็จำต้องถูกอีกฝ่ายเข่นฆ่าราวผักปลา!
พริบตาตัวตนขอบเขตต้าหลัวจินเซียนของตระกูลฉีก็ถูกเข่นฆ่าหมดสิ้น
ทางฝั่งของตระกูลลู่ไม่มีใครเสียชีวิตเลย!
ภายในเวลาแค่วันเดียว ตระกูลฉีที่เคยต่อกรกับตระกูลลู่ได้อย่างไม่เสียเปรียบ ก็ถูกตระกูลลู่กลืนกินได้อย่างง่ายดาย ราวกับไม่ได้ใช้ความพยายามอะไร…
และเมื่อเรื่องนี้แพร่ออกไป ก็สร้างความตื่นตระหนกตกตะลึงให้กับผู้คนในเมืองฉีลู่นัก!
และวันต่อมา ตระกูลลู่ก็ออกประกาศว่า…
ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป เมืองฉีลู่จะเปลี่ยนชื่อเป็น เมืองลู่!
สำหรับเรื่องนี้ก็ไม่มีใครกล้าออกมาพูดอะไร
“นับว่าพวกมันลงมือได้รวดเร็วดี…ข้าหวังว่าพวกมันจะหาหินอมตะระดับสูง 800,000 ก้อนมาจ่ายได้ทันเวลา”
ภายในห้องส่วนตัวแห่งหนึ่งของเหลาอาหารใหญ่กลางเมืองลู่ ต้วนหลิงเทียนที่เงี่ยหูฟังเรื่องราวจากโถงอาหารด้านนอกอดไม่ได้ที่จะส่ายหน้าเบาๆ
ส่วนผู้ที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามกับต้วนหลิงเทียนนั้น เป็นฮ่วนเอ๋อที่ตอนนี้ได้เอาผ้าปิดหน้าออก และนางกำลังรับประทานอาหารที่สั่งมาเต็มโต๊ะอย่างไร้มารยาทใดๆทั้งสิ้น
อย่างไรก็ตามแม้ฮ่วนเอ๋อตอนนี้จะแลดูมูมมามไร้มารยาทอยู่บ้าง แต่ไม่ว่าจะมองมุมไหนนางก็ยังคงงดงามไร้ที่ติ
กระทั่งต้วนหลิงเทียนที่จิตใจสงบดั่งน้ำนิ่งแล้ว ยามเผลอไปมองฮ่วนเอ๋อ ก็เหม่อลอยไปพักๆ
“พี่หลิงเทียนข้าอิ่มแล้ว”
ราวๆครึ่งชั่วยามต่อมา ฮ่วนเอ๋อก็เช็ดมุมปากด้วยรอยยิ้มพึงพอใจ กล่าวกับต้วนหลิงเทียนเสียงใสว่า “อาหารในโลกภายนอกช่างอร่อยเหลือเกิน…หลังจากนี้ไปพี่หลิงเทียนพาฮ่วนเอ๋อมาหาอะไรกินบ่อยๆได้ไหม?”
“ได้สิ…เอาที่ฮ่วนเอ๋อชอบเลย”
ต้วนหลิงเทียนยิ้มบางๆ พลางพยักหน้ารับ
ต้วนหลิงเทียนไม่ได้แปลกใจอะไรที่ฮ่วนเอ๋อใช้คำเรียกหาเขาเปลี่ยนไป
เพราะเมื่อวานหลังออกจากตระกูลฉี เขาก็พาฮ่วนเอ๋อไปเดินเล่นทั่วเมือง และซื้อของมากมายให้นาง
ในระหว่างนี้ ตามทางก็มีคู่รักเดินสวนไปมาหลายคู่ และหลังได้ยินคู่รักทั้งหลายเรียกหากัน ฮ่วนเอ๋อ ก็เลียนแบบและไม่เรียกชื่อเขาว่าต้วนหลิงเทียนตรงๆอีก แต่เป็นพี่หลิงเทียนแทน
แน่นอนว่าเขารู้ดีว่ากับอีแค่ชื่อเรียกมันไม่ได้มีความหมายอะไรมากมาย
ฮ่วนเอ๋อ ก็ยังคงเป็นฮ่วนเอ๋อ
สำหรับเรื่องความรู้สึกอะไรพวกนั้น ฮ่วนเอ๋อไม่รู้จักมันแม้แต่น้อย
นางยังบริสุทธิ์เหมือนกระดาษขาว
ถึงแม้ตอนนี้ในกระดาษขาวที่ว่าจะมีสีสันแต่งแต้มลงไปเล็กน้อย แต่ส่วนอื่นๆก็ยังคงขาวสะอาด
“ในเมื่อกินอิ่มแล้ว…พวกเราออกไปเดินเล่นซื้อของต่อดีไหม?”
ต้วนหลิงเทียนยิ้มถาม
“ดีดี…เมื่อวานฮ่วนเอ๋อยังมีของที่อยากซื้อตั้งหลายชิ้น แต่ไม่ได้ซื้อมา”
ฮ่วนเอ๋อพยักหน้ารับราวลูกเจี๊ยบจิกเม็ดข้าว
เขาพาฮ่วนเอ๋อเดินเล่นในเมืองลู่ที่พึ่งเปลี่ยนชื่ออยู่อีก 2 วัน จากนั้นต้วนหลิงเทียนก็พาฮ่วนเอ๋อไปเยือนตระกูลลู่ถึงที่
“คารวะใต้เท้าทั้งสอง!”
“คารวะใต้เท้าทั้งสอง!”
……
เมื่อต้วนหลิงเทียนกับฮ่วนเอ๋อมาถึงหน้าประตูใหญ่ตระกูลลู่ ระดับสูงของตระกูลลู่ที่ต้วนหลิงเทียยนเจอเมื่อ 3 วันก่อน เรียกว่ามารอรับเขากันพร้อมหน้าไม่มีใครหายไปสักคน ทั้งหมดโค้งคารวะเขาอย่างสุภาพนอบน้อม
“พวกเจ้าเตรียมของมาพร้อมรึยัง?”
สายตาต้วนหลิงเทียนจับจ้องไปยังบรรพบุรุษตระกูลลู่
ตั้งแต่เมื่อ 3 วันก่อนเขาก็มองออกแล้ว
ว่าตระกูลลู่ให้ความเคารพชายชราผู้นี้มาก
“ใต้เท้า ข้าเตรียมของที่ท่านต้องการไว้พร้อมแล้ว…”
ในขณะที่บรรพบุรุษตระกูลลู่กล่าวตอบคำด้วยท่าทีนอบน้อม ยามมันแบมือก็ปรากฏแหวนพื้นที่วงหนึ่งขึ้นมาจากความว่างเปล่า…