War sovereign Soaring The Heavens - ตอนที่ 2718
WSSTH ตอนที่ 2,718 : สงสัย
เมืองหลวงของประเทศอมตะระดับสูงอย่างประเทศเถิงหลงนั้น นับว่ามีขนาดและความโอ่อ่าเหนือกว่าที่ต้วนหลิงเทียนคาดคิดไว้จริงๆ
นอกจากนี้เมืองหลวงของประเทศเถิงหลงยังมีกฏอีกว่า…
น่านฟ้าของเมืองหลวงนั้น นอกจากเหล่าองครักษ์ที่ได้รับหน้าที่คุ้มกันเมืองหลวงแล้ว ไม่ว่าผู้ใดก็ตาม ห้ามไม่ให้เหินบินอย่างเด็ดขาด มิฉะนั้นจะถือว่าเป็นการท้าทายอำนาจของตระกูลราชวงศ์ที่ปกครองประเทศเถิงหลง!
ดังนั้นต้วนหลิงเทียนกับฮ่วนเอ๋อจึงไม่อาจเหาะเข้าเมืองได้ จำต้องลงมาเดินพื้นเข้าเมืองแทน
ด้านฮ่วนเอ๋อ ตอนนี้ไม่เพียงแต่นางจะสวมผ้าปกปิดใบหน้า นางยังมีงอบที่มีผ้าสีขาวห้อยลงมาบริเวณปลายปีกเพื่อปกปิดใบหน้าอีกด้วย ทำให้ดวงตาดั่งสารทที่โผล่พ้นผ้าปิดหน้าของนาง ถูกผ้าขาวบางบดบังไว้ไม่ให้ผู้ใดแลเห็นความสุกใสชัดเจน
งอบดังกล่าวก็เป็นต้วนหลิงเทียนขอให้นางใส่ไว้เช่นกัน
ก่อนหน้าด้วยมีบทเรียนจากเมืองฉีลู่แล้ว ต้วนหลิงเทียนจึงได้รู้
ฮ่วนเอ๋อนั้นแม้จะสวมใส่ผ้าปิดหน้า แต่ก็ยังดึงดูดแมลงน่ารังเกียจทั้งหลายให้แวะเวียนมาดอมดมได้อยู่ดี
เช่นนั้นการสวมงอบที่มีผ้าขาวบางแบบนี้ จึงช่วยป้องกันได้อีกระดับหนึ่ง
และความจริงงก็พิสูจน์ว่าต้วนหลิงเทียนทำถูก
เมื่อฮ่วนเอ๋อสวมงอบอันมีม่านผ้าแล้ว นางก็ไม่ได้ดึงดูดความสนใจของผู้คนเหมือนเมื่อก่อนอีกต่อไป หากแต่เป็นตัวต้วนหลิงเทียนที่หล่อเหลาได้กลายเป็นจุดสนใจแทน! สตรีน้อยใหญ่ตามรายทางถึงกับต้องเหลียวหลังมามอง บุรุษหลายคนก็มองเขม่น ในแววตาฉายชัดถึงความอิจฉา!!
บุรุษหน้าตาหล่อเหลานั้นมีมากมาย
หากแต่เป็นเรื่องยากนักที่จะมีหน้าตาหล่อเหลา แล้วมีลักษณะท่วงท่าองอาจแผ่ความรู้สึกไม่ธรรมดาออกมา
ด้วยเหตุนี้หลายคนจึงคาดเดากันไปอย่างไม่รู้ตัว ว่าต้วนหลิงเทียนสมควรมีความเป็นมายิ่งใหญ่ไม่ผิดแน่ หาไม่แล้วอีกฝ่ายคงไม่ให้ความรู้สึกไม่ธรรมดาเช่นนนี้กับพวกมัน
ดังคำกล่าวที่ว่า มังกรให้กำเนิดมังกร หงส์ให้กำเนิดหงส์
“พี่หลิงเทียนฮ่วนเอ๋อถอดหมวกนี่ไม่ได้หรือ? ท่านดูคนอื่นสิ ไม่เห็นมีใครใส่หมวกบ้านี่เหมือนฮ่วนเอ๋อเลย…”
ฮ่วนเอ๋อที่เดินอยู่ข้างๆต้วนหลิงเทียน พอเห็นว่ามีสตรีหลายคนชะม้ายชายตามองต้วนหลิงเทียน แม้นางจะไม่รู้ว่าเพราะอะไร แต่นางก็รู้สึกไม่พอใจขึ้นมา จึงเริ่มขอต้วนหลิงเทียนเรื่องถอดงอบผ้านี่ออก
ไม่ใช่ว่านางอยากจะเป็นจุดสนใจมากกว่าต้วนหลิงเทียน
แต่นางรู้สึกว่าตราบใดที่นางถอดงอบผ้านี่ออกไป สายตาของสตรีเหล่านั้นสมควรมาตกลงที่นางไม่ใช่ต้วนหลิงเทียน
ถึงแม้ฮ่วนเอ๋อจะไม่รู้เรื่องความรู้สึกอะไร แต่ในเมื่อนางร่วมเดินทางมากับต้วนหลิงเทียนโดยตลอด และพอได้พึ่งพาอาศัยต้วนหลิงเทียน ในใจนางก็รู้สึกบังเกิดความเป็นเจ้าของขึ้นมา และไม่อยากแบ่งต้วนหลิงเทียนให้ผู้หญิงคนอื่น
ถึงแม้อีกฝ่ายจะแค่มองก็ตาม
“ฮ่วนเอ๋ออย่าดื้อ…ถ้าฮ่วนเอ๋อดื้อไม่เชื่อฟัง พี่หลิงเทียนจะไม่ช่วยเจ้าตามหาแม่แล้ว”
ต้วนหลิงเทียนกล่าวเสียงดุ
ล้อกันเล่นหรือไร!
รูปโฉมขอฮ่วนเอ๋อมีเสน่ห์ดึงดูดเภทภัยขนาดไหน เขาเจอมากับตัว กระทั่งมีผ้าปิดหน้าไว้ครึ่งหนึ่งหนอนแมลงทั้งหลายยังมารุมตอมกันให้ควั่ก
เพื่อเลี่ยงปัญหาไร้สาระ เขาเลยให้ฮ่วนเอ๋อทั้งสวมงอบทั้งผ้าปิดใบหน้าเอาไว้แบบนี้ และความจริงก็เผยให้เห็นโทนโท่ว่ามันได้ผล! ตอนนี้ฮ่วนเอ๋อไม่ได้เป็นจุดสนใจของคนอื่นอีกต่อไป…
เห็นแบบนี้ไหนเลยเขาจะยอมให้ฮ่วนเอ๋อถอดหมวก!
จะถอดแล้วหาเรื่องไปทำเพื่อ?!
นอกจากนั้นต้วนหลิงเทียนยังรู้สึกแปลกๆ
ไม่ใช่ว่าฮ่วนเอ๋อก็ใส่งอบนี่มาตลอดการเดินทางแล้วหรือไง ก่อนหน้าไม่เห็นนางจะบ่นอะไร ไฉนพอเข้าเมืองหลวงของประเทศเถิงหลงมาได้สักพัก นางกลับงอแงจะถอดเสียแล้วเล่า?
อนิจจาให้หลับ ต้วนหลิงเทียนยังไม่อาจฝันถึง
สาเหตุที่ฮ่วนเอ๋องอแงเรื่องนี้ขึ้นมา ทั้งหมดเพราะไม่อยากให้ผู้หญิงพวกนั้นสนใจต้วนหลิงเทียน
กล่าวอย่างตรงไปตรงมาก็คือ
ฮ่วนเอ๋อหึง!
“พี่หลิงเทียนรังแกฮ่วนเอ๋อ…”
ได้ยินคำปฏิเสธเสียงดุของต้วนหลิงเทียน ฮ่วนเอ๋อก็ทำหน้ามุ่ยทันที นางยังรู้สึกเสียใจไม่น้อย ดวงตากลมใสดั่งสารทบัดนี้เริ่มมีน้ำตาเอ่อคลอ
ถึงแม้ฮ่วนเอ๋อจะสวมงอบผ้าคลุมหน้า หากแต่ต้วนหลิงเทียนที่เดินข้างๆ ย่อมมองเห็นหยาดน้ำตาที่เริ่มเอ่อคลอของนางได้ทันที เขาจึงรู้สึกปวดขมับขึ้นมาตงิดๆยังรู้สึกจนปัญญาเล็กน้อย
“ฮ่วนเอ๋อ…พี่หลิงเทียนให้เจ้าสวมหมวกไว้เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาน่าเบื่อ หรือฮ่วนเอ๋อชอบให้คนรังเกียจเข้ามายุ่งวุ่นวายเล่า?”
“จริงอยู่ที่ก่อนหน้านี้ตอนที่พวกเราอยู่เมืองฉีลู่ ฮ่วนเอ๋อจะสามารถจัดการคนน่ารังเกียจพวกนั้นได้ง่ายๆ…ทว่าที่นี่คือเมืองหลวงของประเทศเถิงหลงที่เป็นประเทศอมตะระดับสูง ยอดฝีมือมีมากดั่งหมู่เมฆ คนน่ารังเกียจที่ร้ายกาจกว่าฮ่วนเอ๋อก็มีอีกมากมาย ดังนั้นพวกเราถ่อมตัวไว้จะดีกว่า…”
“งั้นพี่หลิงเทียนสัญญากับเจ้าเป็นไง…ว่าหลังจากพวกเราหาโรงเตี๊ยมที่พักได้เมื่อไหร่ ฮ่วนเอ๋อก็ไม่ต้องใส่หมวกงอบนั่นกับผ้าปิดปากแล้ว ดีหรือไม่?”
ต้วนหลิงเทียนกล่าวปลอบอย่างอดทน
“ถ้างั้น…พี่หลิงเทียนต้องสัญญากับฮ่วนเอ๋อด้วย ว่าพี่หลิงเทียนจะซื้อของเล่นกับของอร่อยๆให้ฮ่วนเอ๋อกิน”
ฮ่วนเอ๋อกล่าวน้ำตาคลอเบ้า
“ได้ๆ…พี่หลิงเทียนจะซื้อของเล่นทุกชิ้นที่เห็นให้ฮ่วนเอ๋อ แล้วอะไรอร่อยๆพี่หลิงเทียนจะเหมาให้ฮ่วนเอ๋อกินหมดเลยดีหรือไม่?”
ต้วนหลิงเทียนรีบตอบรับฉับไว เขาพยายามปลอบฮ่วนเอ๋อราวกับปลอบเด็กน้อย จากนั้นไม่นานน้ำตาที่เอ่อคลอของฮ่วนเอ๋อก็หายไป
เห็นดังนั้น ต้วนหลิงเทียนกก็ลอบถอนหายใจอย่างโล่งอก
ในสายตาเขาฮ่วนเอ๋อไม่ต่างอะไรจากเด็กน้อยที่ยังไม่โต และทำให้เขารู้สึกยากรับมืออยู่บ้าง…
แต่ตอนนี้เขาจะทำอะไรได้?
จะให้ทิ้งนางไปแบบนี้ดื้อๆ?
ด้วยความไร้เดียงสาของฮ่วนเอ๋อ หากเขาไม่คอยอยู่เคียงข้างนาง น่ากลัวว่าไม่ทันข้ามวัน สุดท้ายนางก็ต้องถูกคนที่แข็งแกร่งกว่านางจับบตัวไปรังแกแน่…ถึงตอนนั้นน่ากลัวว่าความตายคงเป็นทางออกที่ดีที่สุดของฮ่วนเอ๋อ
คิดถึงจุดนี้ต้วนหลิงเทียนก็ไม่กล้าคิดถึงเรื่องนี้อีกต่อไป
ยิ่งไปกว่านั้นกล่าวไปในระดับหนึ่ง ฮ่วนเอ๋อก็เป็นคนพาเขาออกมาจากซากปรักหักพังใต้แสงจันทร์นั่น เรียกว่าเป็นคนที่ช่วยเขาให้หลุดออกจากพื้นที่ลวงตาก็ว่าได้
จะให้เขาตอบแทนบุญคุณด้วยความแค้นหรือ?
‘หวังก็แต่จะได้เจอแม่ฮ่วนเอ๋อโดยเร็ว และปล่อยให้นางไปอยู่กับแม่…ถึงตอนนั้นข้าก็จะเป็นอิสระ’
แม้ในฐานะผู้ชายธรรมดาๆคนหนึ่ง ก่อนหน้านี้ต้วนหลิงเทียนก็มีความคิดอกุศล หมายครอบครองสตรีที่งดงามอย่างฮ่วนเอ๋ออยู่บ้าง
แต่อย่างไรก็ตามสุดท้ายเหตุผลก็เอาชนะความต้องการเช่นนั้นได้ง่ายๆ
ตอนนี้เขายังปฏิบัติกับฮ่วนเอ๋อไม่ต่างอะไรกับดุรณีน้อยที่ยังไม่โตนางหนึ่ง
“ฮ่วนเอ๋อ พวกเราไปหาอะไรกินที่เหลาอาหารก่อนดีกว่า”
ต้วนหลิงเทียนกล่าวชวนฮ่วนเอ๋อ ก่อนที่จะพานางเดินตระเวนไปตามถนนสายหลักของเมืองหลวงสักพัก เพื่อมองหาเหลาอาหารที่มีผู้คนเยอะๆ แต่ยังมีห้องส่วนตัวหลงเหลือ
เพราะสุดท้ายแล้วเขาก็ไม่อาจปล่อยให้ฮ่วนเอ๋อนั่งกินอะไรในโถงรวมได้
เพราะในระหว่างรับประทานอาหารจะอย่างไรฮ่วนเอ๋อก็ต้องถอดงอบคลุมกับผ้าปิดหน้าออก ถึงตอนนั้นไม่ทราบว่าจะทำให้เกิดปัญหาขึ้นขนาดไหน และอย่างน้อยๆไม่พ้นต้องได้ตีกันกลางเหลาแน่…
บนถนนสายหลักของเมืองหลวงประเทศเถิงหลง ก็มีผู้คนสัญจรแน่นขนัดสวนไปสวนมาทั้งสองฟาก แลดูคึกครื้นมีชีวิตชีวานัก
ผู้คนที่สัญจรไปตามถนนจะเดินชิดขอบซ้ายขวา ส่วนถนนตรงกลางก็เว้นที่ไว้ให้รถม้าสัญจร บางครั้งก็เห็นสัตว์อมตะแปลกๆลากรถม้าเทียมเกวียนหรือมีผู้คนนั่งขี่
แน่นอนว่าสัตว์อมตะเหล่านี้ไร้ซึ่งสติปัญญา
เช่นเดียวกับม้าสีขาวปลอดราวหิมะ ที่แบกหามเกี้ยวของอ๋องฉินทั้ง 9 ตัวที่ต้วนหลิงเทียนได้พบเห็นในวังฉินของประเทศอวิ๋นเหยียนก่อนหน้า แม้ระดับพลังบ่มเพาะของมันจะเทียบได้กับจินเซียนตะวันม่วง แต่ก็ไม่ได้มีสติปัญญาอะไร จึงถูกผู้คนจีบไปเลี้ยงจนเชื่องแล้วกลายเป็นพาหนะ
‘ที่นี่แล้วกัน’
หลังต้วนหลิงเทียนพาฮ่วนเอ๋อเดินไปอีกพักหนึ่ง เขาก็พบเหลาอาหารที่ตั้งอยู่ทางตอนใต้ของเมืองหลวงประเทศเถิงหลง ซึ่งแลดูคึกครื้นมีชีวิตชีวา แต่ยังเหลือห้องส่วนตัวที่ว่างอยู่
ในตอนที่ต้วนหลิงเทียนกับฮ่วนเอ๋อเข้าเมืองหลวงมานั้น พวกเขาได้เข้าเมืองทางประตูทิศใต้
ตอนนี้หลังจากที่เดินมาอยยู่นาน ทั้งคู่ก็ยังอยู่ทางตอนใต้ของเมือง
ทั้งหมดเพราะเมืองหลวงของประเทศเถิงหลงแห่งนี้กว้างใหญ่ไพศาลไม่ใช่เล่นๆ
…
หลังได้ห้องส่วนตัว กระทั่งอาหารที่สั่งไปได้ยกมาจัดเตรียมทั้งหมด ต้วนหลิงเทียนก็ให้เสี่ยวเอ้อออกไป หลังจากปิดประตูห้องส่วนตัวเรียบร้อย เขาก็ปล่อยให้ฮ่วนเอ๋อถอดหมวกงอบกับผ้าปิดหน้า และปล่อยให้นางจัดการอาหารได้อย่างเต็มคราบ…
แน่นอนว่าฮ่วนเอ๋อไร้ซึ่งสมบัติกุลสตรีอย่างสิ้นเชิง…
“งั่มๆ อันนี้อร่อยจัง…นี่ก็อร่อย…”
“นี่เป็นเนื้อตัวอะไรนะ อร่อยมาก!”
ฮ่วนเอ๋อกวาดอาหารบนโต๊ะอย่างเอร็ดอร่อย มองไปคล้ายอาหารเหล่านี้เป็นหมอกควันเบาบางต้องลมพายุ จานแล้วจานเล่าหายลงท้องฮ่วนเอ๋อด้วยความเร็วอันน่ากลัว! เมื่อรับประทานไปพักหนึ่ง ฮ่วนเอ๋อก็พูดกับต้วนหลิงเทียนอย่างพอใจด้วยริมฝีปากมันแผลบว่า “พี่หลิงเทียน ของกินที่นี่อร่อยกว่าของกินที่เหลาอาหารก่อนหน้ามากจริงๆ”
“มันต้องเป็นแบบนั้นอยู่แล้ว…ที่นี่เป็นเมืองหลวงของประเทศเถิงหลงนี่นา”
ต้วนหลิงเทียนยิ้ม
ก่อนที่จะเดินทางมาถึงเมืองหลวงของประเทศอมตะเถิงหลง หากผ่านเมืองใดต้วนหลิงเทียนก็มักจะพาฮ่วนเอ๋อไปแวะหาอะไรกินในเหลาอาหารอยู่เสมอ
ด้วยเหตุนี้เขาจึงคุ้นชินกับฉากที่ฮ่วนเอ๋อกวาดอาหารเรียบด้วยความเร็วสูงดั่งพายุพัดเช่นนี้มานานแล้ว ไม่ได้แปลกใจอะไรอีก
ในขณะที่คุยกับฮ่วนเอ๋อ ต้วนหลิงเทียนก็คอยเงี่ยหูฟังบทสนทนาด้านนอกอยู่ตลอด
ตอนที่เขาเลือกห้องส่วนตัว เขาก็ยังจงใจเลือกห้องที่ติดกับโถงรวมของเหลาอาหารเสมอ
และต้องกล่าวเลยว่าห้องส่วนตัวที่เหลาแห่งนี้เก็บเสียงได้ค่อนข้างดีมาก หากต้วนหลิงเทียนไม่ได้ตั้งใจฟังดีๆ เขาก็แทบจะไม่ได้ยินเสียงสนทนาด้านนอกเลย
ตอนแรกต้วนหลิงเทียนก็ไม่ได้ยินเรื่องที่น่าสนใจสักเท่าไหร่
จนเมื่อฮ่วนเอ๋อรับประทานอาหารส่วนใหญ่บนโต๊ะไปหมดแล้ว ต้วนหลิงเทียนถึงจะได้ยินเรื่องที่ทำให้เขาสนใจขึ้นมา
“อีกหนึ่งเดือนต่อมาเหล่ายอดฝีมือรุ่นเยาว์อายุไม่ถึงร้อย ที่เหล่าอ๋องตามหัวเมืองต่างๆของประเทศเถิงหลงเราเฟ้นหา ก็จะมารวมตัวกันที่วังหลวงแล้ว…ข้าล่ะสงสัยจริงว่ารุ่นเยาว์ของอ๋องคนใดจะร้ายกาจที่สุด?”
“ข้าได้ยินมาว่าจวนอ๋องหงเหว่ยมีจินเซียนตะวันม่วงที่อายุไม่ถึงร้อยปีด้วย…นับว่าร้ายกาจจริงๆ! นานมากแล้วที่ข้าไม่เห็นจินเซียนตะวันม่วงอายุไม่ถึงร้อยปีเช่นนี้…”
“อายุไม่ถึงร้อยแต่เป็นจินเซียนตะวันม่วงแล้วหรือ? ช่างเป็นอัจฉริยะที่น่าจับตามองยิ่ง!”
…
ได้ยินบทสนทนาดังกล่าว ต้วนหลิงเทียนอดย่นคิ้วด้วยความสงสัยไม่ได้
‘อ๋องของประเทศเถิงหลง ก็รวบรวมอัจฉริยะที่อายุไม่ถึงร้อยปีด้วยงั้นเหรอ?’
‘นอกจากนี้พวกมันยังพูดถึงเรื่องคำสั่งให้จวนอ๋องต่างๆรวบรวมยอดฝีมือรุ่นเยาว์อายุไม่ถึงร้อยปี….แถมจะพามารวมตัวกันที่วังหลวงในอีกหนึ่งเดือนหลังจากนี้ด้วย?’
‘เรื่องนี้…ใช่มีอะไรเกี่ยวข้องกับการจัดการประลอง 16 มณฑลของวังฉินที่ประเทศอวิ๋นเหยียนรึเปล่า?’
‘ตอนแรกก็คิดไว้แล้ว…ว่าการที่วังฉินจัดการประลองแล้วให้รางวัลอย่างงามแบบนั้น ไม่น่าจะรวบรวมรุ่นเยาว์อัจฉริยะไปเปล่าๆ ดูเหมือนที่แท้จะเป็นตระกูลราชวงศ์ของประเทศอวิ๋นเหยียน ที่ถ่ายทอดคำสั่งให้อ๋องทั้งหลายเฟ้นหารุ่นเยาว์อัจฉริยะไม่ผิดแน่…’
‘แต่ไฉนประเทศอมตะระดับกลางอย่างประเทศอวิ๋นเหยียน ถึงรวบรวมอัจฉริยะอายุไม่ถึงร้อยปีเหมือนกันกับประเทศอมตะระดับสูงอย่างประเทศเถิงหลง? พวกมันต้องการหาคนไปทำอะไรกันแน่?’
…
ต้วนหลิงเทียนคิดไม่ออก
เพราะหลังจากที่เขาขึ้นสวรรค์มายังหลิงหลัวเทียนแห่งนี้ ตอนที่อยู่ในประเทศอวิ๋นเหยียนเขาก็ได้อ่านบันทึกเรื่องราวจากยันต์อมตะเก็บความทรงจำมากมาย แต่เขาไม่เคยพบเจอเลยว่าตระกูลราชวงศ์ของประเทศอวิ๋นเหยียนเคยทำอะไรแบบนี้มาก่อน…