War sovereign Soaring The Heavens - ตอนที่ 2865
ตอนที่ 2,865 : ปรมาจารย์นิกายอมตะซวนเทียนไป๋หวู่จิ!
ครั้งนี้คนของพันธมิตรปรมาจารย์อมตะที่มาเข้าร่วมงานสมัชชาเต๋าโอสถ ก็มีด้วยกันทั้งสิ้น 4 คน และล้วนแล้วแต่เป็นปรมาจารย์หลอมโอสถอมตะระดับสูงสุดทั้งสิ้น
ผู้ที่ติดตามอยู่ข้างกายของปรมาจารย์โอสถเหล่านี้ 3 คนมีด่านพลังขุนนางอมตะ 9 ตำหนัก ส่วนอีกคนมีด่านพลังขุนนางอมตะ 10 ทิศ
ที่นั่งทั้ง 8 ที่บนแท่นหินทั้ง 4 ทิศล้อมรอบใจกลางจัตุรัสเต๋าโอสถ ก็ล้วนถูกจัดเตรียมไว้ให้พวกมัน…พวกมันที่ว่า กล่าวไปในระดับหนึ่งก็เป็นแขกรับเชิญ ที่ทางนิกายอมตะใหญ่ของ 6 พื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงใต้ เชิญให้มาเป็นประธานในงานสมัชชาเต๋าโอสถ
“ปรมาจารย์โอสถต้วน พวกเราเข้าไปทักทายเหล่าปรมาจารย์โอสถของพันธมิตรปรมจารย์อมตะกันเถอะ”
หลังกล่าวชักชวนต้วนหลิงเทียนแล้ว บรรพจารย์ไท่อีก็เดินนำต้วนหลิงเทียนกับคนอื่นๆ ไปยังแท่นหินที่อยู่ใกล้ที่สุดก่อน
ด้านต้วนหลิงเทียนกับฮ่วนเอ๋อและพวกซือถูหมิงทั้ง 3 ก็ก้าวตามบรรพจารย์ไท่อีไปต้อยๆ
ถึงแม้ตั้งแต่ต้นจนจบฮ่วนเอ๋อจะเดินเคียงข้างและจับมือต้วนหลิงเทียนเอาไว้ตลอด แต่สายตาของนางตอนนี้ไม่ได้คอยมองต้วนหลิงเทียนที่อยู่ข้างๆคนเดียวอีกต่อไป แต่กลับมองไปยังกลุ่มคนของนิกายอมตะสือหังที่อยู่อีกฟากครั้งแล้วครั้งเล่า…
สายตาที่นางมองไปทางกลุ่มคนของนิกายอมตะสือหัง ก็ตกลงบนร่างสตรีในชุดกระโปรงสีม่วงอ่อนที่สวมผ้าปิดปากบางๆเอาไว้…
มู่หรงปิง!
ในขณะที่ฮ่วนเอ๋อมองมู่หรงปิงนั้น ลึกลงไปในแววตาของนางก็ฉายถึงความอิจฉาจับใจ!
ต้วนหลิงเทียนได้บอกให้ฮ่วนเอ๋อรู้เรื่องมู่หรงปิงมานานแล้ว
ด้วยเหตุนี้ฮ่วนเอ๋อจึงรู้สึกอิจฉามู่หรงปิงมาก เพราะพี่หลิงเทียนของนางกลับประกาศออกมาชัดเจนว่า มู่หรงปิงเป็นผู้หญิงของเขา…
ถึงแม้ว่านางจะอยู่ข้างต้วนหลิงเทียนมาโดยตลอด แต่นางก็รู้สึกได้ชัดเจนว่าต้วนหลิงเทียนเห็นนางเป็นแค่น้องสาวตัวน้อยคนหนึ่งเท่านั้น กระทั่งจงใจหลีกเลี่ยงทำเป็นไม่รู้ถึงความรู้สึกชอบพอที่นางมีให้ ปฏิบัติกับนางเหมือนน้องสาวแท้ๆ
นี่ไม่ใช่สิ่งที่นางต้องการ!
ตอนนี้ต้วนหลิงเทียนย่อมไม่อาจล่วงรู้เลยว่าฮ่วนเอ๋อนั้นรู้ทุกอย่างแล้ว ยิ่งไม่รู้เลย
ว่าฮ่วนเอ๋อที่ออกมาสู่โลกภายนอกกับเขาได้พักใหญ่ บัดนี้ไม่เพียงไม่ไร้เดียงสาต่อเรื่องสัมพันธ์ชายหญิงอีกต่อไป แต่ยังหลงรักเขาอย่างไม่อาจถอนตัวขึ้นมาได้…
“ปรมาจารย์โอสถจง!”
“ปรมาจารย์โอสถเคอ!”
…
พอต้วนหลิงเทียนกับพวกเดินมาถึงแท่นหินที่ล้อมใจกลางจัตุรัสเต๋าโอสถ เขาก็เห็นคนของนิกายอมตะใหญ่ใน 6 พื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงใต้ก้าวอาดๆไปทางแท่นหินเหมือนพวกเขา และแต่ละคนก็มีจุดประสงค์ดุจเดียวกับบรรพจารย์ไท่อี มากล่าวทักทายเหล่าปรมาจารย์โอสถของพันธมิตรปรมาจารย์อมตะ
หลังทักทายแท่นหินหนึ่งแล้ว ก็เริ่มเดินไปยังแท่นหินอื่นๆ
เป็นธรรมดาว่ายังมีนิกายอมตะใหญ่อีกหลายนิกายที่ยังเดินทางมาไม่ถึง
ตัวอย่างก็เช่น นิกายอมตะสวรรค์ลี้ลับ นิกายอมตะที่ทรงพลังที่สุดในพื้นที่ก้าวข้าม และยังเป็นนิกายอมตะใหญ่ที่ผู้คนทั้ง 6 พื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงใต้ให้การยอมรับว่าเป็นนิกายที่แข็งแกร่งที่สุด
“ช่างเป็นสตรีที่งดงามหยาดฟ้ามาดินอะไรเพียงนี้….”
“โฉมสคราญพิลาศล้ำนางนี้ หรือก็คือสตรีชุดขาวของนิกายยอมตะไท่อีที่เลื่องลือผู้นั้น…”
…
ด้วยความที่ฮ่วนเอ๋อไม่ได้สวมใส่สิ่งใดเพื่อบดบังรูปโฉม เช่นนั้นไม่ว่านางไปที่ไหนก็กลายเป็นจุดสนใจที่นั่นทันที
หากไม่ใช่เพราะว่าตอนนี้ฐานะของฮ่วนเอ๋อคือคนของนิกายอมตะไท่อี ไม่พ้นต่องมีบุรุษหนุ่มกลัดมันห้าวหาญ คิดก่อการอุกอาจอย่างลงมือฉุดสาวกลางวันแสกๆแน่นอน!
“ศิษย์พี่หญิงสาม…ท่านไม่ต้องห่วงนะ ในสายตาข้าท่านย่อมสวยที่สุด ต่อให้ผู้หญิงคนนั้นจะสวยแล้วไง ในใจข้านางก็สู้ท่านไม่ได้อยู่ดี!”
ด้านนิกายอมตะสือหัง ลุ่ยหลัว ที่สังเกตเห็นความวุ่นวายด้านนิกายอมตะไท่อี ก็หันไปกล่าวกับมู่หรงปิง
ได้ยินคำพูดของลุ่ยหลัว มู่หรงปิงก็คลี่ยิ้มบางๆ พลางกล่าวเสียงเบาว่า “ลุ่ยหลัว นี่เจ้าไปหัดโกหกมาตั้งแต่ตอนไหนหืม? สตรีนางนั้นนับว่ารูปโฉมงดงามไร้คู่เปรียบจริงๆ หากนางกล้าอ้างว่าตัวเองเป็นที่ 2 คงไม่มีใครกล้าพูดว่าเป็นที่ 1…ข้าย่อมรู้ตัวเองดีว่าด้อยกว่านาง”
กล่าวถึงท้ายประโยค สายตามู่หรงปิงก็หันไปจับจ้องยังร่างต้วนหลิงเทียนที่จูงมือฮ่วนเอ๋อ และเดินเคียงข้างกันไม่ห่าง ‘มีคนสวยสมบูรณ์แบบถึงขนาดนั้นอยู่ข้างกาย…เกรงว่าอีกไม่นานเขาก็คงลืมข้าหมดสิ้น’
ขณะกล่าวพึมพำในใจ มู่หรงปิงก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกเศร้าขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก
ในอดีตก่อนที่จะได้พบหน้าบุรุษผู้นี้อีกครั้ง นางก็เพียงแค่คิดถึงและห่วงกังวลในความปลอดภัยของอีกฝ่ายเท่านั้น
แต่พอได้พบเจอกับบุรุษผู้นี้อีกครั้ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งได้มาเห็นว่าข้างกายอีกฝ่ายกลับมีสตรีที่งดงามไร้เทียมทาน นางก็ไม่ทันรู้ตัวแม้แต่น้อยว่าใจนางเริ่มเต้นแปลกไปตั้งแต่เมื่อไหร่ ยังรู้สึกได้ถึงความขื่นขมประการหนึ่งที่ไม่อาจอธิบายออกมาเป็นคำพูด…
ทันใดนั้นเอง
“คนของนิกายอมตะสวรรค์ลี้ลับมากันแล้ว!”
“นั่นคนของนิกายอมตะสวรรค์ลี้ลับ!”
…
ทันใดนั้นสายตาของผู้คนในจัตุรัสเต๋าโอสถ ก็เริ่มหันไปมองทิศทางหนึ่ง ที่กำลังมีคนกลุ่มใหญ่ก้าวอาดๆเดินเข้ามา
ผู้ที่ก้าวอาดๆนำกลุ่มคนดังกล่าวเข้ามา ก็เป็นชายวัยกลางคนผู้หนึ่ง
ชายวัยกลางคนที่ว่าแม้รูปโฉมจะแลดูธรรมดาไม่ได้หล่อเหลาอะไร แต่ความสง่างามน่าเกรงขามนับว่ามีไม่ขาด
และเพียงต้วนหลิงเทียนมองไปปราดเดียวเขาก็รู้สึกเสมือนได้เห็นภาพซ้ำปานเกิดอาการเดจาวู และเขายังรู้สาเหตุอีกด้วยว่าไฉนถึงรู้สึกอะไรแบบนั้น ‘มันสมควรเป็นประมุขนิกายอมตะสวรรค์ลี้ลับ ไป๋หวู่จี้’
เรียกว่าเพียงมองหว่างคิ้วชายวัยกลางคนผู้นี้ รวมถึงเค้าโครงรูปหน้า เงาหน้าไป๋อวี่ซวนก็เสมือนจะผุดขึ้นมาซ้อนทับใบหน้าอีกฝ่ายทันที
และก็มีคนใหญ่คนโตของนิกายอมตะใหญ่ที่มาถึงก่อนมากหน้าหลายตา เร่งก้าวเข้าไปประสานมือคารวะชายวัยกลางคนที่นำคนของนิกายอมตะสวรรค์ลี้ลับมาอย่างสุภาพ
นำอยู่หน้าสุดของกลุ่มคนนิกายยอมตะสวรรค์ลี้ลับ และถูกผู้อื่นคารวะทักทายอย่างสุภาพว่าประมุขไป๋ ต้วนหลิงเทียนก็เดาฐานะมันออกได้ไม่ยาก
ชายวัยกลางคนที่ว่า มันคือประมุขนิกายอมตะสวรรค์ลี้ลับ ไป๋หวู่จี้!
‘ประมุขนิกายอมตะสวรรค์ลี้ลับคนนี้…ด่านพลังของมันก็บรรลุถึงขอบเขตขุนนางอมตะ 9 ตำหนักเช่นกัน’
ก่อนหน้านี้บรรพจารย์ไท่อีเคยกล่าวบอกต้วนหลิงเทียนไว้แล้วว่า ในนิกายอมตะสวรรค์ลี้ลับนั้น ผู้ที่มีอำนาจสูงสุดทั้ง 3 ล้วนแล้วแต่เป็นขุนนางอมตะ 10 ทิศ นอกจากนั้นนิกายอมตะสวรรค์ลี้ลับยังมีขุนนางอมตะ 9 ตำหนักอีกหลายคน ไป๋หวู่จี้ผู้เป็นประมุขก็คือหนึ่งในนั้น
“ปรมาจารย์โอสถต้วน ท่านคงพอเดาได้แล้วกระมัง…ว่าชายวัยกลางคนที่ท่านมองอยู่คือ ไป๋หวู่จี้ ประมุขนิกายอมตะสวรรค์ลี้ลับ”
ตอนนี้เองเสียงของบรรพจารย์ไท่อีพลันดังขึ้นพอดี “ส่วนชายชราในชุดคลุมสีครามด้านหลังคนนั้น มันคือ 1 ใน 4 ผู้พิทักษ์ของนิกายอมตะสวรรค์ลี้ลับ ‘ผู้พิทักษ์มังกรคราม’ เป็นขุนนางอมตะ 9 ตำหนักเช่นกัน”
หลังได้ยินคำพูดของบรรพจารย์ไท่อี สายตาต้วนหลิงเทียนก็ละออกจากร่างไป๋หวู่จี้และเบนไปตกยังน่างชายชราชุดครามด้านหลังไป๋หวู่จี้ทันที
เขายังจำสิ่งที่บรรพจารย์ไท่อีบอกได้อยู่…
ว่าในนิกายอมตะสวรรค์ลี้ลับนอกจากผู้อาวุโสสูงสุดทั้ง 3 ที่บรรลุขอบเขตขุนนางอมตะ 10 ทิศแล้ว ยังมีผู้พิทักษ์ที่พลังฝีมือร้ายกาจรองจากทั้ง 3 อยู่ถึง 4 คน และพลังฝีมือของผู้พิทักษ์ทั้ง 4 ก็ไม่ได้อ่อนด้อยไปกว่าไป๋หวู่จี้เลย ล้วนเป็นขุนนางอมตะ 9 ตำหนักเหมือนกันหมด
อีกทั้งผู้พิทักษ์ทั้ง 4 ของนิกายอมตะสวรรค์ลี้ลับ ยังถูกตั้งชื่อตามสัตว์ประจำทิศทั้ง 4 อันได้แก่ ผู้พิทักษ์มังกรคราม ผู้พิทักษ์พยัคฆ์ขาว ผู้พิทักษ์วิหกเพลิง และผู้พิทักษ์เต่าดำ
และฟังจากที่บรรพจารย์ไท่อีกล่าวบอก ชายชราชุดครามคนนี้ก็คือ ‘ผู้พิทักษ์มังกรคราม’ 1 ใน 4 ผู้พิทักษ์ของนิกายอมตะสวรรค์ลี้ลับ
“นั่นน่ะเหรอ…ผู้พิทักษ์มังกรครามของนิกายอมตะสวรรค์ลี้ลับ?”
ในขณะที่ต้วนหลิงเทียนหันไปจับจ้องชายชราชุดคราม ด้านชายชราชุดครามก็คล้ายสัมผัสได้ถึงสายตาเขา อีกฝ่ายจึงหันมามองที่เขาทันที และดวงตาสีโคลนของมันก็ช่างคมกล้าปานมีดดาบเหลือเกิน ทำให้ต้วนหลิงเทียนถึงกับต้องละสายตาออกมาทันที
‘น่ากลัวเอาเรื่องจริงๆ…’
ใจต้วนหลิงเทียนอดไม่ได้ที่จะลอบสั่นไปเล็กน้อย นับว่านี่เป็นครั้งแรกเลยที่เขารับทราบได้ถึงความน่ากลัวของขุนนางอมตะ 9 ตำหนัก พอไม่ได้ตั้งตัวเตรียมใจ เพียงแค่อีกฝ่ายมองมาปราดเดียวก็ทำให้เขาใจสั่นได้แล้ว เมื่อครู่ตอนสบสายตาแลมคมนั่น เขายังรู้สึกเหมือนหัวใจจะหยุดเต้นเอาดื้อๆ…
ท่ามกลางสายตาของทุกคน กลุ่มคนของนิกายอมตะสวรรค์ลี้ลับที่ก้าวอาดๆเข้ามาในจัตุรัสเต๋าโอสถ ภายใต้การนำของไป๋หวู่จี้ ทุกคนก็เดินมุ่งหน้าไปยังแท่นหินบริเวณใจกลางจัตุรัสเต๋าโอสถ
และพอกลุ่มคนของนิกายอมตะสวรรค์ลี้ลับเดินเข้ามาใกล้แท่นหิน ร่าง 8 คนที่อยู่บนแท่นหิน ก็พากันก้าวลงมาจากแท่นหินทีละคนๆ เพื่อมาต้อนรับกลุ่มคนของนิกายอมตะสวรรค์ลี้ลับ
ต้องทราบด้วยว่า แม้ก่อนหน้าคนของนิกายอมตะสือหัง กับคนของนิกายอมตะสราญรมย์จะเข้ามาใกล้ แต่ทั้ง 8 คนบนแท่นหินก็ไม่คิดจะก้าวลงจากแท่นหินเพื่อมาต้อนรับเลย เพียงยืนทักทายตอบกลับคนของนิกายอมตะสือหังและนิกายอมตะสราญรมย์บนแท่นเท่านั้น
ทว่าตอนนี้พอเห็นคนของนิกายอมตะสวรรค์ลี้ลับเดินเข้ามา ทั้ง 8 ถึงกับก้าวลงมาให้ความต้อนรับฉับไว!
สิ่งนี้เผยให้รู้ว่าในใจของทั้ง 8 นั้น นิกายอมตะสวรรค์ลี้ลับมีความสำคัญระดับไหน…สูงกว่านิกายอมตะสือหังและนิกายอมตะสราญรมย์มาก!
ในขณะที่ทั้ง 8 คนก้าวลงมาทักทายกับคนของนิกายอมตะสวรรค์ลี้ลับนั้นเอง…
ปรากฏเสียงที่รีบร้อนหนึ่งดังมาแต่ไกล ยังดังมาตั้งแต่ด้านนอกจัตุรัสเต๋าโอสถ!
“ท่านประมุข! ท่านประมุข!!”
ถึงแม้ว่าเสียงเรียกหาที่ว่าดังนี้กล่าวไปจะไม่ได้ดังมากมายอะไรนักหนา แต่ทว่าตอนนี้มีใครบ้างที่ไม่สำรวมคุยกันอย่างสุภาพเสียงเบา? เช่นนั้นเสียงเรียกแต่ไกลที่ว่าจึงดังมากพอจะให้ทุกคนทั้งจัตุรัสเต๋าโอสถได้ยินกันชัดถนัดหู
ครู่ต่อมา ภายใต้สายตาของทุกคนที่หันไปมองตามต้นเสียง ก็ปรากฏร่างชายหนุ่มโชกเลือดคนหนึ่งเดินโซเซเข้ามาในจัตุรัสเต๋าโอสถ ใบหน้าของมันยังปรากฏโลหิตไหลย้อยลงมา และพอมันเข้ามาในจัตุรัสเต๋าโอสถก็เริ่มหันรีหันขวางมองไปรอบๆพลางเรียกหาประมุขไม่หยุด
“เสี่ยวลิ่ว!”
ท่ามกลางคนของนิกายอมตะสวรรค์ลี้ลับ เป็นชายวัยกลางคนในชุดคลุมสีเงินคนหนึ่งที่อดไม่ได้ที่จะหน้าเปลี่ยนสีเมื่อเห็นสารรูปผู้มาใหม่!
นั่นเพราะชายหนุ่มที่สารรูปยับเยินราวพึ่งหนีตายมาคนนี้ เป็นศิษย์ส่วนตัวของมัน!
“หืม?!”
ขณะเดียวกัน ทางด้านประมุขนิกายอมตะสวรรค์ลี้ลับก็อดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้ว สีหน้ายังมืดลงถนัดตา
เพราะมันรู้ดีว่าชายหนุ่มผู้นี้ก็คือศิษย์ส่วนตัวของผู้อาวุโสลำดับสองของนิกายอมตะสวรรค์ลี้ลับ ศักยภาพทั้งพรสวรรค์ยังสูงติด 1 ใน 3 รุ่นเยาว์ของนิกายอมตะสวรรค์ลี้ลับ!
“ท่านอาจารย์!”
พอได้ยินเสียงอุทานทักด้วยความตกใจของชายววัยกลางคนในชุดคลุมสีเงิน ชายหนุ่มที่แลดูสภาพไม่ค่อยจะสู้ดี ก็รีบเค้นเรี่ยวแรงวิ่งเข้ามาทันที แต่แทนที่มันจะไปหาอาจารย์ของมัน มันกลับวิ่งตรงไปหาไป๋หวู่จี้
ตุบ!
ครู่ต่อมาท่ามกลางสงสัยใคร่รู้ของผู้คนทั้งจัตุรัสเต๋าโอสถ ชายหนุ่มดังกล่าวก็ทิ้งตัวลงคุกเข่าเบื้องหน้าไป๋หวู่จี้ สีหน้าของมันเริ่มฉายชัดถึงความโศกเศร้า ปากอ้าพะงาบๆไร้สำเนียง คล้ายมีเรื่องบางอย่างคิดพูด แต่วาจานั้นยากจะกล่าวออก…
“เสี่ยวลิ่ว เจ้าทำอะไรกัน?”
คิ้วไป๋หวู่จี้ขดย่นยิ่งกว่าเดิม
“เสี่ยวลิ่ว…”
สีหน้าชายวัยกลางคนในชุดคลุมก็เปลี่ยนไปเช่นกัน เมื่อเห็นฉากศิษย์ตัวเองไปคุกเข่าแบบนั้น
มันย่อมรู้จักศิษย์ของตัวเองเป็นอย่างดี
หากไม่เกิดเรื่องอะไรร้ายแรง ศิษย์ของมันไม่มีวันทำอะไรแบบนี้เด็ดขาด
ทันใดนั้นในใจของมันก็บังเกิดสังหรณ์อัปมคลหนึ่งขึ้น แถมยิ่งมาลางร้ายดังกล่าวยิ่งทวีความรุนแรงเพิ่มพูน
“ท่านประมุข ศิษย์น้องอวี่ซวน…ศิษย์น้องอวี่ซวน…”
ในที่สุดชายหนุ่มก็ตัดสินใจกล่าวออกมา หากแต่น้ำเสียงยังคงตะกุกตะกัก เนิ่นนานก็ยังไม่อาจกล่าวออกมาให้เป็นประโยค
“ซวนเอ๋ออันใด! เกิดอะไรขึ้นกับซวนเอ๋อ!?”
เห็นท่าทางดังกล่าวของชายหนุ่มหน้าไป๋หวู่จี้ก็เปลี่ยนสีไปหนักข้อ ขณะเดียวกันมันก็เร่งสะบัดมือเรียกลูกแก้ววิญญาณลูกหนึ่งออกมาจากแหวนพื้นที่ และพอมันเห็นว่าลูกแก้ววิญญาณยังอยู่ดี มันก็อดไม่ได้ที่จะระบายลมหายใจออกมาอย่างโล่งอก…
หากทว่าไม่นานหน้ามันก็เปลี่ยนสีไปอีกรอบ!
เพราะมันสัมผัสได้ว่า ลูกแก้ววิญญาณในมือ ที่สมควรมีเศษเสี้ยววิญญาณของไป๋อวี่ซวนลูกชายตัวเองประทับอยู่ในนั้น บัดนี้เศษเสี้ยววิญญาณดังกล่าวได้สลายหายไปแล้ว…
ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ ลูกแก้ววิญญาณในมือของมันก็ไม่อาจบอกความเป็นความตายของลูกชายมันได้อีก…
“ท่านประมุข! ศิษย์น้องอวี่ซวน…ศิษย์น้องอวี่ซวนถูกคนฆ่าตาย!!”
และในขณะที่สีหน้าไป๋หวู่จี้เปลี่ยนไปใหญ่หลวง ในที่สุดชายหนุ่มก็กล่าวคำพูดที่ติดค้างในลำคอออกมาจนได้ “เป็นบรรพจารย์ไท่อีของนิกายอมตะไท่อี เหอซาน…มันฆ่าศิษย์น้องอวี่ซวนตายแล้ว!!”