War sovereign Soaring The Heavens - ตอนที่ 2898
ตอนที่ 2,898 : บรรพบุรุษของนิกายอมตะสราญรมย์ หลี่ผิง
เป็นธรรมดาว่าด้านต้วนหลิงเทียนก็ไม่ได้รู้เรื่องอะไรเลย ว่าหลังจากเขาเดินทางออกมาจากนิกายอมตะไท่อีแล้ว ในพื้นที่รกร้างจะถกเถียงเรื่องเขากันยกใหญ่
ตอนนี้เขาอยู่ในระหว่างการเดินทางไปยังนิกายอมตะสราญรมย์ แน่นอนว่าเขาไม่ได้เหินบินไปเอง แต่เป็นเถี่ยไท่เหอที่ใช้พลังไร้สภาพหอบหิ้วเขาเดินทาง
ทำให้ตลอดการเดินทาง เขาสามารถทุ่มสมาธิตีความวรยุทธ์อมตะระดับขุนนางอย่าง ราชันไม่เคลื่อนไหว ที่เขาได้รับมาจากนิกายอมตะสราญรมย์ได้เต็มที่
หากเขาแตกฉานวรยุทธ์อมตะ ราชันไม่เคลื่อนไหว ถึงขั้นตอนไร้ตำหนิเมื่อไหร่ เขาก็ตั้งใจจะออกเดินทางจากพื้นที่ชายแดนเพื่อไปยังภาคกลางทันที
และเป็นธรรมดาว่าที่เขาขอยืมตัวเถี่ยไท่เหอให้มาหอบหิ้วเขาเดินทางไปนิกายอมตะสราญรมย์นั้น ไม่ใช่เพราะคิดจะใช้เวลาเดินทางตีความวรยุทธ์อมตะเพียงอย่างเดียว แต่เขายังทำไปเพื่อประหยัดพลังเซียนอมตะต้นกำเนิดในร่างของเขาอีกด้วย
หลังจากใช้อุปกรณ์อมตะระดับจอมราชันประเภทสิ้นเปลืองแล้ว แม้มันจะมอบความแข็งแกร่งขอบเขตจอมราชันอมตะ 1 ต้นกำเนิดให้เขา แต่พลังที่ได้มานั้นไม่ใช่ว่าจะคงอยู่ถาวร
ทุกครั้งที่เขาลงมือใช้พลังๆที่อยู่ในร่างเขาก็จะลดลงเรื่อยๆ! หากใช้พลังที่ได้มาหมดแล้ว ระดับพลังของเขาก็จะหวนคืนสู่สภาพดั้งเดิม!!
‘ก่อนหน้านี้ข้าลงมือแค่ไม่กี่ครั้ง กับใช้พลังวิญญาณฆ่าหลี่อันนั่นไป…ระดับพลังเซียนอมตะต้นกำเนิดของข้ารวมถึงพลังวิญญาณก็ลดลงไปส่วนหนึ่ง ทำให้ความแข็งแกร่งของข้าลดลงไปทันที’
‘ก่อนหน้าพลังของข้ายังอยู่ในขอบเขตจอมราชันอมตะ 1 ต้นกำเนิด หากทว่าตอนนี้เมื่อพลังพร่องไปส่วนหนึ่ง แม้จะถือว่าไม่ได้มากมายอะไร แต่ก็ทำให้ระดับพลังของข้าตกไปอยู่ที่ขอบเขตราชาอมตะ 10 ทิศแล้ว…’
ต้วนหลิงเทียนลอบทอดถอนอยู่ในใจ
อย่างไรก็ตามราชาอมตะ 10 ทิศ ก็ยังถือว่าเป็นตัวตนที่มีระดับพลังสูงที่สุดในขอบเขตราชาอมตะ ถึงพูดไปจะห่างจากจอมราชันอมตะ 1 ต้นกำเนิดเพียงขั้นเดียว แต่หากมองจากระดับพลังในร่างของเขาแล้ว ขั้นเดียวที่ว่าช่างแตกต่างกันอย่างมหาศาลนัก!
‘อย่างไรก็ตามอาศัยความแข็งแกร่งในตอนนี้ ก็มากเกินพอที่ข้าจะเดินท่องไปทั่วพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงใต้ โดยไม่ต้องกลัวใครหน้าไหนทั้งสิ้น’
พอคิดถึงจุดนี้ ต้วนหลิงเทียนก็โล่งใจไปหลายส่วน
ดังนั้นการเดินทางหลังจากนั้น เขาจึงทุ่มเทจิตสมาธิตีความและฝึกฝนวรยุทธ์อมตะระดับขุนนาง 3 สาย ราชันไม่เคลื่อนไหว อย่างตั้งอกตั้งใจหมายแตกฉานมันให้เร็วที่สุด
และในขณะที่ต้วนหลิงเทียนตั้งใจตีความฝึกปรือวรยุทธ์อมตะ ฮ่วนเอ๋อเองก็เดินพลังรักษาอาการบาดเจ็บ จนอาการดีขึ้นทุกขณะ
สำหรับตถาคตของนิกายอมตะสราญรมย์ จี้ฟ่าน นั้น ตอนนี้เรียกว่าหายซ่าไปเรียบร้อย มันไม่คิดจะทำอะไรเป็นการแข็งข้อต่อต้านทั้งสิ้น เรียกว่าคล้ายยอมรับชะตากรรมของตัวเองได้แล้ว อาการยังแลคล้ายศพเดินได้ตนหนึ่ง วาจาที่เอ่ยออกนานๆครั้ง ก็คือการบอกทิศทางเถี่ยไท่เหอเท่านั้น
‘ตอนนี้ทางนิกายคงรู้แล้วกระมัง…ว่าอาจารย์ของข้าถูกฆ่าตายไปแล้ว’
สำหรับการตายของหลี่อันบรรพบุรุษของนิกายอมตะสราญรมย์ จี้ฟ่านไม่ได้รู้สึกเศร้าใจสักเท่าไหร่ กระทั่งยังลอบตัดพ้อต่อโชคชะตาของตัวเอง ว่ามันไฉนต้องหาเรื่องติดตามหลี่อันมาที่นี่ด้วย…
ต้องทราบด้วยว่าครั้งนี้มันไม่จำเป็นต้องมาก็ได้ แต่มันดันทะลึ่งอยากมาของมันเอง…
สำหรับหลี่อันนั้น เดิมทีในใจมันก็มีความกตัญญูรู้คุณอยู่บ้าง หากทว่าหลังจากที่เห็นหลี่อันคิดหนีโดยทิ้งมันเอาไว้อย่างไม่ใยดี ความกตัญญูที่มีต่อหลี่อันก็เสมือนได้ตายไปจากใจของมันทันที
ถึงมันจะเข้าใจการกระทำของหลี่อัน และรู้ดีว่าต่อให้เป็นตัวมันเองก็ไม่พ้นต้องกระทำดุจเดียวกันกับหลี่อัน
แต่มันก็ไม่อาจทำใจยอมรับความจริงที่หลี่อันทอดทิ้งมันให้เผชิญกับชะตากรรมเพียงลำพังได้…
…
ณ พื้นที่ก้าวข้าม นิกายอมตะสราญรมย์
ถิ่นที่อยู่ของนิกายอมตะสราญรมย์นั้น ตั้งอยู่บนขุนเขาสูงตระหง่าน ปกคลุมไปด้วยเมฆหมอกตลอดทั้งปี อีกทั้งในเมฆหมอกยังแฝงเร้นไปด้วยพลังของค่ายกลหลอนประสาท หากผู้ใดหลงเข้ามาไม่พ้นต้องตกอยู่ในภาพหลอนจากจิตใต้สำนึกของตัวเอง อาจถึงขั้นตกอยู่ในอาคมไปชั่วชีวิตหากไร้พลังฝ่าค่ายกล
และวันนี้ นิกายอมตะสราญรมย์ก็ถูกกำหนดให้หาความสงบสุขไม่เจอ
ครืนนนน!!
ตูมมม!!
…..
ไร้ซึ่งสัญญาณใดๆบอกเหตุ อยู่ดีๆ ณ พื้นที่อันเป็นเขตที่พักของตัวตนระดับสูงของนิกายอมตะสราญรมย์ก็บังเกิดการสั่นสะเทือนขึ้นมาอย่างรุนแรง จนโครงสร้างอาคารหลายจุดไม่อาจรับไหว ถึงกับพังทลายลงมา!
“เกิดอะไรขึ้นกัน!?”
“นี่มัน…แผ่นดินไหวงั้นรึ?!”
“แผ่นดินไหวกับผีน่ะสิ! นิกายอมตะสราญรมย์เราเต็มไปด้วยค่ายกลมากมายจัดตั้งไว้ ยังมีค่ายกลเสริมแกร่งอีกไมรู้เท่าไหร่ ต่อให้ภูเขาถล่มอาคารของพวกเราก็ไม่อาจพังลงง่ายๆ…เรียกว่าหากเป็นแค่แผ่นดินไหวจริง ไม่มีทางเกิดผลกระทบถึงระดับนี้ได้!”
“หากไม่ใช่แผ่นดินไหว แล้ววนี่มันเกิดอะไรขึ้นเล่า!?”
“ข้าก็อยู่กับเจ้า แล้วข้าจะไปรู้ได้อย่างไร?”
…
ทุกคนที่อาศัยอยู่ในพื้นีท่แถบนี้เร่งรุดเหินร่างออกจากเคหะสถานด้วยความแตกตื่น มองไปไกลๆ คล้ายฝูงนกแตกรังที่เหินบินกันจ้าละหวั่น แต่ละคนแลดูหน้าตางุนงงสับสนด้วยไม่เข้าใจว่าอยู่ดีๆมันเกิดอะไรขึ้น
“น้องอัน!!”
และไม่ให้ทุกคนสับสนงุนงงอยู่นาน เสียงดังสนั่นแฝงเร้นไปด้วยคลื่นพลังรุนแรง ที่สมควรเป็นต้นตอก่อให้เกิดแรงสั่นสะเทือนปานแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ก็ดังมาถึงหูพวกมัน และพาลให้แก้วหูของเหล่าคนนิกายอมตะสราญรมย์ในพื้นที่จำต้องสะท้านไปแทบปริฉีก! อย่างไรก็ตามสิ่งนี้ทำให้พวกมันตระหนักได้ทันทีว่าเกิดเรื่องราวอะไรขึ้น!!
“นี่มัน…ดูเหมือนจะเป็นเสียงของท่านบรรพบุรุษหลี่ผิงมิใช่หรือ?”
“ให้ตายเถอะ ฟังจากเสียงโศกเศร้านั่นแล้ว…หรือว่าจะเกิดเรื่องอะไรขึ้นกับบรรพบุรุษหลี่อัน?”
“บรรพบุรุษหลี่อันเกิดเรื่อง!? เป็นไปไม่ได้!”
“นั่นสิ มิใช่บรรพบุรุษหลี่อันพึ่งออกเดินทางไปพื้นที่รกร้าง เพื่อไปจัดการต้วนหลิงเทียนที่นิกายอมตะไท่อี ข้อหาที่มันกล้าปั้นแต่งเรื่องราวมาขู่ให้บรรพบุรุษหลี่อันหวาดกลัวมิใช่หรือไร…ในพื้นที่รกร้าง ยังมีผู้ใดที่มีความสามารถต้านทานบรรพบุรุษหลี่อันได้อีก?”
“ใช่! เว้นเสียแต่ ต้วนหลิงเทียนผู้นั้นจะมีพื้นเพความเป็นมาไม่ธรรมดาอย่างตระกูลใหญ่ในภาคกลางจริงๆ และมียอดฝีมือที่ทรงพลังเหนือขอบเขตขุนนางอมตะ 9 ตำหนักลอบให้ความคุ้มครองอยู่ หาไม่แล้วเป็นไปไม่ได้ที่จะทำอะไรบรรพบุรุษหลี่อันได้!”
…
หลังได้ยินเสียคำรามด้วยความเศร้าโศกทั้งคับแค้นของหลี่ผิง เหล่าผู้อาวุโสระดับสูงของนิกายอมตะสราญรมย์ก็หน้าเสียไปทันที เพราะพวกมันสังหรณ์ว่าบรรพบุรุษหลี่อันของพวกมันสมควรเกิดเรื่องแล้ว!
มิฉะนั้น ไฉนบรรพบุรุษหลี่ผิงของพวกมันถึงได้ตะโกนเสียงดังจนคล้ายสัตว์ป่าคำรามด้วยความเศร้าโศกและคับแค้นถึงขนาดนั้นออกมา!?
“ไป! ไปชมดูให้รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่!!”
“ไปกันเถอะ!”
ทันใดนั้นเหล่าอาวุโสระดับสูงของนิกายอมตะสราญรมย์ ก็มุ่งหน้าตรงยังแหล่งกำเนิดเสียง อันเป็นเขตที่พักของบรรพบุรุษหลี่ผิงทันที
ถึงแม้พวกมันจะยังไม่ทราบว่า ที่แท้เกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่
อย่างไรก็ตาม ก็ไม่ยากที่พวกมันจะคาดเดาเรื่องราวที่เกิดขึ้นได้…
“บรรพบุรุษหลี่อันเดินทางไปจัดการเรื่องราวที่นิกายอมตะไท่อี มาตอนนี้บรรพบุรุษหลี่ผิงกับร่ำร้องออกมาเช่นนั้น ข้าเกรงว่าบรรพบุรุษหลี่อันสมควรเกิดเรื่องแล้วเป็นแน่…ยิ่งไปกว่านั้นบรรพบุรุษหลี่ผิงเองก็สมควรมีลูกแก้ววิญญาณของบรรพบุรุษหลี่อันเก็บไว้!”
“บรรพบุรุษหลี่อันตายตกแล้วงั้นหรือ…เรื่องแบบนั้นมันจะเป็นไปได้อย่างไร!?”
“ถึงข้าเองก็คิดว่าเรื่องแบบนั้นไม่น่าจะเป็นไปได้…แต่อย่างไรเสียก็สมควรเป็นความจริง พอพวกเราไปพบบรรพบุรุษหลี่ผิง ก็คงสามารถยืนยันเรื่องราวที่แน่ชัดได้…”
…
ในระหว่างเหินร่างมุ่งหน้าไปยังเขตที่พักของบรรพบุรุษนิกายอมตะสราญรมย์หลี่ผิง พวกมันก็อดไม่ได้ที่จะสนทนนากันอย่างเคร่งขรึม
สีหน้าของพวกมันยังอัปลักษณ์ปั้นยากนัก!
เพราะหากว่าบรรพบุรุษหลี่อันตกตายไปแล้วจริงๆ นั่นไม่ใช่เรื่องดีสำหรับนิกายอมตะสราญรมย์ของพวกมันเลย! พวกมันไหนเลยจะอารมณ์ดีอยู่ได้!!
สิ่งนี้หมายความว่านิกายอมตะสราญญรมย์ของพวกมันได้สูญเสียตัวตนขอบเขตขุนนางอมตะ 9 ตำหนักไป!
ยิ่งไปกว่านั้นขุนนางอมตะ 9 ตำหนักคนนี้ยังไม่ใช่ขุนนางอมตะ 9 ตำหนักธรรมดา แต่เป็นสุดยอดฝีมือที่ไร้ผู้ต้านในด่านพลังเดียวกัน! ยังมีแนวโน้มสูงนักที่จะทะลวงถึงขอบเขตขุนนางอมตะ 10 ทิศได้!!
เรียกว่าหากเกิดเรื่องกับบรรพบุรุษหลี่อันถึงขั้นตายตกไปแล้วจริง ก็ไม่ต่างอะไรกับนิกายอมตะสราญรมย์ของพวกมันสูญเสียตัวตนที่จะกลายเป็นขุนนางอมตะ 10 ทิศในอีกไม่นานไป!
เรื่องนี้สำหรับนิกายอมตะสราญรมย์แล้ว เสมือนระเบิดห่าใหญ่ถล่มลงจากฟ้าก็ไม่ปาน!
ห่างออกไปไกลๆ เมื่อคนของนิกายอมตะสราญรมย์ได้ยินเสียงของหลี่ผิง พวกมันเองก็ตระหนักได้เช่นกันว่าบรรพบุรุษหลี่อันของพวกมันสมควรเกิดเรื่องอะไรขึ้นเป็นแน่ สีหน้าก็พากันถมึงทึงแทบดูไม่ได้!
ไม่นานเหล่าอาวุโสระดับสูงของนิกายอมตะสราญรมย์ก็พากันเหินร่างมาถึงเคหะสถานของหลี่ผิง บรรพบุรุษอีกคนของนิกายอมตะสราญรมย์
ในนิกายอมตะสราญรมย์นั้นมีบรรพบุรุษอยู่ด้วยกันทั้งสิ้น 2 คน ได้แก่ หลี่ผิง กับ หลี่อัน…
ถึงแม้ทั้งคู่จะใช้แซ่เดียวกัน จนฟังดูเหมือนเป็นพี่น้อง
แต่อันที่จริงแล้วทั้งคู่ไม่ใชพี่น้องแท้ๆ แต่เป็นแค่ลูกพี่ลูกน้องกันเท่านั้น..
อย่างไรก็ตามหลังจากช่วยเหลือเกื้อกูลกันมาตั้งแต่สมัยยังเยาว์ ความสัมพันธ์ของทั้งคู่ก็สนิทสนมแน่นแฟ้นไม่ต่างอะไรจากพี่น้องแท้ๆ กระทั่งยังเคยร่วมเป็นร่วมตายด้วยกันมาหลายครั้ง!
ด้วยเหตุนี้ทั้งคู่จึงห่วงใยและผูกพันกันมาก
“อาจารย์ลุง…เกิดเรื่องอันใดขึ้นกันแน่?!”
ประมุขนิกายอมตะสราญรมย์ ชายวัยกลางคนในชุดหลวงจีนสวมไว้ด้วยจีวรสีน้ำตาลแดงบัดนี้ใบหน้าที่เคยเกลี้ยงเกลาปานหยกเสลา กลับบิดเบี้ยวอัปลักษณ์นัก
เหล่าผู้อาวุโสระดับสูงก็มาถึงหลังประมุขผู้นี้ติดๆ
“ท่านบรรพบุรุษ!”
หลายคนพอมาถึงก็เร่งประสานมือคารวะด้วยท่าทีสุภาพนอบน้อมทันที
และเบื้องหน้าของพวกมัน ก็ปรากฏร่างชายชราร่างผอม ที่บัดนี้จีวรได้กระพือสะบัดไปดั่งเปลวไฟ ทั่วร่างยังปรากฏพลังเซียนอมตะต้นกำเนิดกำจายออกมาสะท้านสะเทือนไปในบรรยากาศ ร่างลอยอยู่เหนือเศษซากปรักหักพัง ในมือที่สั่นระริกถือไว้ด้วยเศษลูกแก้วแตกๆ สองตาแดงฉานจับจ้องมองเศษลูกแก้วนั้นด้วยความโศกเศร้า
และตอนนี้หากไม่ใช่คนที่สัมผัสตายด้านไร้ความรู้สึกมายืนอยู่ใกล้ๆ ย่อมสัมผัสได้ชัดเจนว่านอกจากความโศกเศร้าแล้ว อีกฝ่ายยังเต็มไปด้วยอารมณ์ดุร้ายเกรี้ยวกราดปานภูเขาไฟที่กำลังจะระเบิดได้ทุกเวลา!
เผชิญหน้ากบัการคารวะทักทายยของระดับสูงนิกายอมตะสราญรมย์ ชายชราไม่ได้แยแสอะไร คล้ายหูหนวกไม่ได้ยินเรื่องราว
แต่หลังจากนั้นไม่นานนัก มันก็เงยหน้าขึ้นมาเล็กน้อย สองตาที่แดงฉานเต็มไปด้วยเส้นเลือดฝอยน่ากลัว มองไปยังประมุขนิกายอมตะสราญรมย์พลางกล่าวเสียงอาลัย “คงเอ๋อ…อาจารย์ของเจ้าตายแล้ว!”
“นี่…เป็นลูกแก้ววิญญาณของอาจารย์เจ้า…”
วาจาท้ายประโยคของชายชราผู้เป็นบรรพบุรุษของนิกายอมตะสราญรมย์ หลี่ผิง น้ำเสียงยังสั่นเครือไป และไม่ใช่สั่นเพราะความโศกเศร้าเท่านั้น คล้ายมันเต็มไปด้วยโทสะอันยากระงับ!
“ท่านอาจารย์!!”
ถึงแม้ว่า หลิวเสวียนคง จะคาดเดาได้แต่แรก แต่พอมาได้ยินคำยืนยันจากปากหลี่ผิงจริงๆ สองตามันก็แดงรื้นขึ้นมาทันที ร่างยังทรุดลงไปคุกเข่าบนพื้น สีหน้าเผยความเศร้าเสียใจหาใดเปรียบ
“นี่มัน…อะไรกัน ที่แท้มันเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่!?”
หลิวเสวียนคง ประมุขนิกายอมตะสราญรมย์ที่ทรุดตัวลงไปคุกเข่าบนพื้น สองหมัดของมันกำแน่นจนข้อขาว ทุบพื้นอย่างเกรี้ยวกราด ใบหน้าปรากฏหยาดน้ำตาสองสายไหลริน
“ข้าอยากรู้…ว่าน้องอันของข้าอยู่ที่ใด?”
หลิงผิงกวาดตามองไปทางระดับสูงของนิกายอมตะสราญรมย์ กล่าวถามออกมาเสียงหนัก “ตัดสินจากกลิ่นอายลูกแก้ววิญญาณน้องอันที่ไร้กลิ่นอายใดๆหลงเหลือ…น้องอันของข้าสมควรตกตายไปได้สักพักแล้ว…”
“ก่อนที่ข้าจะปิดด่านครั้งนี้ หากข้าจำไม่ผิดมิใช่น้องอันนำคนไปเข้าร่วมงานสมัชชาเต๋าโอสถที่พื้นที่แห้งแล้งหรือไร…แล้วไฉนถึงเกิดเรื่องอะไรขึ้นได้?”
กล่าวถึงประโยคท้ายหลี่ผิงก็ละสายตาจากเหล่าอาวุโสระดับสูง หันมามองจ้องหลิวเสวียนคงด้วยสายตาไถ่ถาม
เป็นเพราะหลี่ผิงได้ปิดด่านบ่มเพาะพลังอย่างสันโดษมาสักพักแล้ว มันจึงไม่รู้เลยว่าหลี่อันได้ย้อนกลับมาจากงานสมัชชาเต๋าโอสถนานแล้ว กระทั่งยังรั้งอยู่ในนิกายพักใหญ่กว่าจะออกไปอีกครั้ง…
“อาจารย์ลุง”
ได้ยินคำถามของหลี่ผิง หลิวเสวียนคงย่อมไม่กล้าละเลย จึงบอกหลี่ผิงออกไปทุกเรื่อง ว่าที่แท้มันเกิดเรื่องอะไรขึ้นบ้างในงานสมัชชาเต๋าโอสถ แน่นอนว่ามันไม่ได้ปกปิดเรื่องอะไรเอาไว้ กระทั่งยังไร้ความกล้าจะปิดบัง!
“อายุไม่ถึงร้อยปี ไม่เพียงแต่จะเป็นปรมาจารย์หลอมโอสถอมตะระดับสูง แต่ยังสามารถหลอมโอสถหลัวเทียนได้เตาหนึ่ง 13 เม็ดยา ที่สำคัญภายใต้เงื่อนไขเดียวกันยังใช้เวลาอุ่นเตาน้อยกว่าปรมาจารย์หลอมโอสถอมตะระดับขุนนาง? ได้รับการยอมรับให้เป็นปรมาจารย์หลอมโอสถอมตะระดับสูงอันดับ 1 ของ 6 พื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงใต้?”
“ที่สำคัญด่านพลังที่เปิดเผยออกมายังบรรลุถึงขอบเขตยอดเซียนอมตะขั้นลี้ลับแล้ว?”
“ทว่าตัวตนเช่นนี้ กลับเป็นเพียงผู้ที่พึ่งขึ้นสวรรค์มาจากระนาบโลกียะ?”
ได้ยินเรื่องราวทั้งหมดจากปากหลิวเสวียนคง รวมถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นในงานสมัชชาเต๋าโอสถ ไม่เว้นผู้ที่หลี่อันไปมีเรื่องบาดหมางด้วยอย่างปรมาจารย์โอสถอมตะระดับสูงนาม ต้วนหลิงเทียน ก็ทำให้หลี่ผิงอดไม่ได้ที่จะตกตะลึงไปพักหนึ่ง
จังหวะนี้มันถึงขั้นลืมเลือนการตายของลูกพี่ลูกน้องไปชั่วคราว
และผ่านไปสักพักมันก็กลับมารู้สึกตัว มองจ้องไปยังหลิวเสวียนคเอ่ยถามออกไปเสียงหนัก “น้องอัน ออกเดินทางไปยังนิกายอมตะไท่อีของพื้นที่รกร้าง หลังขุดคุ้ยความเป็นมาของต้วนหลิงเทียนผู้นั้น ด้วยคิดจะฆ่ามันงั้นหรือ?”
“ใช่ อาจารย์ลุง”
หลิวเสวียนคงพยักหน้ารับ
“บัดซบ! พวกเจ้าเลอะเลือนกันไปหมดแล้วรึไร!?”
พอเห็นหลิวเสวียนคงพยักหน้ารับหน้าตาเฉย หลี่ผิงก็ถลึงตามองจ้องเขม็ง ตะคอกคำสบถด่าออกมาดังลั่น “ต่อให้มันจะเป็นแค่ผู้ที่พึ่งขึ้นสวรรค์มา แต่พวกเจ้าไม่คิดจะสืบค้นให้ละเอียดกว่านี้หรือไร ว่าที่แท้มันใช่มีภูมิหลังอันใดในหลิงหลัวเทียนหรือไม่?”
“ในหลิงหลัวเทียนมิเคยขาดแคลนตัวตนลักษณะนี้ ในระนาบโลกียะยังไม่ทราบมีมรดกสถานของยอดคนในหลิงหลัวเทียนเท่าไหร่ต่อเท่าไหร่ ยังมีกระทั่งขุมกำลังที่สืบทอดมรดกดำรงสืบต่อกันมาอย่างช้านานสุดที่พวกเจ้าจะจินตนาการได้!!”
เสียงตำหนิของหลี่ผิงยิ่งมายิ่งเยียบเย็น
“อาจารย์ลุง…”
หลิวเสวียนคงที่โดนตำหนิ คลี่ยิ้มขื่นขมออกมากล่าวออกเสียงอ่อน “หากมันมีภูมิหลังความเป็นมายิ่งใหญ่จริงๆ ไม่ใช่ว่าสมควรมีคนไปรอรับตัวมันตั้งแต่ที่มันขึ้นสวรรค์มาแล้วหรือ…แต่จากสิ่งที่พวกเราสืบได้มา ทุกสิ่งอย่างล้วนเป็นมันดิ้นรนด้วยตัวเองมาโดยตลอด”