War sovereign Soaring The Heavens - ตอนที่ 2928
ตอนที่ 2,928 : หลิวก่วงหลิน
ชายวัยกลางคนผู้นี้ เป็นแค่ยอดเซียนอมตะขั้นสูงสุดเท่านั้น เมื่อต้องเผชิญหน้ากับแรงกดดันพลังขอบเขตราชาอมตะ 5 องค์ประกอบของต้วนหลิงเทียน มันก็ไม่ต่างอะไรจากเรือใบลำน้อยที่ลอยคออยู่ท่ามกลางมรสุมคุ้มคลั่ง สามารถอับปางลงได้ทุกเวลา
“โคจรพลังตามเคล็ดบ่มเพาะของเจ้าเสีย ใช้โอกาสนี้ทะลวงจุดตีบตันในคราเดียว…”
จนเมื่อเสียงของต้วนหลิงเทียนดังขึ้น สติที่พร่าเลือนของมันก็เริ่มหวนกลับมาแจ่มชัดขึ้น
นอกจากนั้นชายวัยกลางคนยังอาศัยแรงใจที่หลงเหลือสูดอากาศเข้าลึกๆเพื่อรวบรวมกำลัง จากนั้นก็เร่งโคจรพลังตามเคล็ดวิชาบ่มเพาะของมันทันที
ทันใดนั้นไอพลังวิญญญาณฟ้าดินโดยรอบก็เริ่มหลั่งไหลเข้าร่างมัน จากนั้นก็ถูกขัดเกลาให้กลายเป็นกระแสพลังสายแล้วสายเล่า จากสายธารเล็กๆก็ค่อยๆไหลไปบรรจบกันเป็นแม่น้ำเชี่ยว
หลังผ่านไปหลายสิบลมหายใจ
ซู่มม!
ประหนึ่งมีสายลมแรงพัดกรรโชก ต้วนหลิงเทียนถอนรั้งพลังคืนกลับ ไม่แผ่แรงกดดันพลังอันใดสืบไป เพียงมองจ้องชายวัยยกลางคนเบื้องหน้าด้วยสายตาเฉยเมย
ครืนนน!!
และหลังจากนั้นไม่ทันไร ทั่วร่างชายวัยกลางคนก็ปรากฏกลิ่นอายพลังผันผวนปะทุออกมาดั่งพายุ! จากนั้นชายวัยกลางคนดังกล่าว ก็ลืมตาขึ้นมาในฉับพลัน สองตายังทอประกายเรืองขึ้นวาบหนึ่ง!!
เพียงเวลาชั่วพริบตา กลิ่นอายพลังทั่วร่างของชายวัยกลางคนก็แตกต่างไปจากก่อนหน้าอย่างสิ้นเชิง
ตอนนี้แม้มันจะอยู่เฉยๆหากแต่กลิ่นอายพลังทั่วร่างของมัน ก็ไม่ต่างอะไรจากกลิ่นอายพลังของชายวัยกลางคนร่างเตี้ยที่ต้วนหลิงเทียนฆ่าไปก่อนหน้าเลย
และหลังจากที่ลืมตาขึ้นมา สีหน้าของชายวัยกลางคนก็เผยความยินดีออกมาอย่างถึงที่สุด
“ยินดีกับเจ้าด้วย”
“ดูท่าเจ้าคงรอวันนี้มานานแล้ว”
ต้วนหลิงเทียนมองชายวัยกลางคนอย่างสงบ เอ่ยถามเสียงเรียบ
“ขอบคุณใต้เท้าที่ส่งเสริม!”
ได้ยินคำพูดของต้วนหลิงเทียนย ชายวัยกลางคนก็เร่งคุกเข่าลงกลางหาว ประสานมือโค้งคารวะให้ต้วนหลิงเทียนอย่างนอบน้อม “ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ชีวิตข้า หลิวก่วงหลิน เป็นของใต้เท้า!”
“ขอเพียงใต้เท้าเมตตาให้ข้าหลิวก่วงหลินติดตามรับใช้ ข้าน้อยยินดีเป็นทาสของใต้เท้า รับใช้ใต้เท้าดั่งม้าลาด้วยใจภักดี ไม่มีวันคิดคดทรยศ!”
หลิวก่วงหลินนั้นติดค้างอยู่ในขอบเขตยอดเซียนอมตะขั้นสูงสุดมาหลายปีดีดักแล้ว แต่มันกลับไม่อาจทะลวงผ่านด่านพลังได้เสียที
ไม่ใช่ว่าศักยภาพและพรสวรรค์ของมันจะย่ำแย่ แต่เพราะมันไม่มีเคล็ดอมตะระดับขุนนางไว้ฝึกปรือ
หากพรสวรรค์และศักยภาพไม่สูงมากพอ ย่อมเป็นเรื่องราวอันยากเย็นนัก หากคิดใช้เคล็ดอมตะระดับสวรรค์ บ่มเพาะพลังให้ทะลวงผ่านไปถึงขอบเขตพลังขุนนางอมตะ
เช่นเดียวกับพี่ใหญ่ของมัน ชายวัยกลางคนร่างเตี้ยที่ต้วนหลิงเทียนฆ่าทิ้งไป อีกฝ่ายก็คิดอยู่ในขอบเขตยอดเซียนอมตะขั้นสูงสุดนานหลายพันปี ก่อนที่จะสามารถทะลวงผ่านไปได้ในที่สุด
ถึงแม้มันจะมีพรสวรรค์ดีกว่าชายวัยกลางคนร่างเตี้ย แต่ก็ต้องใช้เวลาอีกหลายร้อยปี ถึงจะสามารถทะลวงด่านพลังได้สำเร็จ
แต่มันไม่คิดไม่ฝันเลยจริงๆว่าหลังจากผ่านไปแค่ไม่กี่สิบปี มันจะมีโชคววาสนาได้รับความช่วยเหลือจากยอดฝีมือ จึงสามารถทะลวงด่านพลังได้ก่อนเวลาที่คำนวณเอาไว้!
‘แรงกดดันพลังอันน่าพรั่นพรึงเมื่อครู่…ต่อให้เป็นขุนนางอมตะ 10 ทิศก็มิมีทางรุนแรงได้ถึงขนาดนั้น!’
ถึงแม้ด่านพลังฝึกปรือของหลิวก่วงหลินจะไม่ได้สูงส่งอะไร แต่มันก็เคยเดินทางท่องไปทั่วพื้นที่ชายแดน จึงได้พบเห็นอะไรมามาก
มันยังจดจำเรื่องราวในงานสมัชชาเต๋าโอสถที่นิกายยอมตะใหญ่ของ 6 พื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงใต้จัดขึ้นเมื่อไม่กี่ร้อยปีก่อนได้เป็นอย่างดี
ตอนนั้นมันก็แค่ไปชมดูเรื่องราวสนุกสนานเท่านั้น
อย่างไรก็ตามมันบังเอิญเห็นหลี่ผิง บรรพบุรุษของนิกายอมตะสราญรมย์ตัวตนขอบเขตขุนนางอมตะ 10 ทิศลงมือ และกลิ่นอายพลังอันน่ากลัวของอีกฝ่าย ก็ได้กวาดสะท้านไปทั่ว 4 ทิศ 8 ทาง สร้างความหวาดหวั่นให้ผู้คนมากมาย!
ทว่ากลิ่นอายพลังของหลี่ผิงในวันนั้น ยังห่างไกลเกินกว่าจะนำมาเทียบกับกลิ่นอายพลังจากชายหนุ่มชุดม่วงเบื้องหน้า!
“ไม่คิดคดทรยศงั้นเหรอ?”
ได้ยินคำปฏิญาณของหลิวก่วงหลิน ต้วนหลิงเทียนอดไม่ได้ที่จะยักคิ้วขึ้นข้างหนึ่ง กล่าวถามออกไปด้วยรอยยิ้ม “ไม่ใช่ว่าตอนนี้เจ้าก็เหมือนคิดคดทรยศต่อสหายทั้ง 8 ที่ตกตายไปแล้วหรือไง?”
“ใต้เท้า”
หลิวก่วงหลินกล่าวออกด้วยสีหน้าจริงจัง “ข้าหลิวก่วงหลินรู้ผิดชอบชั่วดีมาโดยตลอด จริงอยู่ที่ข้าติดหนี้บุญคุณพี่ใหญ่กับสหายกลุ่มเมื่อครู่…”
“แต่หากไม่ใช่เพราะข้าเห็นแก่บุญคุณที่พวกพี่ใหญ่เคยช่วยชีวิตข้าไว้ ข้าคงเลือกที่จะถอนตัวจากไปแต่แรกแล้ว คงไม่อยู่รอรับความตายจากท่านพร้อมทุกคนแต่แรก..และข้าเชื่อว่า ที่ใต้เท้าเมตตาละเว้นข้าไว้ คงไม่คิดเข่นฆ่าข้าเพราะข้ามิได้ตอแยพวกท่าน กระทั่งล่วงเกินแม่นางผู้นั้นด้วยสายตาแทะโลมแต่แรกกระมัง…”
พอหลิวก่วงหลินกล่าวถึงท้ายประโยค ก็เงยหน้าขึ้นมามองสบตาต้วนหลิงเทียน ในดวงตามันยังฉายแววฉลาดเฉลียวไม่เบา
“แต่สุดท้ายแล้ว ใต้เท้ากับข้าน้อยก็พึ่งพบกันครั้งแรก ข้าน้อยคงไม่มีวิธีพิสูจน์ความภักดีอันใด…เช่นนั้นข้าหลิวก่วงหลิน ไม่ว่าใต้เท้าตัดสินใจอย่างไร ข้าล้วนยอมรับทั้งสิ้น”
“อีกทั้งถึงแม้ในระนาบเทวโลกจักไม่มีคำสาบานต่อทัณฑ์สวรรค์เหมือนในระนาบโลกียยะ แต่ข้าน้อยยินดีสละแขนข้างหนึ่ง เพื่อพิสูจน์ความจริงใจที่มีต่อใต้เท้า!”
ทันทีที่หลิวก่วงหลินกล่าวจบคำ มันก็ยกมือขวาขึ้น จากนั้นก็ผนึกพลังควบแน จนฝ่ามือกลับกลายคล้ายมีดดาบคมกล้า สับฟันลงไปยังไหล่ซ้ายอย่างเด็ดเดี่ยว!
ในระนาบเทวโลกนั้น การฟื้นฟูงอกเงยอวัยวะที่เสียไป ยังยากเย็นยิ่งกว่าในระนาบโลกียะเสียอีก
ในระนาบโลกียะ หากพบเจอสมุนไพรในตำนานอย่าง ‘ใบจิตอมตะ’ หรือโอสถระดับราชวงศ์ก็ยังพอจะงอกเงยอวัยวะที่ขาดด้วน แม้กระทั่งจุดตันเถียนที่ถูกทำลายให้ฟื้นคืนกลับมาได้ เพราะสุดท้ายแล้วผู้คนในระนาบโลกียะแม้จะบรรลุถึงขอบเขตเซียนที่ถือว่าไม่ใช่มนุษย์ธรรมดาแล้ว แต่ร่างกายก็ยังถือว่าอยู่ในขอบเขตมรรตัยเท่านั้น!
ทว่าหากขึ้นสวรรค์มายังระนาบเทวโลกใดๆ ร่างกายจะถูกสร้างขึ้นมาใหม่อีกครั้งภายในสระกำเนิดเซียนอมตะ ซึ่งกลับกลายเป็นอมตะชนเต็มตัว ไม่ใช่ร่างมรรตัยอีกต่อไป!
และเมื่อร่างกายของเซียนอมตะได้รับความเสียหาย หากคิดจะฟื้นฟูงอกเงย ต่อให้ใช้ใบจิตอมตะหรือโอสถอันใดในระนาบโลกียะก็ไร้ผล
มีเพียงสมุนไพรหายากในระนาบเทวโลก หรือโอสถอมตะระดับสูงบางขนานเท่านั้น ที่จะสามารถฟื้นฟูงอกเงยอวัยวะขึ้นมาใหม่ได้
ซู่มม!
ฝ่ามือมีดเปล่งงแสงสว่างจ้า แผ่กลิ่นอายแหลมคม เจียนสะบั้นไหล่ซ้ายเต็มที!
ครืนน! ซัว! ซัว!
…
อย่างไรก็ตามเมื่อมือมีดอยู่ห่างไหลซ้ายแค่ไม่กี่ชุ่น ก็ปรากฏสายลมแรงหอบหนึ่งอันแฝงไว้ด้วยคลื่นพลังยิ่งใหญ่สุดไพศาลพัดผ่าน!
พริบตานั้นเองมวลพลังที่ผนึกควบจนฝ่ามือคล้ายกลับกลายเป็นใบมีดคมกล้า ก็ถูกสลายหายไปอย่างไร้ร่องรอย ราวกับไม่เคยผนึกควบขึ้นมาก่อ!
“พอแล้ว ข้าเชื่อเจ้า”
ผู้ที่ลงมือขัดขวางย่อมเป็นต้วนหลิงเทียนเอง
เขาใช้ชีวิตมาเป็นชาติภพที่ 2 แล้ว หากจะถามเรื่องสายตามองคน ก็ไม่ใช่ว่าจะใช้การไม่ได้ และเขาย่อมมองเห็นได้ชัดเจนว่าหลิวก่วงหลินผู้นี้เป็นคนที่ยึดถือคำพูด ในเมื่อมันลั่นวาจาออกมาแล้วมันไม่คิดผิดคำพูดแน่นอน
หลิวก่วงหลินเมื่อครู่นั้น แม้มันเลือกที่จะจากไปได้ แต่สุดท้ายมันกลับเลือกที่จะไม่จากไป ยินยอมรับความตายแต่โดยดี ทั้งหมดเพียงเพราะคิดร่วมทุกข์ร่วมสุขกับสหายทั้ง 8 ที่ในอดีตเคยมีบุญคุณต่อมันเท่านั้น
นอกจากนั้นแต่ต้นจนจบ หลิวก่วงหลินก็ไม่เคยใช้สายตาแทะโลมฮ่วนเอ๋อแม้แต่น้อย ดังนั้นต้วนหลิงเทียนจึงไม่คิดเข่นฆ่าอีกฝ่าย
กลับกัน หลังสำนึกเทวะเขาแผ่ออกไปแล้วตรวจพบว่า ด่านพลังของหลิวก่วงหลินห่างจากการทะลวงถึงขอบเขตขุนนางอมตะแค่ก้าวเดียว เขาก็บังเกิดความคิดอยากได้หลิวก่วงหลินมาติดตามรับใช้ขึ้นมา
การเดินทางไปยังภาคกลางครั้งนี้ หากให้ฮ่วนเอ๋อหอบหิ้วเดินทาง กว่าจะออกจากพื้นที่ชายแดนเข้าสู่ภาคกลาง ก็ไม่พ้นต้องโดนตัวตนขอบเขตขุนนางอมตะรังควาญไม่รู้จบ ยังไม่ต้องกล่าวถึงความเร็วในการเดินทางที่จะเชื่องช้าเป็นอย่างมาก
แต่ถ้าได้ตัวตนขอบเขตขุนนางอมตะหอบหิ้วเดินทาง แม้หลังเข้าไปในภาคกลางแล้วคงไม่คู่ควรให้พูดถึง แต่หากเป็นการเดินทางในพื้นที่ชายแดน ย่อมช่วยได้มาก
“เอาล่ะ จากนี้ไปเจ้าก็ติดตามข้าเถอะ”
ต้วนหลิงเทียนเอ่ยยออกเสียงใบ “ข้าเรียกว่าต้วนหลิงเทียน ส่วนข้างกายข้า เจ้าสามารถเรียกว่าแม่นางฮ่วนเอ๋อก็ได้…นางเป็นน้องสาวของข้าเอง”
“เข้าใจแล้วนายท่าน”
หลังต้วนหลิงเทียนกล่าวจบ หลิวก่วงหลินก็เร่งประสานมือตอบรับ เปลี่ยนคำเรียกหาจากใต้เท้าเป็นนายท่านอย่างนอบน้อม จากนั้นก็หันไปประสานมือโค้งคารวะให้ฮ่วนเอ๋อเช่นกัน “ข้าน้อยหลิวก่วงหลินยินดีที่ได้พบแม่นางฮ่วนเอ๋อ”
อย่างไรก็ตาม ฮ่วนเอ๋อนั้นไม่มีเวลามาสนใจการคารวะทักทายของหลิวก่วงหลินแม้แต่น้อย
เพราะวาจาที่ต้วนหลิงเทียนพูดประกาศฐานะของนางเมื่อครู่ ยังคงดังก้องในหูของนางซ้ำไปซ้ำมา
‘น้องสาว?’
‘ที่แท้…พี่หลิงเทียนเห็นข้าเป็นแค่น้องสาวมาโดยตลอด?’
ถึงแม้ฮ่วนเอ๋อจะตระหนักได้แต่แรกว่าต้วนหลิงเทียนจงใจเว้นระยะห่างกับนาง และต้วนหลิงเทียนปฏิบัติกับนางเหมือนเห็นเป็นน้องสาวคนหนึ่ง แต่พอมาได้ยินต้วนหลิงเทียนพูดกับปากแบบนี้ ใจนางก็อดไม่ได้ที่จะสะท้านสะเทือนขึ้นมา
“นายท่าน มิทราบท่านกับแม่นางฮ่วนเอ๋อคิดไปที่ใดหรือ?”
หลิวก่วงหลินมองถามต้วนหลิงเทียนด้วยน้ำเสียงมากเคารพ
“พวกเราคิดเดินทางออกจากพื้นที่ชายแดนไปยังภาคกลาง…ในเมื่อเจ้าคิดติดตามข้าแล้ว เช่นนั้นเจ้าก็ทำหน้าที่พาพวกเราเดินทางเถอะ”
ต้วนหลิงเทียนกล่าว
“รับทราบนายท่าน”
หลิวก่วงหลินก็ปฏิบัติตามคำสั่งด้วยความเชื่อฟัง ขณะเดียวกันก็คิดไปในใจว่า ต้วนหลิงเทียนแม้จะแข็งแกร่งมาก แต่ท่าทางจะไม่ชอบนำพาผู้คนเดินทางด้วยตัวเอง
ด้วยเหตุนี้ต้วนหลิงเทียนจึงได้คนร่วมเดินทางด้วยอีกคน
“นายท่าน…ท่านสมควรเป็นยอดฝีมือขอบเขตราชาอมตะใช่หรือไม่?”
หลังจากหอบหิ้วทุกคนเดินทางไปสักพัก พอหลิวก่วงหลินพบว่าต้วนหลิงเทียนไม่ได้คิดจะบ่มเพาะพลังหรือตีความวรยุทธ์อมตะและเวทย์พลังอันใด ก็อดไม่ได้ที่จะเอ่ยถามออกมาด้วยความสงสัย
“ทำนองนั้น”
ต้วนหลิงเทียนพยักหน้าตอบคำ
“ทำนองนั้น?”
หลิวก่วงหลินที่ได้ฟังก็รู้สึกงุนงง ด้วยไม่เข้าใจว่าต้วนหลิงเทียนหมายถึงอะไร
“เจ้ารู้จักอุปกรณ์อมตะประเภทสิ้นเปลืองหรือไม่?”
ต้วนหลิงเทียนเอ่ยถาม
“อุปกรณ์อมตะประเภทสิ้นเปลืองหรือ?!”
พอได้ยินคำถามดังกล่าวของต้วนหลิงเทียน ใจหลิวก่วงหลินก็สะท้านไปทันที จากนั้นก็เร่งตอบกลับไปเร็วไวว่า “นายท่าน ข้าน้อยเคยได้ยินเรื่องอุปกรณ์อมตะประเภทนี้มาบ้าง…ว่ากันว่ายังหาได้ยากยิ่งกว่าอุปกรณ์อมตะทั่วไปเสียอีก!”
“หากได้รับอุปกรณ์อมตะประเภทสิ้นเปลืองมา ยามใช้ก็มิต่างอันใดจากได้รับพลังมหาศาลจากมันมาใช้ได้ตามใจ…ยิ่งไปกว่านั้นพลังที่ได้รับมายังไม่ส่งผลกระทบใดๆต่อผู้ใช้ในภายภาคหน้าอีกด้วย!”
กล่าวถึงจุดนี้ หลิวก่วงหลินที่ไม่ใช่คนโง่งมอะไร ก็ตระหนักเรื่องราวอะไรได้ จึงหันไปมองต้วนหลิงเทียนด้วยความเหลือเชื่อ “นายท่าน อยู่ๆท่านกล่าวถามเช่นนี้ออกมา…”
“หรือว่า ท่าน…”
ลูกตาหลิวก่วงหลินยามนี้เต็มไปด้วยยความตกใจนัก
“ใช่”
ต้วนหลิงเทียนพยักหน้า จากนั้นก็ตอบอย่างตรงไปตรงมา “ความแข็งแกร่งของข้าในตอนนี้ ล้วนได้มาจากพลังของอุปกรณ์อมตะประเภทสิ้นเปลือง…ก่อนที่ข้าจะใช้แรงกดดันพลังช่วยเจ้า ข้าได้ใช้พลังจากอุปกรณ์อมตะสิ้นเปลืองไปไม่น้อยแล้ว ระดับพลังจึงตกไปอยู่ที่ขอบเขตราชาอมตะ 5 องค์ประกอบ”
“อย่างไรก็ตามหลังจากแผ่แรงกดดันพลังออกไปเต็มที่เพื่อช่วยให้เจ้าทะลวงถึงขอบเขตขุนนางอมตะ ระดับพลังในร่างของข้าจึงถดถอยลงมาอยู่ในขอบเขต ราชาอมตะ 4 รูปเท่านั้น”
“ส่วนเหตุผลที่ข้าไม่พาฮ่วนเอ๋อเดินทางด้วยตัวเองแต่แรก ทั้งหมดเพราะข้าไม่อยากใช้พลังที่ได้รับจากอุปกรณ์อมตะสิ้นเปลืองให้เสียเปล่า…ตอนนี้ที่ข้าให้เจ้าพาพวกเราหอบหิ้วเดินทางก็ด้วยเหตุผลเดียวกัน”
กล่าวถึงจุดนี้ ต้วนหลิงเทียนก็หยีตามองจ้องหลิวก่วงหลิน พลางกล่าวเสริมว่า “พลังฝึกปรือที่แท้จริงของข้า ยังนับว่าอ่อนด้อยกว่าฮ่วนเอ๋อไม่น้อย และอยู่ในขอบเขตยอดเซียนอมตะขั้นลี้ลับเท่านั้น ยังห่างจากยอดเซียนอมตะขั้นสวรรค์เช่นนางอีกไกล…และถึงจะใกล้ทะลวงผ่าน แต่อย่างดีข้าก็เป็นแค่ยอดเซียนอมตะขั้นปฐพีเท่านั้น”
ด้วยเป็นเพราะก่อนหน้าต้วนหลิงเทียนทุ่มเทความคิดจิตใจให้กับการตีความวรยุทธ์อมตะและเวทย์พลัง ไม่เว้นยกระดับทักษะหลอมโอสถอมตะ ไม่งั้นหากบ่มเพาะพลังอย่างเดียวป่านนี้เขาอาจจะทะลวงถึงยอดเซียนยอมตะขั้นปฐพีไปนานแล้ว
“ตอนนี้ข้าจะให้โอกาสเจ้าอีกครั้ง…เจ้าสามารถเลือกที่จะจากไปก็ได้ ข้าจะถือว่าไม่ได้ยินคำมั่นของเจ้าก่อนหน้า”
กล่าวถึงท้ายประโยค ต้วนหลิงเทียนก็มองหลิวก่วงหลินด้วยสายตาสงบ
หลิวก่วงหลินสูดอากาศเข้าลึกๆ พอฟื้นจากอาการตกตะลึง มันก็มองกล่าวกับต้วนหลิงเทียนด้วยสีหน้าจริงจังแฝงความแน่วแน่ออกมาทันที “นายท่าน ข้าน้อยยินดีติดตามรับใช้ท่านดังเดิม ไม่คิดเปลี่ยนใจ!”