War sovereign Soaring The Heavens - ตอนที่ 2934
WSSTH ตอนที่ 2,934 : ระนาบหนามม่วง ลี่เฟย!
มหาสหัสโลกธาตุนั้นกว้างใหญ่ไพศาลสุดที่ผู้ใดจะจินตนาการได้ออก มีระนาบแดนดินดำรงอยู่มากมายนับหมื่นพัน
ภายใต้ระนาบเทวโลกหรือแดนสววรรค์ทั้ง 81 ระนาบ ไม่ทราบมีระนาบโลกียะอยู่เท่าไหร่ แต่ที่รู้ก็แค่มันมีมากมายจนนับไม่ถ้วน! และระนาบโลกียะ ‘หนามม่วง’ ก็เป็นหนึ่งในระนาบโลกียะอันมีนับไม่ถ้วนดังกล่าว…
ระนาบหนามม่วงนั้น เป็นมหาระนาบโลกียะ ที่มีดาวเคราะห์จำนวนมากมายนับไม่ถ้วน เรียกว่าเป็นระนาบอันมีท้องฟ้าเต็มไปด้วยหมู่ดาวไร้สิ้นสุด มีจักรวาลหลายจักรวาลดำรงอยู่
และบัดนี้บนดาวเคราะห์ดวงหนึ่งในบรรดาดาราจักรมากมายของระนาบหนามม่วง ก็ปรากฏผู้คนเหินร่างค้างกลางห้วงอวกาศ แต่ละคนจับจ้องมองไปยังดาวดวงหนึ่งไม่วางตา จำนวนผู้คนที่จับจ้องไปยังดาวดวงนั้นยังมากมายสุดที่จะนับได้!
และดวงดาวที่สายตาของพวกมันจับจ้องมองอยู่ ก็คือดาวสีม่วงเข้มดวงหนึ่งท่ามกลางทะเลดวงดาวที่มีดวงดารานับอนันต์
“ดาวเคราะห์ต้นกำเนิดดวงนั้น…ใช้ดาวที่เซียนอมตะหนามม่วงทิ้งมรดกตกทอดไว้หรือไม่?”
“มิผิด ว่ากันว่าอยู่ดีๆดาวเคราะห์ต้นกำเนิดดวงนี้ก็ปรากฏออกมาให้ผู้คนพบเมื่อ 3 ปีก่อน…และมีรัศมีพลังลี้ลับกล้าแข็งขุมหนึ่งที่ปิดกั้นมิให้ผู้ใดเข้าด้านใน! ทว่าลือกันว่าไม่นานมานี้กลับมีคนผู้หนึ่งสามารถเข้าไปในนั้นได้ แถมคนผู้นั้นยังมิใช่เซียนอมตะเสเพลอีกด้วย”
“อันใด? มิใช่เซียนอมตะเสเพลรึ!?”
“มิผิด! ลือกันว่าคนผู้นั้นไม่ใช่แค่มิใช่เซียนอมตะเสเพลเท่านั้น หากแต่พลังฝึกปรือยังห่างอีกไกลกว่าจักเผชิญหน้ากับหายนะสู่สวรรค์เพื่อบรรลุถึงครึ่งก้าวเซียนอมตะ และรอเวลาขึ้นไปยังระนาบเทวโลก”
“ที่แท้นี่มันเกิดเรื่องอะไรกันแน่?”
“เป็นไปได้หรือไม่…ที่คนผู้นั้นเป็นผู้สืบทอดที่เซียนอมตะหนามม่วงเลือกเฟ้น?”
…
เหล่าเซียนอมตะเสเพล ทั้งตัวตนขอบเขตเซียนสวรรค์ไม่เว้นครึ่งก้าวเซียนอมตะ ที่เหินร่างรอบดาวเคราะห์สีม่วงดังกล่าว ได้แต่เอ่ยคาดเดาเรื่องราวกันไปเรื่อย
เซียนอมตะหนามม่วงนั้น เป็นตัวตนในตำนานของระนาบหนามม่วงของพวกมัน
กระทั่งเดิมทีระนาบโลกียะแห่งนี้มิได้ชื่อว่าระนาบหนามม่วงด้วยซ้ำ แต่เพื่อรำลึกถึงเซียนอมตะหนามม่วงแล้ว ทุกคนถึงกับพร้อมใจกันเปลี่ยนชื่อเรียกระนาบโลกียะแห่งนี้ให้เป็นระนาบหนามม่วง!
ทั้งหมดมิใช่ใดอื่น แต่เซียนอมตะหนามม่วงนั้น ก็คือผู้ที่ข้ามผ่านทัณฑ์สวรรค์ กลับกลายเป็นครึ่งก้าวเซียนอมตะ จากนั้นก็ขึ้นสู่สวรรค์ไปได้สำเร็จเป็นคนแรกของระนาบโลกียะแห่งนี้! และหลังจากคนขึ้นสวรรค์ไปได้สักพักใหญ่ ก็เริ่มปรากฏมรดกและอุปกรณ์อมตะมากมายขึ้นในระนาบโลกียะแห่งนี้อย่างพิศวง และไม่นานทุกคนก็พบว่า ที่แท้ทั้งหมดล้วนมาจากเซียนอมตะหนามม่วง!!
ด้วยความอนุเคราะห์ที่ส่งมอบสิ่งของเลิศล้ำทั้งมรดกวิชากลับมายังระนาบโลกียะแห่งนี้มากมาย ทำให้ผู้คนในระนาบแห่งนี้สามารถข้ามผ่านหายนะทัณฑ์สวรรค์ทะลวงถึงครึ่งก้าวเซียนอมตะ และสามารถขึ้นสู่สวรรค์กลายเป็นเซียนอมตะได้คนแล้วคนเล่า นางจึงถือได้ว่าเป็นผู้ที่มีบคุณูปการอันอันล้นพ้นต่อทุกคนในระนาบแห่งนี้ เรียกว่ามีบุญคุณอันใหญ่หลวงทุกสรรพชีวิต!
อย่างไรก็ตามด้วยความที่กาลเวลามันล่วงเลยผ่านมานานมากแล้ว ตำนานของเซียนอมตะหนามม่วงที่เล่าขานกันมาก็คงเหลือแต่เพียงคุณูปการอันใหญ่หลวงเท่านั้น ส่วนตัวตนที่แท้จริงของเซียนอมตะหนานม่วงเป็นผู้ใด ผู้คนต่างลืมเลือนกันไปหมดสิ้น กระทั่งที่แท้เป็นผู้ชายหรือผู้หญิงก็ไม่ทราบ…
ทุกคนได้รับรู้กันมาจากบรรพชนและคนรุ่นก่อนว่า หลังจากเซียนอมตะหนามม่วงขึ้นสวรรค์ได้สำเร็จ วันหนึ่งเซียนอมตะหนานม่วงก็ได้ย้อนกลับมายังระนาบโลกียะแห่งนี้เพื่อทิ้งมรดกและสมบัติไว้มากมาย
และเซียนอมตะหนานม่วงนั้นยังได้ทิ้งถ้อยคำไว้คำหนึ่ง…
ว่าเมื่อใดที่มรดกที่แท้จริงของนางปรากฏขึ้น หมายความว่าผู้ที่ถูกเลือกที่จะได้รับสืบทอดทุกสิ่งทุกอย่างของนางได้ปรากฏตัวขึ้นแล้ว!
เมื่อถึงเวลานั้น ก็ขอให้ผู้คนในระนาบโลกียะแห่งนี้ มาร่วมเป็นสักขีพยานในช่วงเวลาแห่งประวัติศาสตร์นั้นกันด้วย
“เมื่อ 3 ปีก่อน อยู่ๆดาวเคราะห์ต้นกำเนิดสีม่วงดวงนั้นก็ปรากฏขึ้นมา จากนั้นแสงพลังสีม่วงก็สาดส่องย้อมห้วงอวกาศไปไกลหลายปีแสง…อ้างอิงจากบันทึกโบราณ 9 ใน 10 นี่คือดาวเคราะห์ที่เซียนอมตะหนานม่วงได้ทิ้งมรดกสืบทอดที่แท้จริงเอาไว้ไม่ผิดแน่!!”
“สมควรเป็นเช่นนั้น…ข้าได้ยินมาว่าต่อให้เป็นเซียนอมตะเสเพล 9 ทัณฑ์ที่ทรงพลังที่สุด ยังไม่อาจฝ่ารัศมีพลังที่แผ่ซ่านออกมาปกคลุมทั่วดาวได้เลย! เห็นได้ชัดว่านั่นคือพลังอำนาจของเซียนอมตะ และเป็นมรดกตกทอดที่แท้จริงของเซียนอมตะหนานม่วงไม่ผิดแน่!”
“3 ปี…เมื่อ 3 ปีที่แล้ว อยู่ดีๆดาวเคราะห์ต้นกำเนิดสีม่วงดวงนี้ก็ปรากฏตัวขึ้น ทว่าไม่มีผู้ใดสามารถเข้าไปได้เลย จนเมื่อราวๆ 3 เดือนก่อนพบว่ามีคนผู้หนึ่งสามารถเข้าไปในดาวนั่นได้ หลังจากนั้นก็ไม่มีผู้ใดเข้าไปอีก!”
“สหายท่านนั้น! คนที่ท่านพูดถึงเป็นข้าเองล่ะ วันนั้นข้าเห็นสตรีในชุดคลุมสีม่วงคนหนึ่งสามารถพุ่งเข้าไปในดาวเคราะห์ต้นกำเนิดดวงนั้นได้ และแม้จะอยู่ไกลๆ แต่ข้าก็ยังพอเห็นเค้าโครงใบหน้านางได้รางๆ และนางช่างงดงามยิ่งนัก!”
“ข้าเชื่อมั่นว่านางก็คือผู้สืบทอดของเซียนอมตะหนามม่วงไม่ผิดแน่!!”
……
เหล่ายอดฝีมือในระนาบโลกียะหนามม่วง เมื่อถกกันถึงเรื่องนี้ได้สักพัก แต่ละคนก็พากันจับจ้องมองไปยังดาวเคราะห์ต้นกำเนิดสีม่วงเบื้องหน้าไม่วางตา ในแววตายังเผยความอิจฉาไม่น้อยเมื่อได้ยินว่ามีสตรีนางหนึ่งสามารถเข้าไปในดาว และกำลังจะกลายเป็นผู้สืบทอดของเซียนอมตะหนามม่วง
เรียกว่าเหล่าผู้ที่มาเหินลอยในห้วงอวกาศล้อมรอบดาวเคราะห์ต้นกำเนิดสีม่วงดวงนี้ ล้วนแล้วแต่เป็นชนชั้นยอดฝีมือระดับสูงๆของระนาบหนามม่วงทั้งสิ้น กระทั่งผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดก็อยู่ที่นี่ด้วย
อย่างไรก็ตามไม่เว้นแม้แต่คนเดียว พวกมันทำได้แค่ดูชมเรื่องราวเท่านั้น ไม่อาจเข้าไปในดาวเคราะห์ต้นกำเนิดสีม่วงเบื้องหน้าได้เลย
และเช่นเดียยวกับข้อความในบันทึกโบราณที่เซียนอมตะหนามม่วงทิ้งไว้ ที่พวกมันมาก็เพื่อร่วมเป็นสักขีพยานในห้วงเวลาแห่งประวัติศาสตร์!
ไม่ว่าภายนอกจะคึกคักมีชีวิตชีวาเพียงใด แต่ภายในดาวเคราะห์ต้นกำเนิดที่มีรัศมีพลังสีม่วงปกคลุมเอาไว้ ก็เงียบสงบนัก
หากฝ่ารัศมีพลังสีม่วงที่เป็นดั่งม่านพลังเข้ามาแล้ว ภายในดาวเคราะห์ต้นกำเนิดดวงนี้ ก็ไร้ซึ่งสิ่งใดนอกจากพระราชวังโออ่าหลังหนึ่งเท่านั้น
และตอนนีภายในพระราชวังโออ่าดังกล่าว ก็ปรากฏสตรีนางหนึ่งหลับไหลอยู่บนแท่นศิลากลางโถงพระราชวัง!
ภายในห้องโถงของพระราชวังอันกว้างใหญ่ไพศาล แลไปทางใดก็ช่างวิจิตรงดงามเหลือเกิน ตามผนังเพดานยังปรากฏลวดลายทั้งอักขระโบราณนับไม่ถ้วนสลักไว้
และลวดลายตามผนังเพดานนั้นก็คล้ายจะเชื่อมโยงต่อกัน มองไปแล้วทั้งหมดหมดยังคล้ายเส้นทางสายหนึ่ง ที่กำลังมุ่งหน้าไปบรรจบกันยังแท่นศิลากลางห้องโถง!
แท่นศิลากลางห้องโถงเองก็มีลวดลายอักขระที่ซับซ้อนยิ่งกว่าที่ใดในโถง กระทั่งพวกมันยังเปล่งประกายสีม่วงออกมาเรืองรองไม่หยุด
และร่างที่นอนหลับไหลอยู่บนแท่นศิลากลางโถงนั้น ก็เป็นสตรีในชุดคลุมสีม่วงนางหนึ่ง
นางที่หลับไหอยู่ ไม่ได้รู้ตัวเลยว่าบัดนี้ได้มีพลังบางอย่างที่หลั่งไหลมาจากห้องโถงผ่านแท่นศิลาดังกล่าวแทรกซึมเข้าไปทั่วร่าง จนร่างกายของนางเริ่มเปล่งแสงพลังสีม่วงออกมาเรืองรอง
สตรีที่หลับไหลดังกล่าว เมื่อถูกมวลพลังมหาศาลหลั่งไหลเข้าร่าง ไม่นานก็ได้สติ แพขนตางามงอนสั่นระริกคราหนึ่ง จากนั้นนางก็ค่อยๆลืมตาขึ้นมา สองตากลมใสยังฉายแววกระจ่างปานมณีเลอค่า
“เอ๊ะ?”
และพอสตรีในชุดคลุมสีม่วงลืมตาขึ้นมามองไปยังเรื่องราวรอบๆ สองตาดั่งมณีเลอค่าก็ฉายชัดถึงความสับสนไม่เข้าใจออกมาทันที
“นี่…นี่มันเกิดอะไรขึ้นกัน?”
เมื่อลุกขึ้นมาพบเจอสถานที่แปลกตา หันซ้ายหันขวาไปทางไหนก็ไม่พบเจอผู้ใด เพียงรู้สึกว่าสมควรเป็นห้องโถงอันมีลวดลายอักขระแปลกตาแห่งหนึ่ง สีหน้าของสตรีในชุดคลุมสีม่วงก็อดไม่ได้ที่จะฉายถึงความสับสนไม่เข้าใจ
“ที่นี่ที่ไหนกัน?”
“ข้า…ไฉนมาอยู่ที่นี่ได้?”
“เอ๊ะ? อันใดกัน…ไม่! ข้ามิอาจอยู่ที่นี่ได้…เทียนเอ๋อไปไหน! เทียนเอ๋อไปที่ใดแล้ว!? ข้าต้องไปตามหาเทียนเอ๋อ! หากหาเทียนเอ๋อไม่เจอ พอตัวเลวร้ายกลับมาข้าจะยังมีหน้าไปพบได้หรือ!!”
สตรีในชุดสีม่วงเมื่อพบว่ารอบกายกลับรึ่งเงาของบุตรชาย ก็เริ่มแตกตื่นทั้งร้อนใจหนักหนา จากนั้นสองตาก็เริ่มเอ่อคลอไปด้วยน้ำตา
นั่นเพราะนางที่คิดจะก้าวเดินออกไปจากแท่นศิลาและห้องโถงประหลาดนี่ กลับพบว่าสองเท้าของนางคล้ายถูกตรึงเอาไว้กับแท่นศิลา หนักอึ้งปานมีตะกั่วลากถ่วงไม่อาจขยับไปไหนได้เลย!
และพอสตินางเริ่มกลับมาเข้าที่เข้าทาง นางก็เริ่มจดจำเรื่องราวที่เกิดขึ้นก่อนนางสิ้นสติได้
“จำได้ว่าเหมือนมีเสียงหนึ่งเรียกหาข้าจากที่ไหนสักแห่ง…จากนั้นอยู่ๆข้าก็เดินทางมาถึงดาวสีม่วงดวงหนึ่ง ผู้คนที่อยู่รอบๆดาวสีม่วงอันมีม่านพลังปิดกั้นนั้น คล้ายกล่าวทำนองว่ามันคือมรดกสถานที่เซียนอมตะหนามม่วงเหลือทิ้งไว้”
“นอกจากนั้นหลังจากที่ดาวสีม่วงปรากฏออกมา 3 ปี ต่อให้เป็นยอดฝีมือที่แข็งแกร่งที่สุดในระนาบหนามม่วง ก็ไม่อาจจะฝ่าม่านพลังรอบดาวเข้าไปได้”
“และหลังจากที่ข้าลองเข้าไปชมดูดาวดวงนั้นใกล้ๆ อยู่ๆสติข้าก็เริ่มพร่าเลือน…และก่อนที่สติข้าจะดับไป ดูเหมือนจะมีพลังไร้สภาพขุมหนึ่งฉุดดึงข้าให้เข้าใกล้ดาวดวงนั้น”
พอนึกถึงจุดนี้ ลูกตาของสตรีชุดคลุมม่วงก็หดเล็กลง “หรือว่า…ตอนนี้ข้าอยู่ในดาวสีม่วงดวงนั้น?!”
“ไม่…ไม่สิ…มีผู้คนตั้งมากมายไม่อาจเข้ามาได้ แล้วไฉนข้าถึงเข้ามาได้เล่า?”
หลังพึมพำคาดเดาไปสักพัก สุดท้ายสตรีชุดม่วงก็ส่ายหัวไปมาเพื่อปฏิเสธข้อสันนิษฐานของตัวเอง
“เพราะ…เจ้าคือผู้ที่ข้าเลือกให้เป็นผู้สืบทอดอย่างไรเล่า”
ทว่าสตรีชุดม่วงกล่าวพึมพำจบไม่ทันไร ก็มีเสียงหนึ่งที่ราวกับจะกึกก้องมาจากทุกทิศทางดังเข้าหูสตรีชุดม่วงพอดี
เสียงที่ว่าฟังแล้วบอกได้เรื่องหนึ่ง ว่าสมควรเป็นเสียงของอิสตรี หากแต่ดังมาจากที่ใดนั้นไม่อาจทราบได้!
“ผู้ใด!?”
เสียงสตรีที่อยู่ก็ดังขึ้นมาอย่างกะทันหันย่อมนำพาความตื่นตระหนกมาสู่สตรีชุดม่วงไม่น้อย นางหันรีหันขวางมองรอบๆอย่างตื่นตระหนก หากแต่ก็รวบรวมความกล้ากล่าวถามออกมา!
“ข้าเอง”
ทันใดนั้นเสียงสตรีกังกล่าวก็ดังขึ้นอีกครั้ง ครู่ต่อมาท่ามกางอากาศว่างเปล่าเบื้องหน้าสตรีชุดม่วง ก็ปรากฏเงาร่างหนึ่งค่อยๆปรากฏตัวขึ้นปานภูตผี!
เป็นสตรีทีมีรูปโฉมธรรมดาๆนางหนึ่งทั่วร่างถูกพลังสีม่วงปกคลุมเอาไว้ และเนื่องจากร่างของนางเป็นแค่ภาพเงาสีเทาเท่านั้น จึงไม่อาจบอกได้ว่านางสวมใส่ชุดสีอะไรกันแน่
อย่างไรก็ตามเพียงแค่เงาร่างของนางปรากฏตัวขึ้นเฉยๆ ก็สร้างความหวาดกลัวให้ผู้พบเห็นอย่างบอกไม่ถูก
“ทะ…ท่านเป็นผู้ใดกันแน่ แล้วีท่แท้เป็นผีหรือคน?”
สตรีในชุดคลุมสีม่วงมองถามไปยังเงาร่างสตรีสีเทาอันมีพลังสีม่วงปกคลุม ที่อยู่ๆก็ปรากฏตัวขึ้นมาปานภูตผีด้วยสีหน้าตกใจ!
“ผู้คนในระนาบโลกียะแห่งนี้สมควรเรียกหาข้าว่าเซียนอมตะหนามม่วง…นี่มิใช่ร่างแยกวิญญาณของข้าแต่อย่างไร หากแต่เป็นตัวข้าที่อยู่ในระนาบเทวโลก ได้ส่งร่างกฏของข้ามาที่ระนาบโลกียะแห่งนี้เพื่อสนทนากับเจ้าโดยตรง”
ร่างลึกลับกล่าว
“เซียนอมตะหนามม่วง!?”
“ท่าน…ท่านคือเซียนอมตะหนามม่วงหรือ?”
ได้ยินวาจาของเงาร่างสตรีสีเทาปานภูตผี สตรีในชุดคลุมสีม่วงก็อดไม่ได้ที่จะตกใจ แววตาของนางยังเบิกกว้างราวกับพบพานภูตผีเข้าแล้วจริงๆ ใบหน้ายังเผยความทึ่งไม่น้อย
“ใช่”
เงาร่างลึกลับกล่าววต่อ “ข้ารู้ว่ายามนี้ในใจเจ้ามีคำถามมากมาย แต่ร่างกฏของข้ามิอาจคงสภาพไว้ได้นาน เช่นนั้นข้าจะพยายามกล่าวสั้นๆ”
“เนิ่นนานมาแล้ว…ตัวข้าพบว่าต่อให้บ่มเพาะพลังเท่าใดก็มิอาจประสบความก้าวหน้าได้อีก…และทั้งหมดเป็นเพราะยามที่ตัวข้าอยู่ในระนาบโลกียะนั้น ไม่ได้วางรากฐานให้มั่นคงมากพอ ทำให้ด่านพลังของข้าติดอยู่ในขอบเขตจักรพรรดิอมตะ 10 ทิศ ยากที่จะทะลวงถึงขอบเขตที่สูงกว่านี้ได้อีก”
“เมื่อข้าพบถึงต้นตอปัญหาดังกล่าว ข้าจึงเลือกจะย้อนกลับมายังระนาบหนามม่วง และทิ้งมรดกเอาไว้…กล่าวไปก็ไม่เชิงเป็นมรดกอันใด แต่เป็นช่องทางเชื่อมต่อที่ทำให้ข้าสามารถสนทนากับเจ้าได้มากกว่า เพื่อให้เจ้าสามารถรับมรดกจากตัวข้าได้โดยตรง”
“ดาวเคราะห์ต้นกำเนิดดวงนี้ นอกจากค่ายกลป้องกันแล้ว ข้ายังได้แฝงเร้นอาคมกักเก็บเศษเสี้ยวสำนึกเทวะเอาไว้ด้วยทักษะลับบางประการ…ตราบใดที่เศษเสี้ยวสำนึกเทวะที่ข้าทิ้งไว้ สามารถตรวจพบผู้ใดที่มีรากฐานแน่นหนาเหนือกว่าตัวข้าครั้งยังอยู่ในระนาบโลกียะได้ มันก็จะแจงเตือนตัวข้าให้ข้ารู้ จักได้ติดต่อมาโดยตรงเช่นนี้”
“ตอนนี้เจ้าเองก็คงจะคาดเดาได้แล้ว ว่าสำนึกเทวะที่ข้าเหลือทิ้งไว้…ได้เลือกเจ้า! และเจ้าก็จักเป็นผู้ที่รับสืบทอดมรดกของข้า!!”
“อนาคตของเจ้า ต้องก้าวข้ามข้าไปได้แน่นอน!!”
…
ได้ยินวาจาของเงาร่างสีเทาที่เลือนรางปานภูตผี สีหน้าของสตรีชุดม่วงก็แปรเปลี่ยนไปไม่หยุด จากหวาดกลัวกลับกลายเป็นตกตะลึง สุดท้ายก็เต็มไปด้วยความประหลาดใจ
เซียนอมตะหนามม่วง ตอนนี้บรรลุถึงขอบเขตจักรพรรดิอมตะ 10 ทิศแล้วหรือ?
แถมตอนนี้อีกฝ่ายยังบอกว่า นางคือผู้ที่ถูกรับเลือกให้รับมรดกของอีกฝ่าย?
ไม่ทราบตั้งแต่เมื่อไหร่ หากแต่หยาดน้ำตาสองสายได้เริ่มรินไหลออกจากดวงตาคู่งามดั่งมณีเลอค่าของสตรีชุดคลุมสีม่วงอีกครั้ง
และหากต้วนหลิงเทียนมาอยู่ที่นี่ คงสามารถจดจำนางได้ทันที
เพราะสตรีในชุดคลุมสีม่วงนางนี้หาใช่ใครอื่นไม่ แต่เป็น 1 ใน 2 ภรรยารักของเขา
ลี่เฟย!