War sovereign Soaring The Heavens - ตอนที่ 2940
WSSTH ตอนที่ 2,940 : คนฆ่าฮ่าวเอ๋อ เป็นมัน?
“พวกตัวโง่งมทั้งหลาย…”
ได้ยินวาจาล้อเลียนต้วนหลิงเทียนจากลุ่มคนในอัฒจันทร์ หลิวก่วงหลินอดไม่ได้ที่จะก่นด่าออกมาด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา เพราะมันรู้สึกว่าคนเหล่านี้ล้วนแล้วแต่เป็นตัวโง่งมดั่งกบน้อยก้นบ่อทั้งสิ้น!
ผู้ใดบอกว่าอายุไม่ถึงร้อยปีแล้วจะเหนือกว่า หวงเจียหลง ลูกชายคนที่ 4 ของเจ้าเมืองหวงไม่ได้?
“หืม?”
ทันใดนั้นเองหลิวก่วงหลินสัมผัสได้ว่ามีสำนึกเทวะขอบเขตขุนนางอมตะ 1 ต้นกำเนิดขุมหนึ่งกำลังชำแรกเข้าร่างมันมาอย่างอุกอาจ! พาลให้สีหน้ามืดดำลงทันใด ยังหันกลับไปมองคนที่ตรวจสอบมันอย่างไร้มารยาททันที!!
และผู้ที่ตรวจสอบมัน ก็คือชายวัยกลางคนที่นั่งอยู่ด้านหลัง และเคยให้ข้อมูลบางเรื่องเมื่อวันก่อน
“ขออภัยด้วยพี่ชาย ข้าเพียงแค่อยากรับทราบถึงพลังฝึกปรือท่านก็เท่านั้น…แต่ข้ามิคิดเลยว่าข้าท่าน พวกเราล้วนแล้วแต่เป็นขุนนางอมตะ 1 ต้นกำเนิดเหมือนกัน แหะๆ…”
ชายวัยกลางคนที่เห็นหลิวก่วงหลินหันมามองด้วยใบหน้าถมึงทึง ก็เร่งกล่าวขอขมาออกไปด้วยรอยยิ้มแหยๆทันที
เดิมทีมันคิดว่าด่านพลังฝึกปรือของหลิวก่วงหลินสมควรอ่อนด้อยกว่ามัน และไม่มีทางตรวจพบสำนึกเทวะของมันได้แน่นอน แต่ไม่คิดไม่ฝันเลยว่าอีกฝ่ายจะเป็นขุนนางอมตะ 1 ต้นกำเนิดเหมือนกัน!
“อยากรู้พลังฝึกปรือข้า?”
หลิวก่วงหลินขมวดคิ้ว
“พี่ชายท่านนี้ ท่านมิใช่เรียกหาชายหนุ่มผู้นั้นว่า ‘นายท่าน’ มาก่อนหรือไร? ข้าก็เลยคิดว่าพลังฝึกปรือของท่านไม่ได้สูงเท่าชายหนุ่มผู้นั้น หาไม่แล้วไฉนท่านจึงเรียกชายหนุ่มผู้นั้นว่านายท่านเล่า?”
ชายวัยกลางคนเปิดประตูเห็นภูผากล่าวตอบออกไปตรงๆ “ข้าก็เลยอยากรู้ว่าพลังฝึกปรือของท่านอยู่ด่านใด”
“แต่ข้ามิคิดเลย…ว่าที่แท้ท่านก็เป็นขุนนางอมตะ 1 ต้นกำเนิดเหมือนกัน”
กล่าวจบแล้ว สีหน้าชายวัยกลางคนดังกล่าวยังเผยความสงสัยไม่หาย
เป็นธรรมดาว่ามันไม่มีทางคิดไปทำนองที่ชายหนุ่มชุดม่วงที่หลิวก่วงหลินเรียกหา จะมีพลังฝึกปรือเหนือกว่าขอบเขตขุนนางอมตะ 1 ต้นกำเนิด
ก่อนอื่นเลย ชายหนุ่มชุดม่วงนั้นยังมีอายุไม่ถึง 100 ปี!
ประการที่สองหากชายหนุ่มชุดม่วงนั่นมีระดับพลังอยู่ในขอบเขตขุนนางอมตะจริง ก็ถือว่าละเมิดกฏเกณฑ์เข้าร่วมการประลองสวรรค์ใต้ หากลงมือจนพลังฝึกปรือเปิดเผยออกมา ก็ไม่พ้นต้องถูกฮ่องเต้ฝูชิวลงโทษสถานหนัก แล้วใครมันจะบ้าหาเรื่องตาย?
“แล้วผู้ใดบอกว่านายท่านของข้าจำเป็นต้องมีพลังฝึกปรือสูงกว่าข้าเล่า…”
หลิวก่วงหลินมองตอบชายวัยกลางคนอย่างไม่แยแส จากนั้นก็เลิกสนใจอะไรอีกฝ่ายแล้วหันกลับมาชมดูเรื่องราวในสังเวียนประลองต่อ
เหนือขึ้นไปกลางหาว
พอเห็นต้วนหลิงเทียนนำอุปกรณ์อมตะระดับราชาออกมา หวงเจียหลงก็นำอุปกรณ์อมตะระดับราชาของตัวเอง ที่เป็นหอกยาว 7 ฉื่อออกมาเช่นกัน
หอกยาวนี้ตัวหอกมีสีแดงเข้มปานโลหิต ยังเรืองรองไปด้วยแสงพลังลี้ลับสีแดงเพลิง มองมาแต่ไกลยังคล้ายตัวหอกลุกท่วมไปด้วยเพลิงไฟ!
“นั่นมันอุปกรณ์อมตะระดับราชา ‘หอกเมฆาอัคคี’ อาวุธคู่กายของเจ้าเมืองตู้อวิ๋นมิใช่หรือ?!”
“ข้าไม่คิดเลยว่าเจ้าเมืองตู้อวิ๋นจะมอบอุปกรณ์อมตะระดับราชาคู่กายให้ลูกชายคนที่ 4 ใช้จริงๆ ดูเหมือนว่าจะรักลูกชายผู้นี้มาก”
“ใช่…หอกเมทฆาอัคคีเล่มนั้น กล่าวไปเป็นอุปกรณ์อมตะรดับราชาที่ทรงพลังติด 3 อันดับแรกที่เจ้าเมืองตู้อวิ๋นมีไว้ในครอบครอง!”
“เรื่องที่ลูกชายของเจ้าเมืองตู้อวิ๋นจะมีอุปกรณ์อมตะระดับราชาก็ไม่นับว่าแปลกอันใดหรอก…ที่ข้าสงสัยคือชายหนุ่มชุดม่วงผู้นั้นที่แท้มีความเป็นมาอย่างไรกันแน่ ไฉนถึงหยิบควักอุปกรณ์อมตะระดับราชาออกมาใช้ได้หน้าตาเฉย?”
“ข้าไม่เคยเห็นชายหนุ่มผู้นี้มาก่อนเลย…ใช่ทายาทของยอดฝีมือที่เร้นกายคนใดหรือไม่?”
…
พอเห็นอุปกรณ์อมตะระดับราชาที่หวงเจียหลงหยิบออกมา ผู้คนก็เริ่มกล่าวซุบซิบคุยกันอีกครั้ง กระทั่งในอีก 7 สังเวียนประลองที่เหลือ ก็พร้อมใจกันหยุดมือลงอย่างพร้อมเพรียงโดยไม่ได้นัดหมาย เห็นชัดว่าตั้งใจจะดูชมการประลองบนสังเวียนของต้วนหลิงเทียนให้จบก่อนค่อยลุยกันต่อ!
เสียงคาดเดาตัวตนของต้วนหลิงเทียน เริ่มดังระงมปานมีทัพม้าป่าห้อผ่าน
และตั้งแต่ที่ต้วนหลิงเทียนควักอุปกรณ์อมตะระดับราชออกมาถือไว้เด่นหรา ก็ไม่มีผู้ใดหาญกล้ามองว่าต้วนหลิงเทียนหยิ่งผยองลำพองตน หรือมีปัญหากับสมองอีกเลย!
แต่เจ้ามีอุปกรณ์อมตะระดับราชาแล้วอย่างไร หรือบุตรชายเจ้าเมืองตู้อวิ๋นไม่มี?
นอกจากนั้นบุตรชายเจ้าเมืองตู้อวิ๋นด่านพลังยังบรรลุถึงยอดเซียนอมตะขั้นสูงสุด วรยุทธ์อมตะทั้งเวทย์พลังอันใดก็ประสบความสำเร็จไม่ใช่ชั่ว
ต้องทราบด้วยว่า หวงเจียหลงนั้น วรยุทธ์อมตะและเวทย์พลังระดับขุนนางสายจู่โจม ป้องกัน และท่าร่าง ล้วนแตกฉานหมดสิ้น!
อีกทั้งลือกันว่ากระทั่งเวทย์พลังสนับสนุนระดับขุนนางที่ยากตีความเป็นที่สุด ก็บรรลุความสำเร็จไม่ใช่ชั่วแล้ว!
และในขณะที่หวงเจียหลงหยิบหอกเมฆาอัคคีออกมาเผชิญหน้ากับต้วนหลิงเทียน จนบรรยากาศระหว่างทั้งคู่เริ่มคลุ้งกลิ่นดินปืน ปานการต่อสู้พร้อมระเบิดปะทุได้ทุกเมื่อนั้นเอง
ปรากฏร่างบางแลดูสง่างามหนึ่ก้าวอาดๆขึ้นมาบนอัฒจันทร์ส่วนราชวงศ์
“สนมรักของข้า ไฉนเจ้ามาได้เล่า?”
ฮ่องเต้ฝูชิวคลี่ยิ้มสดใสออกมาทันที เมื่อเห็นร่างบางแสนงามมากสง่าก้าวอาดๆเข้ามานั่งยังที่นั่งข้างๆที่เว้นว่างเอาไว้
และที่ว่างข้างกายของมันก็เว้นว่างมาตั้งแต่แรก ที่แท้จับจองไว้ให้สนมรักนางนี้นี่เอง
“คารวะพระสนมหลัน!”
“คารวะพระสนมหลัน!”
…
เมื่อสตรีงดงามหมดจดท่วงท่าส่างามปานนนางพญาก้าวอาดๆมาถึง ข้าราชบริพานทั้งทหารองครักษ์ที่คุ้มกันโดยรอบ ก็ประสานมือโค้งคารวะทำความเคารพออกมาอย่างนอบน้อมพร้อมเพรียง
และเมื่อคารวะคนเสร็จที่มีหน้าที่เฝ้าระวังก็ทำต่อ ที่ไม่มีหน้าที่ก็หันกลับไปจับจ้องยังสังเวียนที่ต้วนหลิงเทียนกับหวงเจียหลงเผชิญหน้ากันอยู่
“ขออภัยด้วยเพคะเสด็จพี่ที่น้องมาสาย พอดีเมื่อเช้าพี่ใหญ่ของน้องมาเข้าพบ…”
สตรีงดงามมาดสง่าปานนางพญาผู้นี้ ก็คือสนมเอกแห่งประเทศฝูชิว เป็นนางสนมที่ฮ่องเต้ฝูชิวโปรดปรานเป็นที่สุด โปรดปรานถึงขั้นลืมเลือนชายาเอกชายารองอันใดไปหมดสิ้น และสนมหลันนางนี้ ด้วยความที่ได้รับความโปรดปรานจากฮ่องเต้ฝูชิว นางก็เริ่มเพาะสร้างขุมกำลังส่วนตัว จนกลายเป็นตัวตนที่มีอำนาจบารมีไม่ใช่ชั่วในประเทศฝูชิว
“พี่ใหญ่ของน้องมาหาอีกแล้วหรือ…ใช่ยังเป็นเรื่องของฮ่าวเอ๋ออยู่หรือไม่?”
ฮ่องเต้ฝูชิวถาม
“เพคะ”
สตรีงามมาดนางพญาพยักหน้ารับ และคล้ายจะฉุกคิดอะไรได้ออก ดวงตาคู่งามปานแก้วมณีก็เริ่มปรากฏหยาดน้ำใสสองสายไหลรินรดแก้มกระจ่าง “เช้าวันนี้พี่ใหญ่ที่มาหาข้า หลังจากพบว่าทางข้าสืบมิได้เรื่องราวอันใด ในที่สุดก็ทนไม่ไหวจำต้องใช้วิชาต้องห้ามประจำตระกูล ‘ย้อนรอยโลหิต’ เพื่อมองฉากสุดท้ายของสายโลหิตที่ตายตก หมายดูโฉมหน้าฆาตกรที่เข่นฆ่าฮ่าวเอ๋อ!”
“แม้จักเห็นแล้วว่าฆาตกรเป็นผู้ใด…หากแต่พี่ใหญ่…พี่ใหญ่ของน้อง ต่อจากนี้มิอาจพบพานความก้าวหน้าอันใดอีกแล้ว ฮือ…”
วาจาเสียงสะอื้น พร้อมด้วยใบหน้างามที่เต็มไปด้วยความสลดพร้อมหยาดใสสองสายนั่น ช่างมีอานุภาพสะกดใจให้ผู้ที่พบเห็นบังเกิดความเวทนาสงสารจับจิตเหลือเกิน ฮ่องเต้ฝูชิวเดิมทีก็หลงรักนางเป็นทุน พอเห็นนางในดวงใจโศกเศร้า ร่ำไห้น้ำตาเป็นสาย ก็รู้สึกปวดแปลบขึ้นมาในใจ พลอยมีอารมณ์หดหู่โศกศัลย์ไปด้วย
“เป็นพี่ใช้การไม่ได้เอง ที่มิอาจช่วยน้องหาตัวฆาตกรได้ ยามนี้เมื่อรู้รูปโฉมของมันแล้ว ตราบใดที่มันยังไม่ออกจากเขตประเทศฝูเชิวของพี่ ชั่วชีวิตมันก็อย่าหวังจักไปที่ใดได้อีก!!”
ฮ่องเต้ฝูชิวกล่าวปลอบพลางกอบกุมมือสนมรักไว้แนบแน่น จากนั้นก็หันไปชมดูการเผชิญหน้าระหว่างคนสองคนที่บัดนี้การต่อสู้เจียนปะทุเต็มที “รอให้งานประลองสวรรค์ใต้วันนี้สิ้นสุดลงก่อน น้องก็ให้พี่ใหญ่วาดรูปเหมือนฆาตกรออกมาเถอะ พี่จักให้คนคัดลอกไว้สักหลายๆชุดเพื่อนำไปติดประกาศหาตัวคนร้ายให้ทั่ว!”
“อย่างไรเสียฮ่าวเอ๋อก็เหมือนหลานคนหนึ่งของพี่…พี่ไหนเลยจะไม่ล้างแค้นให้ผู้หลานได้?”
ฮ่องเต้ฝูชิวกล่าวปลอบถึงจุดนี้ เสียงสะอื้นไห้ของสนมหลันก็ทุเลาลง
“ขอบพระทัยเพคะเสด็จพี่…”
สตรีงามมาดนางพญากล่าวคำขอบคุณออกมาเสียงหวาน นางค่อยๆยกมือขึ้นปาดเช็ดน้ำตาอย่างแช่มช้อย จากนั้นก็เริ่มหันไปชมมองตามสายตาฮ่องงเต้ฝูชิว ร่วมดูการประลอง
“เอ๊ะ? นั่นมิใช่บุตรชายคนที่ 4 ของเจ้าเมืองตู้อวิ๋นหรอกหรือ?”
พอได้เห็นว่าผู้ที่กำลังจะต่อสู้กัน หนึ่งในนั้นคือคนที่นางเองก็คุ้นหน้า สตรีงามก็อดประหลาดใจไม่ได้ “มันออกโรงเร็วขนาดนี้เชียวหรือ?”
“ไม่เพียงแต่มันจะลงมือเร็วกว่าที่คาด…ยามนี้ยังได้พานพบคู่ต่อสู้ที่น่าสนใจอีกด้วย คู่ต่อสู้ของมันเป็นแค่ชายหนุ่มอายุไม่ถึงร้อยปีเท่านั้น แถมยังมีอุปกรณ์อมตะระดับราชาอีกด้วย ข้ามิทราบจริงๆว่าที่แท้เป็นทายาทหรือลูกศิษย์ของประหลาดเฒ่าคนใดกันแน่…”
ฮ่องเต้ฝูชิวมองไปทางต้วนหลิงเทียนด้วยความสนใจ พลางกล่าวออกมาด้วยความสงสัย
หากมีใครมาบอกว่า ชายหนุ่มอายุไม่ถึงร้อยปีที่บรรลุถึงขอบเขตยอดเซียนอมตะแล้ว แถมยังมีอุปกรณ์อมตะระดับราชาในครอบครองไร้ภูมิหลังความเป็นมาอันใด ให้ตีมันจนตัวแตกตายมันก็ไม่เชื่อ!
“อายุไม่ถึงร้อยปี แถมยังครอบครองอุปกรณ์อมตะระดับราชา?”
ได้ยินคำพูดของฮ่องเต้ฝูชิว หญิงงามสะโอดสะองค์ หรือสนมหลันก็อดไม่ได้ที่จะบังเกิดความประหลาดใจ ขณะเดียวกันนางก็ละสายตาออกจากร่างหวงเจียหลง และมองไปยังคู่ต่อสู้ของหวงเจียหลงโดยไม่รู้ตัว
“นี่…”
ทว่ามองไปปราดเดียว ลูกตาของสนมหลันก็หดเล็กลงทันใด!
นั่นเพราะนางจดจำใบหน้านั่นได้!
หากจะว่าไปแล้ว นางก็พึ่งเห็นใบหน้านี้มาหยกๆเมื่อเช้า!!
และยังได้เห็นใบหน้านี้ เพราะพี่ชายคนโตของนางได้ใช้วิชาต้องห้ามของตระกูล…
แม้ตระกูลของนางจะไม่ใช่ตระกูลใหญ่อันใดในประเทศฝูชิว หากแต่ในตระกูลก็มีวิชาต้องห้ามหนึ่งที่สืบทอดต่อกันมาเรียกว่า ย้อนรอยโลหิต ซึ่งในยามปกติแล้วแทบจะไม่มีใครใช้วิชาต้องห้ามดังกล่าวเลย…
เพราะวิชาต้องห้ามย้อนรอยโลหิตนั้น ถึงจะสามารถย้อนไปดูร่องรอยลมหายใจสุดท้ายของสายเลือดที่ใกล้ชิดกับตัวได้…
สายเลือดที่ใกล้ชิดที่ว่า ก็คือบิดามารดาและลูกของตัวเอง!
และหากสายเลือดที่ใกล้ชิดนั้นบังเอิญตกตายในเวลาไล่เลี่ยกัน วาระสุดท้ายที่จะเห็นจากวิชาลับต้องห้ามย้อนรอยโลหิต ก็จะเป็นของคนที่สิ้นลมหายใจเป็นคนสุดท้าย…
แต่ราคาที่ต้องจ่ายหลังใช้วิชาลับต้องห้ามย้อนรอยโลหิต ก็คือด่านพลังฝึกปรือของผู้ใช้! ตลอดชั่วชีวิตจะไร้วันก้าวหน้าได้อีก กล่าวได้ว่าราคาที่ต้องจ่ายออกไปก็คืออนาคตของตน!!
ในความทรงจำของสนมหลัน วิชาลับต้องห้ามย้อนรอยโลหิตนี้ ในบันทึกประวัติศาสตร์ของตระกูล พี่ใหญ่ของนางก็เป็นคนที่ 3 ที่ใช้มัน!
‘คนฆ่าฮ่าวเอ๋อ…เป็นมัน!?’
ใจสนมหลันสั่นสะท้านเต้นไปไม่เป็นจังหวะ ขณะเดียวกันนางก็รีบสะบัดมือเรียกยันต์อมตะสื่อสารออกมาใช้งาน จนตัวยันต์อมตะสื่อสารกลับกลายเป็นลำแสงสายหนึ่งพุ่งวาบตัดฟ้าหายลับ บึ่งตรงไปหาพี่ใหญ่ของนางเร็วรี่!
นางต้องการให้พี่ใหญ่ของนางมายืนยันด้วยตัวเอง!
เพราะในใจนางบังเกิดคำถามขึ้นมาข้อหนึ่ง…
ในเมื่อชายหนุ่มชุดม่วงผู้นี้สามารถเข้าร่วมการประลองสวรรค์ใต้ได้ หมายความว่าคนย่อมมีด่านพลังฝึกปรืออยู่ในขอบเขตยอดเซียนอมตะแน่นอน เช่นนั้นถึงจะเข่นฆ่าหลานชายนางได้ แต่อีกฝ่ายจะมีพลังสามารถมากพอเข่นฆ่าผู้ติดตามหลานชายนางที่เป็นขุนนางอมตะ 3 ศักดิ์ได้ในเวลาอันสั้นได้อย่างไร?
‘ผู้ติดตามฮ่าวเอ๋อ อาจโดนคนที่ติดตามมันมาฆ่าทิ้ง…’
พอฉุกคิดถึงจุดนี้ ความสงสัยในใจของสนมหลันก็หายไป
เนื่องจากฮ่องเต้ฝูชิวเองก็ทุ่มความสนใจให้กับฉากการประลองที่กำลังจะอุบัติขึ้นได้ทุกเมื่อเบื้องหน้า จึงไม่ทันพบเห็นความเคลื่อนไหวดังกล่าวของสนมหลัน
และสนมหลันก็ไม่ได้เผยอาการผิดแปลกอะไรมากมาย เพียงระงับโทสะในใจเอาไว้ เฝ้ารอให้พี่ใหญ่ของนางมายืนยันให้แน่ชัดเสียก่อน
“ข้าอยากชมดูพลังฝีมือเจ้านัก ว่าเจ้าอาศัยอันใดถึงได้กล้ากล่าววาจาคำโตเช่นนั้น!”
ขณะเดียวกันนั้นเอง กลางอากาศ ณ สังเวียนที่หวงเจียหลงเผชิญหน้ากับต้วนหลิงเทียนอยู่ หวงเจียหลงก็มองจ้องไปที่ต้วนหลิงเทียนพลางกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย จากนั้นคนก็แปรเปลี่ยนไปคล้ายอัสนีสายหนึ่ง ฟาดผ่าไปทางต้วนหลิงเทียน!
วู้ม! วู้ม! วู้ม!!
…
ร่างหวงเจียหลงที่พุ่งไปปานอัสนีฟาด พลังเซียนอมตะต้นกำเนิดทั่วร่างที่ปะทุออกมาปานเพลิงไฟ ก็เริ่มแปรเปลี่ยนกลับกลายเป็นมวลแสงสีทอง มองไปคล้ายมังกรทองตัวเขื่องเลื้อยลดขนดรอบกาย พุ่งทะยานติดตามไปอย่างเกรี้ยวกราด!
ขณะเดียวกันหอกเมฆาอัคคี 7 ฉื่อในมือ ก็เสือกแทงทะลวงออกไปตรงๆด้วยความเร็วปานสายฟ้าฟาด เล็งจี้ไปยังกลางอกของต้วนหลิงเทียน!
รอบหอกยาว 7 ฉื่อของมันก็ปรากฏมวลพลังดั่งมังกรทองม้วนพันไปทั่วตัวหอกเช่นกัน!
นอกจากนั้นบริเวณปลายหอก ยังปรากฏเกลียวอัสนีสีแดงแล่นวาบแปลบปลาบแลดูน่ากลัวเหลือเกิน!
เผชิญหน้ากับคู่ต่อสู้ที่สามารถหยิบควักอุปกรณ์อมตะระดับราชาออกมาได้ หวงเจียหลงก็ไม่คิดออมรั้งยั้งมืออันใด กระบวนท่าแรกที่จู่โจมออก ยังใช้ออกด้วยพลังสุดตัว!
ดั่งคำกล่าว สิงโตจับกระต่ายยังทุ่มกำลังทั้งหมด! มันไหนเลยจะหาญกล้าประมาทอีกฝ่ายเพียงเพราะอีกฝ่ายมีอายุแค่ร้อยปี? ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่อีกฝ่ายหยิบควักอุปกรณ์อมตะระดับราชาออกมาได้แบบนี้!
ที่สำคัญฟังจากวาจาอหังการของอีกฝ่ายก่อนหน้า เห็นได้ชัดว่าผู้อื่นนั้นเปี่ยมล้นไปด้วยความมั่นใจในตัวเองถึงขีดสุด!
“ข้าบอกว่าจะต่อให้เจ้า 2 กระบวนท่า ก็คือข้าจะปล่อยให้เจ้าป้อนกระบวนท่ามา 2 กระบวน…”
“หาก 2 กระบวนท่าของเจ้าไม่อาจทำลายการป้องกันของข้าได้ ข้าจึงจะลงมือ…และหากว่าหนึ่งกระบวนท่าของข้า ไม่อาจเอาชนะเจ้าได้ ข้าจะเป็นฝ่ายยอมรับความพ่ายแพ้ทันที”
เผชิญหน้ากับการโจนทะยานเสือกหอกทะลวงแทงเข้ามาด้วยสภาวะพลังเหี้ยมหาญดุดันของหวงเจียหลง ต้วนหลิงเทียนยังแลดูไม่นำพาอะไร มือสะบัดเบาๆ กางร่มในมือ พลางกล่าวออกด้วยน้ำเสียงเฉยเมย
สิ้นคำกล่าว ทั่วร่างต้วนหลิงเทียนก็ปรากฏพลังเซียนอมตะต้นกำเนิดขอบเขตยอดเซียนอมตะขั้นสูงสุดปะทุระเบิดออกมาปานเพลิงไฟ จากนั้นก็เริ่มแปรเปลี่ยนกลับกลายเป็นเงาร่างพุทธอค์สีทองตัวเขื่อง!
พร้อมกันกับที่เงาร่างพุทธองค์สีทองตัวเขื่องก่อเกิด ยังคล้ายมีมวลพลังสีม่วงขุมหนึ่งแผ่กำจายปกคลุมไปทั่วเรือนกาย!
แสงพลังสีทองพร้อมด้วยแสงพลังสีม่วงที่สาดส่องออกมา แลดูผสานเข้ากันได้อย่างลงตัว ก่อเกิดเป็นแสงพลังที่งดงามตระการตา น่าดูพิกล!