War sovereign Soaring The Heavens - ตอนที่ 2947
WSST ตอนที่ 2,947 : โอสถเฉียนจิน
“การตายของหลี่เวยล้วนแล้วแต่เป็นผลจากการกระทำของตัวมันทั้งสิ้น…เช่นนั้นเรื่องราวครั้งนี้ก็ให้ถือว่าจบสิ้นลงแต่เพียงเท่านี้เถอะ”
หูหลินอี้ประกาศคำตัดสินออกมาเสียงดังฟังชัด เป็นอันว่าเรื่องราวได้ยุติลงแล้ว
“ฝ่าบาททรงพระปรีชายิ่ง!”
หวงเจียหลงยกมือขึ้นประสานพลางกล่าวด้วยรอยยิ้ม ต้วนหลิงเทียนก็ยกมือขึ้นมาป้องประสานให้หูหลินอี้คราหนึ่งก่อนจะจากไป
หลังจากที่พวกต้วนหลิงเทียนจากไปหมดแล้ว หูหลินอี้ก็หันไปมองสนมหลันที่กำลังร้องห่มร้องไห้ปานใจจะขาดข้างร่างหลี่เวย พลางกล่าวออกด้วยน้ำเสียงทอดถอน “สนมรักของข้า คนตายมิอาจฟื้นคืน…เจ้าระงับความเศร้าโศกเถอะ”
ได้ยินวาจาปลอบใจดังกล่าวของหูหลินอี้ สนมหลันก็ชะงักไปเล็กน้อย จากนั้นนางก็ก้มหน้าลง หากทว่าบนใบหน้ากลับปรากฏความเยียบเย็นประหนึ่งมีชั้นน้ำแข็งเคลือบ
ถึงแม้นางจะรู้แต่แรกแล้วว่าผลไม่พ้นผลต้องออกมาอีหร็อบนี้ แต่อย่างไรก็ตามพอได้ฟังวาจาตัดสินจากปากของชายที่นางร่วมเตียงด้วยทุกคืน หัวใจของนางยังอดไม่ได้ที่จะรู้สึกเหน็บหนาวขึ้นมา
“ฝ่าบาท หม่อมฉันขอกลับบ้านไปไว้ทุกข์สักพักนะเพคะ…หม่อมฉันคิดจัดพิธีศพให้พี่ใหญ่ด้วยตัวเอง…”
หลังสูดลมหายใจเข้าลึกๆ สนมหลันที่ก้มหน้าอยู่ก็เงยหน้าขึ้นมากล่าวคำกับฮ่องเต้ฝูชิวด้วยใบหน้าชวนให้เวทนาจับใจ ความเย็นชาใดๆสาบสูญไปหมดสิ้น
“ตามใจเจ้า”
หูหลินอี้พยักหน้าเห็นด้วย
อย่างไรก็ตามหลังจากที่สนมหลันนำศพของหลี่เวยจากไปแล้ว ฮ่องเต้ฝูชิวที่นั่งเงียบอยู่บนบัลลังก์มังกรสักพัก อยู่ๆก็เอ่ยคำออกมาเสียงเรียบ
“เฮยเฟิง”
ขณะเอ่ยคำเสียงเรียบฮ่องเต้ฝูชิวยังมองไปยังโถงพระราชวังด้านล่างที่ว่างเปล่า ทำราวกับตรงนั้นมีใครอยู่
“ฝ่าบาท”
ท่าแทบจะทันทีที่หูหลินอี้กล่าวจบคำ ร่างๆหนึ่งที่ทำราวกับจะผุดออกมาจากความว่างเปล่า ก็ปรากฏขึ้นในโถง ถวายบังคมหูหลินอี้ด้วยท่าทีเคารพ
เป็นชายหนุ่มผู้หนึ่งมาในชุดสีดำสนิท สีหน้าช่างเยียบเย็นแววตาแลดูว่างเปล่าคล้ายคนไร้วิญญาณ
“หลังจากสนมหลันฝังศพพี่ใหญ่ของนางแล้ว…เจ้าก็ส่งนางไปตามทางเถอะ”
กล่าวจบหูหลินอี้สูดหายใจเข้าลึกๆพลางระบายออกมายืดยาว คล้ายมันพึ่งได้ตัดสินใจครั้งยิ่งใหญ่ไป
“ฝ่าบาท…พระองค์…”
ชายหนุ่มใบหน้าเย็นชาสายตาว่างเปล่า บัดนี้ในลูกตาว่างเปล่านั่นกลับฉายสีสันขึ้นมาเล็กน้อย
“สนมหลันไหนเลยจะเป็นคนที่ยอมให้เรื่องราวมันจบลงง่ายๆเช่นนี้…หากที่ตายเป็นแค่หลานชายนาง ตัวนางย่อมไม่คิดวุ่นวายอันใดอีก ทว่านี่เป็นพี่ใหญ่ที่เลี้ยงดูส่งเสริมนางจนมีวันนี้ได้ เช่นนั้นแม้เมื่อครู่พวกเราอาจเห็นว่าคล้ายนางคิดจะปล่อยให้เรื่องมันจบลงเพียงเท่านี้ แต่เชื่อข้าเถอะ อย่างดีนางก็อาจจะอยู่เงียบๆสักพัก ทว่าหากนางสบโอกาสเหมาะเมื่อไหร่ นางต้องลงมือทันทีแน่…”
สองตาหูหลินอี้ฉายประกายเรืองวาบ กล่าวออกเสียงทุ้ม “เพื่อมิให้นางไปล่วงเกินต้วนหลิงเทียนจนเกิดเรื่องอะไรขึ้น ข้าทำได้แค่ช่วยให้นางไปพบพี่ใหญ่ของนาง…”
“หากให้เทียบกับผลประโยชน์ที่จักได้รับจาก 3 นิกาย 2 ตระกูลแล้ว…สนมเฟยยังไม่คู่ควรให้กล่าวถึง!”
กล่าวถึงท้ายประโยค เสียงของหูหลินอี้ยังเยียบเย็นเหน็บหนาวเสียดกระดูกนัก!
“กระหม่อมทราบแล้ว ฝ่าบาท”
ชายหนุ่มที่แลดูน่ากลัวถอยไปก้าวหนึ่ง จากนั้นคนก็เลือนหายไปในความว่างเปล่าอีกครั้ง มาอย่างไรก็กลับไปอย่างนั้น…
ส่วนอีกด้าน
ไม่นานหลังจากพวกต้วนหลิงเทียนกลับออกมาจากโถงพระราชวังหลวง ชายชราที่อยู่ข้างๆหวงเจียหลง ขุนนางอมตะ 10 ทิศ ซูเฟิง ไม่อาจทนได้ไหวสืบไป มันหันมองไปยังต้วนหลิงเทียน พลางเอ่ยถามออกมาเสียงอ่อน “คุณชายต้วน…มิทราบว่าให้เราผู้เฒ่าได้ชมดูหินประหลาดที่หูเลี่ยมอบให้ท่านสักคราได้หรือไม่?”
พอกล่าวจบคำ คล้ายซูเฟิงก็ตระหนักได้ว่านี่มันไม่ค่อยเหมาะสมอยู่บ้าง จึงกล่าวเสริมไปทันที “แน่นอนว่าหากคุณชายต้วนมิสะดวกใจ ก็ช่างเถอะ”
“ไม่มีอะไรไม่สะดวก”
ต้วนหลิงเทียนคลี่ยิ้มบางๆราวกับไม่ได้คิดอะไรมากมาย จากนั้นก็เรียกหินที่ได้จากหูเลี่ย ซึ่งที่แท้แล้วเป็นทองเทพสุดลี้ลับขั้นที่ 1 ออกมายื่นให้ซูเฟิง
เป็นธรรมดาว่าเรื่องที่มันเป็นทองเทพสุดลี้ลับขั้นที่ 1 ก็มีแต่ต้วนหลิงเทียนเท่านั้นที่รู้
ซูเฟิงยื่นมือไปรับหินมาถือไว้ จากนั้นก็ลองเร่งเร้าพลังส่วนหนึ่งหมายบีบทำลายหินดู หากแต่หินในมือกลับไม่มีความเปลี่ยนแปลงใดๆ
สุดท้ายมันก็ค่อยๆเพิ่มแรงและกำลังที่ใช้บีบหินดู ทว่าหลังจากใช้พลังทั้งหมดก็แล้ว แต่หินดังกล่าวก็ไม่สะเทือนแม้แต่น้อย ไร้ซึ่งร่องรอยบุบสลาย กลับเป็นมือเหี่ยวๆของมันที่เริ่มปวดแปลบขึ้นมา!
อีกทั้งหลังพยายามลองแผ่สำนึกเทวะไปตรวจสอบดู มันก็ไม่อาจค้นพบความวิเศษใดๆของหินก้อนนี้ได้เลย
“ช่างเป็นหินประหลาดโดยแท้”
สุดท้ายซูเฟิงก็ส่ายหัวไปมาอย่างจนปัญญา ค่อยยื่นส่งหินคืนให้ต้วนหลิงเทียน
“ดูเหมือนว่าหูเลี่ยผู้นั้นจะไม่ได้โกหกจริงๆ กระทั่งตัวตนขอบเขตขุนนางอมตะ 10 ทิศยังไม่อาจสร้างได้แม้แต่รอยขีดข่วน”
ต้วนหลิงเทียนยิ้มบางๆ พลางโยนหินส่งๆเก็บเข้าแหวนพื้นที่ไป
แต่ต้นจนจบเขาไม่ได้กลัวซูเฟิงจะล่วงรู้ถึงความสำคัญของหินก้อนนี้เลย
ล้อกันเล่นหรือไร
เดิมทีทองเทพสุดลี้ลับขั้นแรกนั้น กระทั่งเซี่ยเจี๋ย จากดินแดนแห่งทวยเทพยังทำราวกับไม่รู้จักด้วยซ้ำว่ามันคืออะไร และนั่นก็คือตัวตนที่อยู่เหนือกว่าตัวตนใดๆในระนาบเทวโลกทั้งมวล
ซูเฟิงที่เป็นเพียงขุนนางอมตะ 10 ทิศ จะไปรู้จักทองเทพสุดลี้ลับ กระทั่งค้นพบความไม่ธรรมดาของมันได้อย่างไร…
นอกจากนี้เขายังมีทองเทพสุดลี้ลับขั้นที่ 2 และเพลิงเทพโกลาหลขั้นที่ 3 อยู่กับตัว เขาจึงได้รับรู้ข้อมูลบางอย่างมา
มีเพียงเทพทั้ง 5 ธาตุขั้นที่ 2 ขึ้นไปเท่านั้นถึงจะบังเกิดสำนึกสติ และแจ้งให้เจ้าของทราบถึงการดำรงอยู่ของธาตุเทพทั้ง 5 ขั้น 1
กล่าวได้ว่าคนส่วนใหญ่สามารถจำแนกได้ว่าสิ่งนี้คือธาตุเทพขั้นแรกได้ ก็เพราะถือครองธาตุเทพขั้นที่ 2 แล้วเท่านั้น
และเป็นธรรมดาว่าสำหรับต้วนหลิงเทียนที่ได้รับทองเทพสุดลั้บมาตั้งแต่เป็นขั้นที่ 1 หากเขาสามารถยยกระดับมันให้พัฒนากลายเป็นขั้นที่ 3 ได้ เขาย่อมคุ้นชินกับกลิ่นอายเฉพาะของมัน ครานี้ต่อให้เขาบังเอิญไปพบเจอทองเทพสุดลี้ลับขั้นที่ 4 ต่อให้ไม่มีใครแจ้งเตือน เขาก็น่าจะพอแยกได้ออกแล้ว สำหรับขั้นที่ 1 เองกล่าวไปเขาก็รู้สึกคุ้นๆแล้วเหมือนกัน
อย่างไรก็ตาม หากจะยืนยันให้แน่ชัดจริงๆ ก็ต้องอาศัยคำยืนยันจากธาตุเทพขั้นที่ 2 ขึ้นไปอยู่ดี
เดินไปเรื่อยเปื่อยไม่ทันไร หวงเจียหลงกับซูเฟิงก็เดินมาส่งต้วนหลิงเทียนถึงตำหนักจวี้หยวนแล้ว และหลิวก่วงหลินที่กลับมาก่อนตอนที่ทั้ง 3 ไปเข้าเฝ้าฮ่องเต้ฝูชิว ก็ได้มายืนรอต้วนหลิงเทียนที่หน้าประตูเรียบร้อย
“น้องต้วน ผู้ติดตามท่านแลดูภักดีกับท่านจริงๆ”
เมื่อเห็นหลิวก่วงหลินมายืนรอคอยอยู่หน้าประตู หวงเจียหลงอดไม่ได้ที่จะเลิกคิ้วขึ้น ค่อยหันไปเอ่ยกับต้วนหลิงเทียน
ต้วนหลิงเทียนเพียงยิ้มรับไม่พูดอะไร
หลิวก่วงหลินเป็นคนที่เขาเลือกเอง ย่อมไม่เลวเป็นธรรมดา
“เจ้าเมืองน้อย ในเมื่อมาแล้วก็เข้าไปนั่งพักจิบชาสักถ้วยเถอะ”
เมื่อเดินมาถึงหน้าประตู ต้วนหลิงเทียนก็เชิญหวงเจียหลงอย่างมีมารยาท หากแต่หวงเจียหลงก็ปฏิเสธอย่างสุภาพ “น้องต้วน นี่ก็มืดค่ำแล้ว ข้าไม่รบกวนท่านดีกว่า…ไว้ค่อยพบกันใหม่”
พอกล่าวจบคำ หวงเจียหลงก็ประสานมืออำลาเล็กน้อย ก่อนจะพาซูเฟิงเดินจากไป
ต้วนหลิงเทียนยังมองส่งจนแผ่นหลังทั้งคู่หายลับไปกับความมืด ค่อยเดินกลับเข้าไปในบ้านลานที่พัก หลิวก่วงหลินเองก็เดินติดตามมาดั่งเงา
“ก่วงหลิน…เจ้าคิดว่าหวงเจียหลง เป็นอย่างไร?”
หลังเดินเข้ามาในลานแล้ว ต้วนหลิงเทียนก็ไปนั่งลงที่โต๊ะหินอ่อนในลาน พลางเอ่ยยถามหวงก่วงหลิน
“นายท่าน ในสายตาข้าเจ้าเมืองน้อยหวงเจียหลงผู้นี้ ถึงแม้จะเข้าใจผิดคิดว่าท่านมีภูมิหลังความเป็นมายิ่งใหญ่ และได้รับการคุ้มครองจากยอดฝืมือ…ทว่าเท่าที่ข้าเห็นมันมิได้เข้าหานายท่านเพราะมีจุดประสงค์ร้ายอันใด แต่สมควรเป็นเพราะความไม่ธรรมดาของตัวนายท่านเองต่างหากที่ดึงดูดมันให้เข้าหา…”
ได้ยินคำถามไถ่ของต้วนหลิงเทียน หลิวก่วงหลินก็เอ่ยความคิดของตัวเองออกมา
“ความไม่ธรรมดาของข้าดึงดูดมันเข้ามา?”
ต้วนหลิงเทียนหยีตามองจ้องหลิวก่วงหลินเล็กน้อย ค่อยยิ้มกล่าว “หลิวก่วงหลิน ไม่ยักรู้ว่าเจ้าจะหาโอกาสกล่าวคำเยินยอข้าได้อย่างแนบเนียนขนาดนี้…”
“อย่างไรก็ตาม สมควรเป็นอย่างที่เจ้าพูดจริงๆ หวงเจียหลงผู้นี้ที่เข้ามาตีสนิทกับข้า ไม่น่าจะมีจุดประสงค์ร้ายใดๆ แต่สมควรชื่นชมความสามารถของข้ามากกว่า”
หลังผ่านมา 2 ชาติภพ ยังมีคนแบบไหนที่ต้วนหลิงเทียนไม่เคยเห็น?
ยิ่งในโลกเก่าที่ผู้คนมีชีวิตแสนสั้นและทำทุกทางเพื่อความสำเร็จ เขาย่อมเจอคนชั่วมาแทบทุกประเภท ที่พลาดก็มีแค่ครั้งเดียวเท่านั้น ที่สำคัญญหากไม่ใช่เพราะอดีตนายหน้าผู้นั้นเคยช่วยชีวิตเขาและใช้เวลานับสิบปีให้เขาตายใจ ไหนเลยเขาจะพลาดท่าเสียทีอีกฝ่ายได้
เช่นนั้นหลังจากที่คลุกคลีกับหวงเจียหลงมาตลอดทั้งวัน เขาจึงมองออกทันทีว่าหวงเจียหลงนับเป็นคนที่เปิดเผยจริงใจผู้หนึ่ง คู่ควรให้ผูกมิตรด้วย
เป็นธรรมดาว่าหากจะให้พูดว่าหวงเจียหลงไร้เจตนาใดแอบแฝงเลยก็คงไม่ใช่…
เพราะพิจารณาจากการจัดการเรื่องราวของหลี่เวยในวันนี้ ความนิ่งสงบตัดสินเรื่องราวได้เป็นขั้นตอนของหวงเจียหลงก็เผยให้เห็นว่าหวงเจียหลงไม่ใช่คนธรรมดาๆเช่นกัน
แต่นี่ก็เป็นธรรมดา
เจ้าเมืองตู้อวิ๋น หวงเฟยเหยี่ยนในฐานะที่เป็นถึงยอดฝีมืออันดับ 1 ใต้ขอบเขตราชาอมตะของประเทศฝูชิว ไหนเลยลูกชายที่มันภาคภูมิใจที่สุดจะเป็นคนธรรมดาได้
อย่างไรก็ตามตอนที่นั่งคุยกัน ต้วนหลิงเทียนก็เห็นความจริงใจของหวงเจียหลงชัดเจน
อีกฝ่ายน่าจะคิดเป็นสหายกับเขาจริงๆ
‘ระยะทางพิสูจน์ม้า กาลเวลาพิสูจน์คน…หากมันคิดแค่อยากเป็นสหายกับข้าจริงๆ ข้าก็ไม่รังเกียจที่จะมีสหายเพิ่มอีกคน แต่หากมันมีจุดประสงค์อะไร ก็อย่าหวังว่าจะสำเร็จได้งง่ายๆ!’
สองตาต้วนหลิงเทียนทอประกายแหลมคมวาบหนึ่ง กล่าวในใจอย่างเงียบงัน
“ก่วงหลิน…”
ครู่ต่อมาต้วนหลิงเทียนก็หันไปมองหลิวก่วงหลินพลางออกปากว่า “หลังจากนี้เจ้าช่วยไปตระเวนตามร้านโอสถเพื่อหาซื้อวัตถุดิบสมุนไพรบางอย่างให้ข้าหน่อย…หากร้านในเมืองหลวงไม่มีขายแล้วจริงๆ ข้าค่อยหาทางอื่น”
จากนั้น ต้วนหลิงเทียนก็เริ่มเอ่ยรายชื่อวัตถุดิบสมุนไพรที่เขาต้องการออกมาให้หลิวก่วงหลินฟังทันที
ในฐานะที่เป็นขุนนางอมตะแล้ว หลิวก่วงหลินเพียงฟังรอบเดียวก็สามารถจดจำได้ง่ายดายๆ พอต้วนหลิงเทียนกล่าวจบ มันก็ลาจากไปดำเนินการทันที
“ตราบใดที่ข้าหลอมโอสถเฉียนจินได้สำเร็จ ข้าก็สามารถทะลวงถึงขอบเขตยอดเซียนอมตะขั้นสูงสุดได้ทันที!”
“หลังจากนั้นระหว่างรอให้ถึงเวลาเข้าร่วมแดนสรรค์ใต้โบราณ ก็คงสามารถปรับด่านพลังขอบเขตยอดเซียนอมตะขั้นสูงสุดให้มั่นคงได้พอดี”
“สุดท้ายแล้วการทะลวงด่านพลังโดยใช้โอสถ ก็ทำให้ด่านพลังไม่เสถียร จำต้องใช้เวลาปรับพลังทั้งควบแน่นพลังอยู่บ้าง”
ต้วนหลิงเทียนกล่าวพึมพำกับตัวเบาๆหลังหลิวก่วงหลินจากไปได้สักพัก
โอสถเฉียนจินนั้นเป็นโอสถอมตะระดับสูงที่ค่อนข้างพิเศษ และหลอมได้ยากเย็นกว่าโอสถหลัวเทียนหลายขุม กระทั่งต่อหน้าโอสถเฉียนจินแล้ว โอสถหลัวเทียนก็หลอมง่ายไม่ต่าอะไรจากเม็ดยาทั่วไป…
โอสถเฉียนจินนั้นเป็นโอสถอมตะระดับสูงที่เกือบจะอู่ในหมวดหมู่โอสถอมตะระดับสูงสุด มันมีไว้สำหรับตัวตนขอบเขตยอดเซียนอมตะโดยเฉพาะ เมื่อตัวตนขอบเขตยอดเซียนอมตะรับประทานลงไป ไม่ว่าด่านพลังอยู่ในขั้นใด ก็สามารถยกระดับขึ้นไปอีกขั้นได้โดยตรง
แต่แน่นอนว่าจำกัดอยู่แค่ยอดเซียนอมตะขั้นสูงสุดเท่านั้น
หากเป็นตัวตนขอบเขตยอดเซียนอมตะขั้นสูงสุดรับประทานโอสถเฉียนจิน จะไม่ได้ผลลัพธ์อันใด
ดังนั้นหากเป็นตัวตนขอบเขตยอดเซียนอมตะแล้ว เมื่อได้รับโอสถเฉียนจินมา ก็จะนิยมเก็บไว้ใช้หลังบรรลุถึงขอบเขตยอดเซียนอมตะขั้นสวรรค์แล้วเท่านั้น เพื่อที่จะทะลวงถึงขอบเขตยอดเซียนอมตะขั้นสูงสุดได้ทันที
ด้วยวิธีนี้โอสถจึงจะได้แสดงประสิทธิภาพสูงสุด และไม่เสียประโยชน์ไปเปล่าๆ
และเป็นเพราะพลังอำนาจที่ยิ่งใหญ่ของโอสถเฉียนจินนี้เอง ทำให้มันหาได้ยากยิ่ง อย่างน้อยๆตอนที่ต้วนหลิงเทียนอยู่ในพื้นที่ชายแดน เขาก็ไม่เคยได้ยินมาก่อนเลยว่ามีใครสามารถหลอมปรุงโอสถเฉียนจนินออกมาได้
อย่างไรก็ตามตำหรับสูตรหลอมของโอสถเฉียนจินนั้น ไม่ได้เป็นความลับอะไร กระทั่งยังมีขายในราคาที่ไม่ได้แพงแม้แต่น้อย
ส่วนเหตุผลที่ไฉนโอสถเฉียนจินถึงได้หายากหาเย็นนัก เป็นเพราะมันเป็นโอสถอมตะที่ต้องใช้ทักษะความสามารถในการหลอมสูงมาก ปรมาจารย์หลอมโอสถอมตะระดับสูงที่จะหลอมมันได้เรียกว่ามีแค่ 1 ใน 10,000 ก็ไม่เกินเลย
กระทั่งในบรรดาปรมาจารย์หลอมโอสถอมตะระดับขุนนาง ในร้อยคนเผลอๆอาจจะไม่มีแม้แต่คนเดียวที่สามารถหลอมโอสถเฉียนจินได้
มีเพียงแต่ปรมาจารย์หลอมโอสถอมตะที่อยู่เหนือระดับขุนนางขึ้นไปแล้วเท่านั้น ถึงจะกล้าพูดได้เต็มปากว่าสามารถหลอมโอสถเฉียนจินให้สำเร็จได้เต็มสิบส่วน
‘โอสถเฉียนจินนี่…ให้เป็นตระกูลราชวงศ์ของประเทศฝูชิวก็ไม่น่าจะมี…’
ต้วนหลิงเทียนลอบกล่าวในใจ