War sovereign Soaring The Heavens - ตอนที่ 3000
ตอนที่ 3,000 : สิบแต้ม วังจอมราชันอมตะ…
ในระนาบเทวโลกนั้น อุปกรณ์อมตะได้แบ่งออกเป็นสามหกเก้า หรือก็คือมีระดับชั้นที่แตกต่างกัน และแม้จะเป็นความต่างแค่ระดับเดียว แต่พลังอานุภาพก็แตกต่างกันราวคนละโลก
ดุจเดียวกับพลังของอุปกรณ์อมตะระดับราชา มันด้อยอานุภาพกว่าอุปกรณ์อมตะระดับจอมราชันมาก
ช่องว่างความต่างระหว่างทั้งสอง ยังมากกว่าความแตกต่างระหว่างอุปกรณ์อมตะระดับขุนนางกับอุปกรณ์อมตะระดับบราชาเสียอีก!
“จะยังไงก็แล้วแต่ เจ้าสุมาฉุนผู้นี้ช่างไวเป็นกรดจริงๆ…หากไม่เพราะข้าเข้าใจความลึกซึ้งพื้นที่โน้มถ่วงถึงระดับหนึ่งและได้รับความช่วยเหลือจากท่านแล้วล่ะก็ น่ากลัวว่าต่อให้ใช้อุปกรณ์อมตะระดับจอมราชันก็คงยากจะฆ่ามันได้”
ต้วนหลิงเทียนพูดกัปฐพีเทพแรกกำเนิดฟ้าดินในร่าง
ตั้งแต่วินาทีแรกที่เขานำอุปกรณ์อมตะระดับจอมราชันอมตะออกมาใช้ สุมาฉุนก็เสมือนถูกกำหนดให้ต้องตายโดยไม่ต้องสงสัยเลย! เพราะถ้าหากเขาปล่อยให้มันรอดชีวิตไปโพทนาเรื่องที่เขามีอุปกรณ์อมตะจอมราชันในมือได้ เขาก็ถึงคราวฉิบหายแน่แท้!!
ถึงตอนนั้นเว้นเสียแต่เขาจะยอมส่งมอบอุปกรณ์อมตะระดับจอมราชันออกไปโดยดี เกรงว่าคงอยู่ยากแล้ว!
แต่เป็นธรรมดาว่าก่อนที่เขาจะควักอุปกรณ์อมตะจอมราชันออกมาใช้ เป็นปฐพีเทพแรกกำเนิดฟ้าดินได้ดีดลูกคิดรางแก้วมาดีแล้ว และมั่นใจว่ามันจะช่วยให้เขาฆ่าสุมาฉุนได้แน่ๆ
“หึ!”
ได้ยินคำพูดของต้วนหลิงเทียน ปฐพีเทพแรกกำเนิดฟ้าดินทำเสียงคล้ายพ่นลมออกจมูก ค่อยยกล่าวออกเสียงเย็น “เจ้าหนูเอย หากเจ้าสามารถเข้า
ใจความลึกซึ้งพื้นที่โน้มถ่วงได้หมดจด วันนี้ต่อให้เจ้าไม่ใช้อุปกรณ์อมตะจอมราชันนั่น เจ้าก็มีพลังมากพอจะฆ่ามันได้ถมเถ!”
“ข้าขอบอกเจ้าไว้เลย พื้นที่โน้มถ่วงของกฏแห่งดินนั้น เสมือนตัวซวยของพวกสายความเร็วโดยแท้ เรียกว่าเป็นโคตรดาวข่มของพวกมันเลยก็ว่าได้! หากเจ้าแตกฉานอย่างที่เจ้านั่นมันหลงเข้าใจไปจริงๆ เจ้าย่อมใช้คุกศิลาทมิฬขังเจ้าสุมาฉุนนั่นได้ง่ายๆ”
“ฟางเส้นสุดท้ายที่คอยช่วยชีวิตสุมาฉุนก็คือความเร็ว แต่พอมันถูกขังในคุกศิลาทมิฬยังจะต่างอะไรจากตะพาบในไห?”
“ถึงตอนนั้นเจ้าไม่ต้องใช้อุปกรณ์อมตะจอมราชันอะไรให้วุ่นวาย จะบีบมันก็ตายจะคลายมันก็รอด ดั่งลูกไก่ในกำมือ!”
ปฐพีเทพแรกกำเนิดฟ้าดินกล่าวค่อนแคะ
“ก็ใช่…”
ได้ยินคำพูดของปฐพีเทพแรกกำเนิดฟ้าดิน สองตาต้วนหลิงเทียนก็ฉายแสงจ้า มากล้นไปด้วยความปรารถนาประการหนึ่ง
วรยุทธ์อมตะระดับราชาธาตุดินอยย่าง คุกศิลาทมิฬ นั้นประกอบไปด้วยความลึกซึ้งของกฏแห่งดิน 2 ประการ หนึ่งคือความหมายแห่งดินที่เขาเข้าใจแล้ว ส่วนอีกหนึ่งก็คือความลึกซึ้งของพื้นที่โน้มถ่วง ที่แม้เขาจะพอเข้าใจบ้างแล้ว แต่ยังไม่ถึงขั้นแตกฉาน
แน่นอนว่าการเข้าใจจนแตกฉานที่ว่า หมายถึงเขาเข้าใจความลึกซึ้งพื้นที่โน้มถ่วงถึงขั้นตอนความสำเร็จเบื้องต้น!
เพราะวรยุทธ์อมตะระดับราชา มันทำให้เขามีขีดจำกัดเพียงเท่านี้
แต่ถึงจะทำได้แค่นั้น ขอเพียงความลึกซึ้งพื้นที่โน้มถ่วงเขาบรรลุความสำเร็จขั้นตอนเบื้องต้น เขาก็จะใช้คุกศิลาทมิฬได้เต็มประสิทธิภาพ สามารถกักขังสุมาฉุนไว้ได้ง่ายดาย เสมือนเชิญท่านลงโอ่ง…
เมื่อสุมาฉุนกลายเป็นตะพาบในไหไปแล้ว อีกฝ่ายก็ได้แต่รอให้เขาเข่นฆ่าตามใจชอบเท่านั้น
เพราะท้ายที่สุดแล้วภายในคุกศิลาทมิฬ มันไม่อาจหนีไปไหนได้ แถมความเร็วที่เป็นจุดเด่นสูงสุดก็ไม่อาจใช้ออก
“นี่เจ้าหนู ว่าแต่เจ้าหนูดวงกุดนั่นมันมีคะแนนให้เจ้ากี่แต้มกันล่ะ?”
ปฐพีเทพแรกกำเนิดฟ้าดินเอ่ยถามออกมาด้วยความสงสัย “เจ้าหนูดวงกุดนั่นมันร้ายกาจไม่ใช่ย่อยเลย ท่าทางจะมีคะแนนไม่น้อยทีเดียว”
พอได้ยินคำถามของปฐพีเทพแรกกำเนิดฟ้าดิน ต้วนหลิงเทียนก็แผ่สำนึกเทวะลงไปยังป้ายหยกสะสมคะแนนของเขาทันที และในไม่ช้าเขาก็ได้รับทราบคะแนนที่เขามี
“11 แต้ม…หมายความว่าคะแนนในป้ายหยกสะสมคะแนนของเจ้านั่นกลับมีถึง 8 แต้ม!”
ต้วนหลิงเทียนกล่าวตอบปฐพีเทพแรกกำเนิดฟ้าดิน
“8 แต้มเหรอ…”
ปฐพีเทพแรกกำเนิดฟ้าดินกล่าวทวนคำเบาๆ จากนั้นก็นิ่งไปคล้านึกอะไรอยู่ “งานเข้าเจ้าแล้วไง พอเจ้าหนูดวงกุดนั่นตายไม่ใช่ว่าชื่อของมันในตารางจัดอันดับอะไรด้านนอกนั่นจะถูกลบหายไปรึไง…แล้วเกิดมีคนเห็นว่าอยู่ๆคะแนนเจ้าก็พุ่งพรวดเดียว พริบตาก็โดดขึ้นไปอยู่อันดับสูงๆ คนด้านนอกไม่รู้กันหมดเหรอว่าเจ้าเป็นคนฆ่ามัน?”
“ถึงคราวนี้หลังเจ้ารอดกลับออกไปได้เจ้าจะเข้าร่วมกับ 3 นิกาย 2 ตระกูลอะไรนั่น และได้รับความคุ้มครองในระดับหนึ่ง…แต่ความคุ้มครองที่ว่าก็ไม่อาจปกป้องดูแลเจ้าได้ตลอดเวลา ตระกูลสุมาอะไรที่ว่าต้องหาโอกาสล้างแค้นเจ้าจนได้ในสักวัน…”
“ดังนั้นเกิดคนของตระกูลสุมารู้ว่าเจ้าเป็นคนฆ่ามัน…เจ้าต้องกลายเป็นศัตรูตัวฉกาจของพวกมันแน่!”
ปฐพีเทพแรกกำเนิดฟ้าดินกล่าวออกมาด้วยความกังวล
“ท่านปฐพีเทพเรื่องนี้ขอท่านอย่าได้ห่วงเลย”
หลังได้ยินความวิตกกังวลของปฐพีเทพแรกกำเนิดฟ้าดิน ต้วนหลิงเทียนก็ไม่ได้แลดูเป็นทุกข์เป็นร้อนอะไร เพียงกล่าวอธิบายออกไปอย่างใจเย็น “ก่อนหน้าที่ท่านยังไม่ตื่น ด้านนอกมีบอกเอาไว้แล้วว่าภายในแดนสวรรค์ใต้โบราณระดับต่ำนั้น มีค่ายกลของจอมราชันสวรรค์ใต้ที่แฝงเร้นไปด้วยกฏของเวลาจัดตั้งเอาไว้…”
“และเท่าที่ข้าได้ฟังมา ค่ายกลที่แฝงเร้นไปด้วยกฏแห่งเวลาที่ว่า ทำให้เหล่าผู้ที่ตกตายในนี้ ไม่อาจกระตุ้นเตือนคนภายนอกได้ทันที เพราะกว่าลูกแก้ววิญญาณของพวกมันที่อยู่ด้านนอกจะแตกออก ก็มีทิ้งช่วงเวลาไปสักพักใหญ่ๆ”
“นี่เป็นมาตรการป้องกันไม่ให้คนภายนอกมองออกว่าใครลงมือฆ่าใครในนี้”
“จากจุดนี้บอกให้พวกเรารู้ว่าจอมราชันอมตะสวรรค์ใต้ที่จัดตั้งค่ายกลดังกล่าวขึ้น ได้คำนึงถึงเรื่องการล้างแค้นอะไรเทือกนี้เอาไว้แต่แรก…ดังนั้นเรื่องที่ท่านกังวลย่อมไม่มีทางเกิดขึ้นแน่นอน”
ต้วนหลิงเทียนกล่าว
แต่เป็นธรรมดาว่าทั้งหมด ต้วนหลิงเทียนก็คาดเดาไปจากข้อมูลที่ได้ฟังมาเท่านั้น
อย่างไรก็ตามแม้จะเป็นการคาดเดา แต่ต้วนหลิงเทียนที่อิงตามข้อมูลทั้งหมด เชื่อมั่นว่าเขาต้องเดาได้ถูกแน่นอน
“หือ?”
ในขณะที่ต้วนหลิงเทียนกำลังจะถอนรั้งสำนึกเทวะกลับออกมาจากป้ายหยกสะสมคะแนน เขาพลันสัมผัสได้ว่าอยู่ๆกลับปรากฏกลิ่นอายพลังลี้ลับขุมหนึ่งเริ่มแผ่ออกมาจากป้ายหยกสะสมคะแนนในมือเขา
และทันทีที่กลิ่นอายพลังลี้ลับดังกล่าวแผ่ออกมา มันก็ผสานเข้ากับสำนึกเทวะของเขาบางส่วน และเหมือนจะชี้นำสำนึกเทวะของเขาให้มุ่งหน้าไปทิศทางหนึ่ง
‘กลิ่นอายพลังประหลาดนี่มันอะไรกันนะ…เหมือนจะชักนำให้ข้าไปทางนั้น…’
ต้วนหลิงเทียนลอบกล่าวในใจด้วยความสงสัย
และในขณะที่ต้วนหลิงเทียนกำลังคิดไปด้วยความสงสัยนั้นเอง ป้ายหยกสะสมคะแนนในมือเขาก็เริ่มทอแสงสว่างจ้าออกมา
ขณะเดียวกันกับที่มีกลิ่นอายพลังลี้ลับเริ่มเอ่อล้นออกมาอีกรอบ ในหูต้วนหลิงเทียนก็ได้ยินเสียงหนึ่งดังขึ้นพอดิบพอดี
“ภายในแดนสวรรค์ใต้โบราณระดับต่ำ หากเจ้าได้รับคะแนนสะสมถึง 10 แต้มแล้ว…เจ้าจักถูกนำไปยัง ‘วังจอมราชันอมตะ’ ที่ตัวข้าสร้างทิ้งไว้ภายในแดนสวรรค์ใต้โบราณระดับต่ำแห่งนี้ทันที…”
หลังเสียงดังกล่าวพูดจบคำ มันก็เงียบหายไปโดยสมบูรณ์ราวกับไม่เคยดังขึ้นมาก่อน
“เสียงนี่มัน…หรือจะเป็นเสียงของจอมราชันอมตะสวรรค์ใต้ ที่สร้างแดนสวรรค์ใต้โบราณระดับต่ำทิ้งไว้?”
ต้วนหลิงเทียนคาดเดา
“วังจอมราชันอมตะ…หลังจากได้ครบ 10 แต้ม ถึงจะถูกนำไปงั้นเหรอ? เรื่องนี้ไม่เห็นมีใครเคยกล่าวเตือนไว้ก่อนเลยนี่นา?”
ต้วนหลิงเทียนย่อมรู้สึกงุนงงสงสัยเรื่องนี้อยู่บ้าง หรือนี่จะเป็นกฏอะไรบางอย่างของแดนสวรรค์ใต้โบราณระดับต่ำ?
แต่ต้วนหลิงเทียนก็รู้สึกว่าไม่น่าจะใช่
แต่ถ้ามันไม่ใช่กฏของแดนสวรรค์ใต้โบราณระดับต่ำ แล้วทำไมก่อนที่เขาจะเข้ามา เขาไม่เห็นเคยได้ยินเรื่องวังจอมราชันอมตะอะไรนี่มาก่อนเลย อีกทั้งไม่เห็นรู้ว่าหลังได้คะแนนสะสมครบ 10 แต้มเขาจะถูกนำไปยังวังจอมราชันอมตะที่ว่า
หลังจากครุ่นคิดไปสักพัก ต้วนหลิงเทียนก็ยังคิดไม่ออก สุดท้ายก็เลยลองถามปฐพีเทพแรกกำเนิดฟ้าดินดู
แน่นอนว่าต้วนหลิงเทียนก็แค่ถามไปส่งๆ ไม่ได้คาดหวังอะไร
ทว่าสิ่งที่ทำให้เขาต้องประหลาดใจก็คือ เหมือนปฐพีเทพแรกกำเนิดฟ้าดินจะล่วงรู้เสียอย่างนั้น แถมแลดูไม่ได้แปลกใจกับเรื่องนี้เลย “บางทีจอมราชันอมตะสวรรค์ใต้ที่ว่า ได้แฝงค่ายกลไว้อีกชุดที่จะมีอำนาจลบความทรงจำของผู้ที่เข้าไปในวังจอมราชันอมตะอะไรนั่น…ทำให้แม้จะมีคนเคยเข้าไปในวังจอมราชันอมตะที่ว่า แต่พอกลับออกไปก็จะจดจำเรื่องราวในวังจอมราชันอมตะไม่ได้”
“จอมราชันอมตะที่ทรงพลังบางคน จะจัดตั้งค่ายกลจำพวกนี้ได้ก็ไม่ถือว่าเป็นเรื่องแปลกอะไร…แน่นอนว่าทุกคนก็แค่ลืมประสบการณ์เฉพาะจุดเท่านั้น ส่วนอะไรก็ตามที่เจ้าได้รับมาจากการเข้าไปภายในวังจอมราชันอมตะ ถึงเจ้าจะลืมไปแล้วว่าได้มายังไง แต่มันก็ยังเป็นของเจ้าอยู่ดี”
ปฐพีเทพแรกกำเนิดฟ้าดินกล่าว
“หลังจากที่ข้าออกไป ข้าจะลืมว่าเคยได้อะไรในวังจอมราชันอมตะมางั้นเหรอ?”
ได้ยินคำพูดดังกล่าวของปฐพีเทพแรกกำเนิดฟ้าดิน ลูกตาต้วนหลิงเทียนหดเล็กลงโดยพลัน ยังสูดลมหายใจเข้าด้วยความหนาวเหน็บเฮือกหนึ่ง
เนื่องเพราะเขาฉุกคิดขึ้นได้ ว่าหวงเจียหลงได้เคยกล่าวอะไรทำนองนี้ไว้แล้ว
ในอดีตตอนที่แดนสวรรค์ใต้โบราณเปิดออก เหล่ายอดเซียนอมตะที่รอดกลับออกมา เหมือนจะสูญเสียความทรงจำไปบางส่วน และพบว่าอยู่ๆตัวเองก็ได้ครอบครองสิ่งของบางอย่างที่ไม่รู้ความเป็นมา
ราวกับสิ่งของเหล่านั้นอยู่ๆก็ผุดขึ้นมาจากความว่างเปล่า
กระทั่งบางคน หลังกลับออกมาก็พบว่าคะแนนสะสมขตัวเองเพิ่มขึ้นอย่างประหลาด โดยที่ไม่ทราบเลยว่าตัวเองได้คะแนนเหล่านั้นมาอย่างไร
“ดูเหมือนวังจอมราชันอมตะที่ว่า จะเกี่ยวข้องกับการสะสมแต้มให้ครบจริงๆ…ให้ตายเถอะ ถึงแม้ข้าจะรู้เรื่องนี้ก่อน แต่สุดท้ายก็ไม่มีวิธีป้องกันเรื่องนี้เลย ข้าไม่ชอบเลยหากตัวเองทำอะไรไปบ้างแต่ดันลืมมันทั้งหมด…”
ต้วนหลิงเทียนบ่น
“เจ้าอาจจะจำไม่ได้ก็จริง…แต่ก็ไม่ใช่ว่าข้าจะจำไม่ได้เหมือนเจ้าสักหน่อ ไม่ต้องห่วงหรอก…หลังเจ้าลืมเรื่องราวไปแล้ว พอออกไปแล้วข้าจะเล่าทั้งหมดให้เจ้าฟังอย่างละเอียดเอง”
ปฐพีเทพแรกกำเนิดฟ้าดินกล่าว
“เอาแบบนั้นก็ได้”
ต้วนหลิงเทียนพยักหน้า จากนั้นเขาก็เริ่มหันมองไปทางขวา
นั่นเพราะเขาสัมผัสได้ว่ากลิ่นอายพลังประหลาดที่มารวมผสานเข้ากับส่วนหนึ่งของสำนึกเทวะเขา มันกำลังชักนำให้เขาไปยังทิศทางดังกล่าว
“สมควรเป็นที่ตั้งวังจอมราชันอมตะ…มีแต่ต้องเก็บคะแนนสะสมให้ครบ 10 แต้มก่อนถึงจะล่วงรู้ทิศทางที่ตั้งมันงั้นเหรอ…”
ต้วนหลิงเทียนกล่าวพึมพำเบาๆ “ไม่รู้ป่านนี้จะมีคนไปถึงวังจอมราชันอมตะอะไรที่ว่าแล้วกี่คน…คนอื่นๆคงไม่เคว้งเหมือนข้าหรอกมั้งที่เดินไปทางไหนก็ไม่เจอใครตลอดเดือน? และหากเดาไม่ผิดที่นั่นสมคววรมีแต่ยอดฝีมือสินะ?”
หลังได้พบเจอกับสุมาฉุนและตระหนักได้ถึงพลังฝีมืออันร้ายกาจของอีกฝ่าย ต้วนหลิงเทียนก็ไม่กล้าดูเบายอดเซียนอมตะที่เข้ามาในแดนสวรรค์ใต้แห่งนี้แม้แต่น้อย
สุมาฉุนจะอย่างไรก็แค่คนของขุมกำลังระดับ 7 ขุมหนึ่งเท่านั้น
นอกจากมันแล้ว สมควรมีอัจฉริยะจากขุมกำลังระดับ 7 อีกไม่น้อย
และอัจฉริยะที่ขุมกำลังระดับ 7 คัดเลือกมาแล้ว ไหนเลยจะเป็นชนชั้นต่ำทรามได้ แต่ละคนต้องมีพลังฝีมือกล้าแข็งเป็นธรรมดา
ในบรรดาอัจฉริยะพวกนั้น น่าจะมีพวกที่พลังฝีมือไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าสุมาฉุนแน่นอน กระทั่งอาจจะมีคนที่เหนือกว่าสุมาฉุนอยู่ด้วยซ้ำ
ครู่ต่อมาต้วนหลิงเทียนก็เริ่มออกเดินทาง มุ่งหน้าไปตามการชี้นำ อันสมควรเป็นทิศทางที่ตั้งวังจอมราชันอมตะทันที
วังจอมราชันอมตะ เนื่องจากเป็นสถานที่ๆจอมราชันอมตะสวรรค์ใต้ตั้งใจทิ้งไว้ ต้องสมควรเป็นสถานที่ๆประเสริฐไม่น้อย
นอกจากนั้นมองจากเงื่อนไขที่จอมราชันอมตะสววรรค์ใต้กำหนดไว้ เขาก็รู้ได้เป็นธรรมดาว่าไม่ใช่ทุกคนจะได้ไปยังวังจอมราชันอมตะ! เพราะอย่างน้อยๆก็ต้องเป็นคนที่มีพลังฝีมือพอตัว สามารถเก็บสะสมคะแนนได้ครบ 10 แต้มเสียก่อน ถึงจะล่วงรู้ทิศทางงไปยังวังจอมราชันอมตะดังกล่าว!!
ดังนั้นในระหว่างงเร่งรุดเดินทาง ในใจต้วนหลิงเทียนก็บังเกิดความคาดหวังกับวังจอมราชันอมตะไม่น้อย
และในขณะที่ต้วนหลิงเทียนกำลังเดินทางตามการชี้นำของพลังลี้ลับจากป้ายหกสะสมคะแนนนั้นเอง…
บริเวณน่านฟ้าเหนือพื้นที่ใจกลางทะเลสาบอวิ๋นเยียน รายชื่อหนึ่งที่แต่เดิมรั้งอยู่ในอันดับที่ ‘6’ ก็หายไปจากตารางจัดอันดับอย่างกะทันหัน
และเมื่อชื่อดังกล่าวหายไป รายชื่อที่อยู่ในอันดับหลังจากนั้น ก็กระเถิบเลื่อนขึ้นไปอยย่างพร้อมเพรียง
สิ่งนี้ก่อให้เกิดความโกลาหลขึ้นทันที!
“ชื่อที่หายไป…ดูเหมือนจะเป็นสุมาฉุนใช่ไหม?”
“มิผิด! เดิมทีสุมาฉุนนั้นมีคะแนนสะสม 8 แต้มและรั้งอยู่ในอันดับที่ 6…แต่ตอนนี้ชื่อของมันหายไปแล้ว!!”
“อะไร!? สุมาฉุนตกตายไปแล้วงั้นเรอะ!?”
“สุมาฉุนผู้นั้นสามารถเก็บคะแนนได้ 8 แต้ม ก็มากพอจะบอกให้รู้ว่ามันมิใช่คนธรรมดา…แต่ตอนนี้กลับตายตกไปแล้วหรือ?”
“มิใช่คนธรรมดา? สหายท่านไม่รู้จักสุมาฉุนหรือ เจ้านั่นมันห่างไกลจากคำว่าคนธรรมดาหลายขุมเลยล่ะ! มันเป็นอัจฉริยะทีมีพรสวรรค์มากที่สุดในประวัติศาสตร์นับพันๆปีของตระกูลสุมา ที่เป็นขุมกำลังประเภทตระกูลระดับ 7!!”
“ช้าก่อน! สุมาฉุน…มิใช่ว่ามันเข้าใจความลึกซึ้ง ‘ลมกรด’ ของกฏแห่งสายลมด้วยรึไร? แต่คนเช่นมันกลับถูกผู้อื่นฆ่าตายไปเนี่ยนะ!?”