War sovereign Soaring The Heavens - ตอนที่ 3006
WSSTH ตอนที่ 3,006 : กฏแห่งเวลา
“หืม? การชี้นำหายไปแล้ว?”
ต้วนหลิงเทียนกับหวงเจียเชาที่เดินทางตามคำชี้นำของพลังลี้ลับมาด้วยกัน หลังเหินร่างมาถึงจุดๆหนึ่งตามการชี้นำ ในที่สุดก็จำต้องหยุดลงอย่างกะทันหันกลางหาว
นั่นเพราะเมื่อมาถึงจุดนี้ การชี้นำที่ว่าก็ได้หายไป
ทันใดนั้นต้วนหลิงเทียนกับหวงเจียเชาก็หันหน้ามามองสบตากันทันที ด้วยไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่
“หืม?”
และในขณะที่ต้วนหลิงเทียนกับหวงเจียเชาหันมามองหน้ากันนั้น ทั้งคู่ก็พบว่าป้ายหยกสะสมคะแนนที่พกติดตัว อยู่ๆก็เริ่มสั่นสะเทือนขึ้นมาอย่างไม่ทราบสาเหตุ
พริบตาต่อมา สุดที่ทั้งคู่จะทันได้ตั้งตัว ก็พบว่ามีพลังมหาศาลขุมหนึ่งได้อุบัติขึ้นจากความว่างเปล่าโดยรอบ!
พลังมหาศาลที่ว่ายังปกคลุมทั่วร่างทั้งคู่เอาไว้ในฉับพลัน จนร่างทั้งคู่ชะงักค้างไม่อาจกระดิกตัวได้เลย
‘พลังที่น่ากลัวอะไรกัน!?’
เมื่อถูกกพลังมหาศาลไม่ทราบที่มาสะกดกักร่างเอาไว้ ต้วนหลิงเทียนก็รู้สึกเสมือนสองตามืดบอด ไม่อาจแลเห็นหวงเจียเชาได้อีก นอกจากนั้นเขาไม่อาจแลเห็นได้กระทั่งทะเลทราบกว้างใหญ่ใต้ฝ่าเท้า!
ขณะเดียวกัน เขาก็พยายามเร่งเร้าพลังหมายดิ้นรนขัดขืนพลังประหลาดที่สะกดกักร่างเขาเอาไว้ตามสัญชาตญาณ อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าเขาจะพยายามเร่งเร้าพลังต้านทานเท่าไหร่ แต่พลังที่เขาพยายามแผ่พุ่งไปต่อต้านพลังประหลาดกลับสาบสูญไปไร้ร่องรอยปานหนึ่งหินจมสู่ห้วงสมุทร ไม่อาจก่อเกิดคลื่นลมใดๆ…
“เจ้าไม่ต้องดิ้นรนขัดขืดมันหรอก นี่คือพลังของจอมราชันอมตะ…หากข้าเดาไม่ผิด พลังนี่จะพาเจ้าไปยังสถานที่ๆเจ้าต้องไป”
เสียงเด็กปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมของปฐพีเทพแรกกำเนิดฟ้าดินพลันดังขึ้นในหูต้วนหลิงเทียนอย่างประจวบเหมาะ “อืม…ดูเหมือนจะเป็นพลังอาคมเคลื่อนย้ายบางอย่าง”
“พลังอาคมเคลื่อนย้าย?”
ได้ยินคำพูดของปฐพีเทพแรกกำเนิดฟ้าดิน ต้วนหลิงเทียนก็เลิกต่อต้านแข็งขืนพลังประหลาดทันที ขณะเดียวกันสองตาก็เริ่มลุกวาวสว่างขึ้น “ดูเหมือนมันจะเคลื่อนย้ายข้าไปวังจอมราชันอมตะอะไรนั่นเป็นแน่!”
ฉุกคิดได้ถึงจุดนี้ทั่วร่างต้วนหลิงเทียนก็ผ่อนคลายทันที
และหลังผ่านไปราวๆสิบลมหายใจ ต้วนหลิงเทียนแม้จะไม่อาจเห็นสิ่งใดนอกจากความมืด แต่เขาก็สัมผัสได้ว่าร่างเขาสมควรถูกเคลื่อนย้ายมาแล้ว ความรู้สึกยังเสมือนกำลังตกจากที่สูง!
จากนั้นไม่ทันไร ต้วนหลิงเทียนก็ตระหนักว่าความมืดเบื้องหน้าได้อันตรธานหายไป สองตากลับมาแลเห็นแสงสว่างอีกครั้ง!
พอมองไปรอบๆ ต้วนหลิงเทียนก็พบว่า บัดนี้ตัวเองได้มาอยู่ในห้องหับแห่งหนึ่ง และนอกจากเตียงศิลาแล้วก็ไม่มีอะไรอื่นอีกเลย
ในห้องหับเล็กๆนี่ยังไม่มีแม้แต่หน้าต่างด้วยซ้ำ จะมีก็แต่ประตูบานหนึ่ง ทว่าประตูบานดังกล่าวมีม่านแสงฉาบคลุมเอาไว้ เห็นได้ชัดว่าเป็นม่านพลังปิดกั้นบางอย่าง
“พี่เจียเชาไปไหนแล้ว!?”
หลัมองสำรวจไปทั่วห้องหับเล็กๆแล้ว ต้วนหลิงเทียนที่จำได้ว่าเมื่อครู่เขายังอยู่กับหวงเจียเชาแท้ๆ แต่ตอนนี้ในห้องหับเล็กๆนี่กลับไม่มีแม้แต่เงาของหวงเจียเชา!
“หรือ…พี่เจียเชาก็ถูกส่งไปยังห้องหับเล็กๆแบบนี้เหมือนข้า?”
ต้วนหลิงเทียนพึมพำออกมากับตัวเบาๆ
และเป็นดั่งที่ต้วนหลิงเทียนคาดเดาไว้ไม่มีผิด หวงเจียเชาก็พบเจอสถานการณ์แบบเดียวกับเขา ถูกส่งมายังห้องหับเล็กๆห้องหนึ่ง ที่แลดูเหมือนกันกับห้องเขาทุกประการ
และพอหวงเจียเชาพบว่าข้างกายไร้เงาต้วนหลิงเทียน มันก็คิดจะเปิดประตูที่มีอยู่เพียงบานเดียวออกไปตามหาต้วนหลิงเทียน
อย่างไรก็ตามในขณะที่มันกำลังจะเอื้อมมือไปเปิดประตูนั้นเอง ม่านพลังที่ปิดกั้นประตูก็ทอแสงสว่างเรืองรองขึ้นมา
จากนั้น เสียงเดียวกันกับที่ดังออกมาจากป้ายหยกสะสมคะแนนตอนได้ครบ 10 แต้ม ก็ดังขึ้นมาจากประตูเบื้องหน้า
“ยินดีต้อนรับเข้าสู่วังจอมราชันอมตะแห่งแดนสวรรค์ใต้โบราณระดับต่ำ”
“ตอนนี้เจ้าอยู่ในห้องที่ถูกปิดผนึกไว้ห้องหนึ่งของวังจอมราชันอมตะ ต่อให้เป็นราชาอมตะ 10 ทิศก็ไม่อาจบุกรุกเข้ามาในห้องแห่งนี้ได้”
“ตอนนี้ เจ้ามีทางเลือก 2 ประการ”
“ประการแรก เลือกที่จะบ่มเพาะพลังภายในห้องหับแห่งนี้เพื่อรอเวลาที่แดนสวรรค์ใต้โบราณระดับต่ำจะเปิดออกอีกครั้ง…เห็นแก่ผลงานที่เจ้าสามารถรวบรวมคะแนนสะสมได้ 10 คะแนน เจ้าจะถูกอาคมเคลื่อนย้ายส่งตัวออกไปด้านนอกทางเข้าแดนสวรรค์ใต้โบราณระดับต่ำทันที ไม่จำเป็นต้องเดินทางตามการชี้นำไปยังประตูทางออก”
“ส่วนทางเลือกประการที่ 2 ก็คือจงผลักเปิดประตูเบื้องหน้า แล้วก้าวออกไปแสวงหาโอกาสวาสนาในวังจอมราชันอมตะแห่งนี้เสีย…หากแต่เมื่อเจ้าเลือกหนทางดังกล่าว เจ้าต้องเผชิญหน้ากับคนอื่นๆที่คิดแสวงหาโอกาสในวังจอมราชันอมตะเช่นกัน”
“จงคิดทบทวนให้ดี ก่อนที่จักตัดสินใจเลือก”
กล่าวถึงจุดนี้ เสียงดังกล่าวก็เงียบหายไปโดสมบูรณ์
หลังได้ยินคำพูดดังกล่าว หวงเจียเชาก็ได้แต่คลี่ยิ้มแหยๆออกมา สำหรับมันแล้ว…ยังมีทางเลือกด้วยเหรอ?
อยู่ข้างๆต้วนหลิงเทียน อีกฝ่ายย่อมมีพลังพอดูแลความปลอดภัยให้มันได้
อย่างไรก็ตาม ภายในวังจอมราชันอมตะแห่งนี้ ใครจะบอกมันได้บ้างว่าทันทีที่มันเปิดประตูเดินออกจากห้องไปมันจะไม่พบยอดเซียนอมตะคนอื่น? แล้วใครยังจะรับประกันให้มันได้ ว่ามันจะพบเจอต้วนหลิงเทียนก่อนที่จะโดนยอดเซียนอมตะคนอื่นฆ่าตาย?
“เหอะๆ…อาศัยพลังฝีมือกิ๊กก๊อกของข้า แค่รอดมาถึงตอนนี้ได้ก็ปาฏิหาริย์ชัดๆ…ไม่ต้องเอาชีวิตไปเสี่ยงเพื่อช่วงชิงอะไรในวังจอมราชันอมตะกับคนอื่นเขาหรอก”
สุดท้ายหวงเจียเชาก็เลือกที่จะนั่งบ่มเพาะพลังในห้องเล็กๆไม่ไปไหน รอคอยเวลาที่จะถูกส่งตัวออกไปจากแดนสวรรค์ใต้โบราณระดับต่ำ
มันรู้ตัวเองดี
ด้วยพลังฝีมือของมัน หากไม่ได้ต้วนหลิงเทียนยื่นมือเจ้าช่วย ต่อให้เดินออกจากห้องหับเล็กๆแห่งนี้ มันก็ไม่มีโอกาสได้รับสิ่งดีๆในวังจอมราชันอมตะแห่งนี้แน่นอน
และต่อให้มันจะโชคดีได้รับโอกาสและวาสนายิ่งใหญ่มาจริง มันจะเอาปัญญาที่ไหนรักษาไว้ได้จนจบ?
หลังจากตัดสินใจเลือกได้โดยที่แทบจะไม่ต้องคิด หวงเจียเชาก็ไปนั่งบนเตียงศิลา แล้วหลับตาเริ่มต้นบ่มเพาะพลังเพื่อรอเวลาทันที
ในขณะที่หวงเจียเชาตัดสินใจเลือกอยู่ในห้องไม่ไปไหน ต้วนหลิงเทียนก็ได้ยินเสียงแจ้งทางเลือกเช่นกัน จึงรู้ว่าห้องหับเล็กๆแห่งนี้ สมควรอยู่ในวังจอมราชันอมตะแล้ว
“พี่เจียเชาเองก็เป็นคนฉลาด คงไม่คิดออกมาเสี่ยงแน่นอน”
พอคิดถึงจุดนี้ต้วนหลิงเทียนก็อดไม่ได้ที่จะระบายลมหายใจออกมาด้วยความโล่งอก ขณะเดียวกันเขาก็ยืนมือออกไปผลักเปิดประตูเบื้องหน้า อย่างไร้ซึ่งความลังเลใดๆ
และเพียงแค่ประตูเริ่มแง้มเปิดไม่ทันอ้าออกมากมายอะไร สำนึกเทวะต้วนหลิงเทียนก็แผ่พุ่งชำแรกช่องว่างออกไปตรวจสอบที่ทางหลังประตูและอาณาบริเวณรอบๆหลังประตูอย่าระมัดระวัง เพื่อป้องกันการซุ่มโจมตี
อย่างไรก็ตามหลังจากนั้นสักพักเขาก็พบว่าเป็นตัวเขาคิดมากเกินไป
เมื่อเดินออกมาจากประตู เขาก็พบว่าตัวเองอยู่ในห้องโถงอันกว้างใหญ่ปานไร้ขอบเขต ทั้งยังแลดูวิจิตรงดงามนัก ทว่ากลับไร้ซึ่งสิ่งใดอยู่เลย ชวนให้ผู้คนรู้สึกโหวงเหวงพิกล
“หืม?”
ขณะเดียวกัน ต้วนหลิงเทียนก็สัมผัสได้ถึงอะไรบางอย่าง และพอหันกลับมามองด้านหลัง ก็พบว่าประตูสู่ห้องเล็กๆของเขาหายไป จึตระหนักได้ว่าทันทีที่ก้าวเดินออกมาจากห้อง เขาก็คงถูกส่งตัวมาด้วยอาคมเคลื่อนย้ายอย่างไม่รู้ตัว
ฟุ่บ! ฟุ่บ! ฟุ่บ! ฟุ่บ! ฟุ่บ! ฟุ่บ!
…
ทันทีที่กลับมาครองสติ ต้วนหลิงเทียนก็ได้ยินเสียงสายลมพัดเข้าหู พอหันไปมองตามเรื่องราว ก็พบว่าห้องโถงไพศาลที่เดิมร้างผู้คน บัดนี้ได้ปรากฏเงาร่างคนนับร้อยที่มีทั้งชายหนุ่มหญิงสาว ไม่ว่าจะอ่อนวัยหรือผู้ชราขึ้นมาเบื้องหน้าไม่ไกล แถมแต่ละคนยังแผ่แรงกดดันไม่ธรรมดาออกมา
“เป็นยอดเซียนอมตะขั้นสูงสุดทั้งหมด…”
ต้วนหลิงเทียนที่แผ่สำนึกเทวะออกไปตรวจสอบ ไม่ทันไรก็พบว่ากลุ่มคนนับร้อยที่อยู่ๆก็ปรากฏตัวขึ้นมาในห้องโถงอันว่างเปล่าแห่งนี้ ล้วนแล้วแต่เป็นยอดเซียนอมตะขั้นสูงสุดทั้งสิ้น
ขณะเดียวกันต้วนหลิงเทียนยังพบอีกด้วยว่า แม้กลุ่มคนนเบื้องหน้าจะแลดูเหมือนผู้คนไม่ผิดเพี้ยน แต่ดวงตาของทุกคนกลับไร้ประกาย ราวทั้งหมดได้สูญเสียจิตวิญญาณไปแล้ว
“พวกมันคือ…ร่างที่ควบแน่นจาก ‘จิตต่อสู้’ งั้นเหรอ?”
ต้วนหลิงเทียนเองก็ได้ศึกษาค่ายกลต่างๆในระนาบเทวโลกมาไม่น้อย จึงรู้ว่าในระนาบบเทวโลกนั้น มีค่ายกลที่สามารถควบแน่นจิตต่อสู้ให้ก่อเกิดเป็นรูปลักษณ์ขึ้นมาได้
แน่นอนว่าค่ายกลดังกล่าวนั้นไม่เพียงต้องใช้ผลึกอมตะเพื่อเป็นขุมพลังจำนวนมาก ยังต้องเสียผลึกอมตะเพื่อประคองสภาพไม่ใช่น้อย เรียกว่าคิดจะควบแน่นจิตต่อสู้ให้ก่อเกิดเป็นรูปลักษณ์แบบนี้ได้ มันผลาญทรัพย์สิ้นดี
อีกทั้งร่างที่ควบแน่นจากจิตต่อสู้ จะร้ายกาจแค่ไหนก็ขึ้นอยู่กับผู้จัดตั้งค่ายกล
และกลุ่มคนนั้บร้อยที่ต้วนหลิงเทียนกำลังเผชิญหน้าอยู่ ก็คือจิตต่อสู้ที่ควบแน่นจากค่ายกลไม่ผิดแน่! อีกทั้งแต่ละคนยังเป็นยอดเซียนอมตะขั้นสูงสุด!!
‘ร่างจิตต่อสู้ขอบเขตยอดเซียนอมตะขั้นสูงสุด…ถึงจะเป็นไปไม่ได้ที่จะใช้พลังอำนาจแห่งกฏ รวมถึงไม่อาจใช้เวทย์พลังและวรยุทธ์อมตะใดๆ แต่พวกมันก็สามารถเพิ่มพลังต่อสู้ได้โดยการหลอมรวมร่างจิตต่อสู้เข้าด้วยกัน’
และในขณะที่ข้อมูลเรื่องความสามารถของร่างที่ควบแน่นจากจิตต่อสู้เริ่มผุดขึ้นในหัวต้วนหลิงเทียน เขาก็พบว่าจิตต่อสู้นับร้อยร่างเบื้องหน้า ได้แบ่งกลุ่มและเริ่มรวมตัวกันแล้ว
และเพียงเวลาชั่วพริบตา ร่างจิตต่อสู้ขอบเขตยอดเซียนอมตะนับร้อย ก็ได้รวมร่างกันจนเหลือร่างจิตต่อสู้แค่เพียง 10 ร่างเท่านั้น! เห็นชัดว่าแต่ละร่างเกิดจากการรวมกันของร่างจิตต่อสู้นับสิบ!!
“ร่างรวม 10 จิตต่อสู้…”
ถึงแม้ร่างรวม 10 จิตต่อสู้เบื้องหน้าต้วนหลิงเทียน จะยังอยู่ในขอบเขตยอดเซียนอมตะ แต่ต้วนหลิงเทียนก็สัมผัสได้ถึงความแตกต่างจากก่อนหน้าชัดเจน!
ฟุ่บ! ฟุ่บ! ฟุ่บ! ฟุ่บ! ฟุ่บ! ฟุ่บ!
…
และต้วนหลิงเทียนก็ไม่มีเวลาให้สำรวจร่างจิตต่อสู้ทั้ง 10 อย่างละเอียด ร่างจิตต่อสู้ทั้ง 10 ก็ได้พุ่งเข้ามาเล่นงานเขาเสียแล้ว! แต่ละคนเปิดฉากเข่นฆ่าสังหารเข้ามาอย่างดุร้าย กระทั่งยังมีการกระจายตัวเพื่อล้อมจู่โจมเข้าใส่เขาจากทุกทิศทางพร้อมกัน!!
‘ความแข็งแกร่งของร่างจิตต่อสู้พวกนี้มัน…’
ทันทีที่เห็นจิตต่อสู้ทั้ง 10 ร่างที่พุ่งจู่โจมเข้ามา วัดจากความเร็วของพวกมัน ต้วนหลิงเทียนก็บอกได้ทันทีว่าไม่มีร่างไหนที่อ่อนด้อยกว่าหวงเจียหลงเลย!
‘พวกมันทั้งสิบแข็งแกร่งในระดับเดียวกับยอดเซียนอมตะขั้นสูงสุดที่แตกฉานวรยุทธ์อมตะและเวทย์พลังระดับขุนนางทุกแขนงจนถึงขั้นตอนไร้ตำหนิ…หากเป็นยอดเซียนอมตะที่ไม่ได้แตกฉานวรยุทธ์อมตะทั้งเวทย์พลังระดับขุนนางทุกสายจนครบ แค่ร่างจิตต่อสู้ร่างเดียวก็หืดขึ้นคอแล้ว นับประสาอะไรกับมาเป็นสิบ!!’
‘นี่น่ะเหรอการทดสอบแรกของวังจอมราชันอมตะ?’
จังหวะนี้สีหน้าต้วนหลิงเทียนเริ่มเปลี่ยนเป็นจริงจังขึ้นมา
‘หวังว่าพี่เจียเชาคงไม่ทะลึ่งออกจากห้องมาหรอกนะ…’
ถึงแม้เขาจะรู้สึกว่าหวงเจียเชาไม่น่าจะออกมา แต่ต้วนหลิงเทียนก็อดไม่ได้ที่จะห่วงอีกฝ่ายไม่น้อย เพราะเขากลัวว่าหวงเจียเชาอาจคิดว่าจะได้พบกับเขาทันที จึงเลือกออกจากห้องนั่นมา
ด้วยพลังฝีมือของหวงเจียเชา น่ากลัวว่าเมื่อออกจากห้องมาแล้วเจอแบบนี้ มีหวังได้รั้งอยู่ในวังจอมราชันอมตะชั่วกาลแน่!
อาศัยแค่ร่างจิตต่อสู้ร่างใดร่างหนึ่งเบื้องหน้า ก็ฆ่าหวงเจียเชาได้ง่ายดาย!
ขวับ!
เมื่อเผชิญญหน้ากับการกลุ้มรุมจู่โจมเข้ามาทุกทิศทางของร่างจิตต่อสู้ทั้ง 10 ต้วนหลิงเทียนก็ยกมือขึ้น คว้ากระบี่หนักไร้คมที่ผุดออกมาจากความว่างเปล่ามากระชับถือไว้แน่น
กระบี่หนักไร้คมเล่มเขื่องในมือ เป็นอุปกรณ์อมตะระดับราชาที่ได้รับการขัดเกลาหล่อเลี้ยงด้วยพลังเซียนอมตะต้นกำเนิดของจอมราชันอมตะมาแล้ว ทำให้มันทรงพลังอานุภาพขึ้นมาก สุดที่อุปกรณ์อมตะระดับราชาทั่วไปจะทาบติด
“ปฐมเวทย์กลืนกิน!”
“ธาตุดิน!”
“ปราณม่วงบูรพา!”
“ราชันไม่เคลื่อนไหว!”
หลังจากกระชับถือกระบี่หนักไร้คมเล่มเขื่อง ต้วนหลิงเทียนก็ใช้ออกด้วยทุกอย่างที่มีอย่างไร้ซึ่งความลังเล คิดรับมือร่างจิตต่อสู้ทั้ง 10 ด้วยความไม่ประมาท
กระบี่หนักไร้คมเล่มเขื่องตวัดฟันฟาดออกไป ฉับไวประหนึ่งเหยี่ยวโฉบ ด้วยพลังที่ต้วนหลิงเทียนควบรวมเอาไว้ ไม่ว่ามันจะฟันฟาดผ่านที่ใด ความว่างเปล่ามีอันต้องสะท้านสะเทือน เสียงพลังกระบี่ยังกู่ร้องออกมาฮึงๆตลอดเวลา
ฉัวะ!!
เพียงกระบี่แรกที่กระบี่หนักไร้คมเล่มเขื่องฟาดออก ร่างจิตต่อสู้ร่างหนึ่งที่อยู่ใกล้ต้วนหลิงเทียนที่สุดก็ถูกผ่ากลางจนขาดสองท่อน จากนั้นร่างดังกล่าวก็เริ่มกลายเป็นเถ้าถ่าน ก่อนจะสลายหายไป
ฉัวะ! ฉัวะ!
เมื่อหนึ่งกระบี่แรกตวัดออกไป ต้วนหลิงเทียนที่เข้าใจแก่นแท้การใช้กระบี่หนัก ก็อาศัยการถ่ายน้ำหนักอย่างแยบคาย พุ่งร่างม้วนตัวฟันร่างจิตต่อสู้อีก 2 ร่างที่โจนทะยานเข้ามาข้างๆตามแนวแรงกระบี่ ก่อนจะตัดหัวพวกมันจนกลายเป็นเถ้าถ่านได้ไม่ยากเย็น จากนั้นก็ย่ำเท้าโดดไปหาร่างจิตต่อสู้ร่างที่ 4 เพื่อเข่นฆ่าสังหารสืบต่อ
ทว่าทันใดนั้นเอง ความว่างเปล่าในโถงใหญ่ก็เริ่มสั่นสะเทือนขึ้นมาโดยไม่ทราบสาเหตุ
และพริบตาต่อมาต้วนหลิงเทียนที่กำลังฟาดกระบี่หนักไร้คมจี้เข้าใส่ร่างจิตต่อสู้ที่ 4 นั้น ก็พบว่ากระบี่ของเขาเสมือนถูกผนึกไว้กลางอากาศว่างเปล่า! คล้ายมีพลังไร้สภาพบางประการหยุดกระบี่เขาเอาไว้!!
อย่างไรก็ตามต้วนหลิงเทียนที่แผ่สำนึกเทวะตรวจสอบเรื่องราวอยู่ตลอด มั่นใจได้ว่าไร้พลังซึ่งพลังใดๆผนึกกระบี่เขาอยู่แน่นอน!
“นี่มัน…เกิดอะไรขึ้นกันแน่?”
ฉากนี้อดไม่ได้ที่จะทำให้ต้วนหลิงเทียนรู้สึกขนลุก ด้วยเขาไม่อาจทราบได้จริงๆว่ามันกำลังเกิดอะไรขึ้นอยู่กันแน่!
เพราะกระทั่งตอนนี้เขาก็ตระหนักได้ว่ารอบกระบี่หนักไร้คมของเขา มันไร้ซึ่งกลิ่นอายพลังใดๆมากระทำทั้งสิ้น หากแต่กระบี่หนักไร้คมของเขากลับถูกผนึกค้างไว้กลางอากาศ จนเขาไม่อาจขยับมันได้เลย!
“มันคือกฏแห่งเวลา…”
ในขณะที่ต้วนหลิงเทียนกำลังตื่นตระหนกกับพลังอำนาจที่เขาหยั่งไม่ถึง เสียงเด็กน้อยไม่หย่านมของปฐพีเทพแรกกำเนิดฟ้าดินพลันดังขึ้นในร่างเขาพอดี