War sovereign Soaring The Heavens - ตอนที่ 3107
“อ๊าคคค—”
แทบจะทันทีที่เสียงบ่นของนักฆ่ากะโหลกเลือดอีกคนดังจบคำ เหลิ่งเอี้ยที่หวนกลับมารู้สึกตัว ก็ตะโกนขึ้นฟ้าด้วยความคับแค้นทั้งไม่เต็มใจถึงขีดสุด
พลังที่เร่งเร้าขึ้นมาทั่วร่างพลันปะทุระเบิด ส่งคลื่นพลังมหาประลัยกวาดทำลายออกไปโดยรอบอย่างเกรี้ยวกราด!
ปง! ปง! ปง! ปง! ปง! ปง!
…
ผนังหุบเขาโดยรอบ เมื่อถูกพลังที่ระเบิดออกมาจากร่างเหลิ่งเอี้ย ก็มีอันต้องพังทลายลง ละอองธุลีเริ่มปลิดปลิวคละคลุ้งขึ้นมาวุ่นวาย
ในฐานะราชาอมตะ 9 ตำหนัก แม้มันจะไม่ได้จงใจลงมือซัดพลังทำลาย อาศัยแค่การปะทุพลังออกมาแบบนี้ ก็สร้างความวินาศสันตะโรให้สภาพแวดล้อมครั้งใหญ่แล้ว!
เดิมทีเหลิ่งเอี้ยคิดว่าต้วนหลิงเทียนคงไม่มียันต์อมตะหลบหนีล้ำค่าอย่างยันต์เงาวายุอีกใบเป็นแน่ และไม่พ้นต้องถูกลิขิตให้ตายตกคามือมัน…
มันก็เลยไม่รีบร้อนฆ่าต้วนหลิงเทียน หมายทำให้ต้วนหลิงเทียนบังเกิดความสิ้นหวังถึงขีดสุด จากนั้นก็จะค่อยๆลงมือทรมานต้วนหลิงเทียนให้อยู่ไม่สู้ตาย ระบายความคับแค้นใจ ล้างความอัปยศในอดีต…
อย่างไรก็ตาม มันไม่คิดไม่ฝันจริงๆ
ว่าชายหนุ่มที่อยู่ข้างๆต้วนหลิงเทียนกลับมียันต์อมตะหลบหนี ที่มีพลังอานุภาพไม่ได้ด้อยไปกว่ายันต์เงาวายุแม้แต่น้อย พาต้วนหลิงเทียนหลบหนีมันไปได้ในพริบตา หลุดพ้นอาณาเขตตรวจจับของสำนึกเทวะมันไปได้อย่างไร้ร่องรอย…
มันเสียใจนัก
เสียใจที่ไม่ได้ฆ่าต้วนหลิงเทียนทันทีที่พบ!
อย่างที่สหายของมันบอกไว้ไม่ผิดแม้ครึ่งคำ หากมันไม่มัวไปเสียเวลาสนทนาเวิ่นเว้ออะไรกับอีกฝ่าย แล้วลงมือฆ่าคนไปให้จบๆ ไหนเลยชายหนุ่มข้างกายต้วนหลิงเทียนคนนั้น จะมีเวลาพาต้วนหลิงเทียนหนีไปได้ทัน?
“กลับกันเถอะ…คราวนี้พวกเราแหวกหญ้าให้งูตื่นแล้ว เรื่องจะหาตัวมันเจออีกครั้งคงยากยิ่งกว่าคนธรรมดาปีนป่ายขึ้นสวรรค์แล้วล่ะ”
นักฆ่ากะโหลกเลือดข้างๆเหลิ่งเอี้ยกล่าว
พอกล่าวจบคำ มันยังกล่าวเสริมต่ออีกว่า “เจ้าไม่ต้องกังวลไป ข้าจะไม่รายงานเรื่องนี้กลับไปยังองค์กร…ข้าจักรายงานไปว่าพวกเราไม่พบต้วนหลิงเทียนแทน”
“อย่างไรก็ตามหลังจากวันนี้เป็นต้นไป ข้าหวังว่าเจ้าจักเลิกประมาทได้แล้ว…ต้วนหลิงเทียนนั่นแม้มันจะเป็นแค่ยอดเซียนอมตะขั้นสูงสุด แต่มันสามารถรอดพ้นเงื้อมมือพวกเราได้หลายครั้งหลายครา ก็เห็นกันชัดแล้วว่ามันไม่ธรรมดาจริงๆ”
นักฆ่ากะโหลกเลือดข้างเหลิ่งเอี้ยกล่าวด้วยความหวังดี
“ขอบคุณเจ้ามาก”
เหลิ่งเอี้ยพอได้ฟังก็สงบสติอารมณ์ลงได้หลายส่วน จากนั้นก็เร่งกล่าวขอบคุณสหายร่วมอาชีพข้างกายทันที
มันรู้ดี
หากเรื่องราววันนี้ถูกรายงานกลับไปยังองค์กรล่ะก็ องค์กรไม่มีทางปล่อยมันไว้แน่…เพราะครั้งนี้ที่ต้วนหลิงเทียนหนีรอดไปได้ เป็นเพราะความประมาทของมันล้วนๆ!
ส่วนอีกด้าน
ด้วยพลังมหาศาลจากยันต์อมตะ หลิงเจวี๋ยอวิ๋นก็ได้หอบหิ้วต้วนหลิงเทียนหลบหนีออกมาจากหุบเขาเมื่อครู่ไกลลิบ จนในที่สุดก็มาถึงป่ามืดทึบแห่งหนึ่ง
“ขอบคุณเจ้ามาก”
ต้วนหลิงเทียนเอ่ยขอบคุณหลิงเจวี๋ยอวิ๋นด้วยน้ำเสียงจริงจัง
คราวนี้หากไม่ได้หลิงเจวี๋ยอวิ๋น เกรงว่าเขาคงต้องตายกลายเป็นผีคาหุบเขาเมื่อครู่ไปแล้ว เพราะถ้าไม่มียันต์อมตะหลบหนีที่หลิงเจวี๋ยอวิ๋นพึ่งใช้เมื่อครู่ เขาไม่เห็นหนทางรอดพ้นเงื้อมมือนักฆ่าขอบเขตราชาอมตะ 9 ตำหนักทั้ง 2 คนเลย
“ต่อไปเจ้าทำดีกับพี่สาวหวงเอ้อของข้าให้มากๆก็พอ”
หลิงเจวี๋ยอวิ๋นกล่าว ขณะเดียวกันสีหน้าของมันก็ฉายแววเจ็บปวดใจอยู่บ้าง
ยันต์อมตะหลบหนีที่มีไว้ช่วยชีวิตเมื่อครู่ มันมีอยู่แค่ไม่กี่แผ่นเท่านั้น ใช้ไปหนึ่งก็ลดน้อยลงไปอีกหนึ่ง
ในตอนนั้นที่มันเร่งรุดหลบหนีออกมาจากตระกูลในดินแดนการล่มสลายแห่งทวยเทพ ด้วยความฉุกละหุกจึงไม่ได้นำสมบัติอะไรติดตัวมามากมาย
ที่มันมีก็คือของที่พกติดตัวไว้เท่านั้น
ดังนั้นจึงมีไม่ได้มากมาย
ท้ายที่สุดแล้ววันนั้นตระกูลของมันก็กำลังเผชิญหน้ากับหายนะฆ่าล้างตระกูล มันเองก็แทบจะตกตายอย่างโง่งมโดยที่ไม่รู้เรื่องราวด้วยซ้ำ ที่มันหลบหนีมาได้เป็นเพราะพี่สาวหวงเอ้อทั้งสิ้น หาไม่แล้วอาศัยเด็กน้อยด่านพลังต่ำต้อยเช่นมันจะหนีมาได้อย่างไร…
“เรื่องนี้เจ้าวางใจเถอะ”
ต้วนหลิงเทียนพยักหน้า “ในเมื่อตอนนี้นางกำลังจะกลายเป็นจิตวิญญาณกระบี่เทพของข้า ข้าไม่มีวันปฏิบัติกับนางไม่ดีแน่นอน”
“ได้แบบนั้นก็ดี ส่วนตอนนี้พวกเรารีบไปจากที่นี่ดีกว่า…ขืนรั้งอยู่แถวนี้เกิดนักฆ่าราชาอมตะ 9 ตำหนัก 2 คนนั่นมันไม่ยอมแพ้ และเลือกจะปูพรมค้นหาอีกรอบ เกรงว่าไม่นานคงหาพวกเราเจอ”
พอหลิงเจวี๋ยอวิ๋นกล่าวจบคำ ต้วนหลิงเทียนก็พยักหน้าเห็นด้วย จากนั้นก็เริ่มเหินนำออกไปยังทิศทางตรงกันข้ามกับหุบเขาเมื่อครู่ทันที
“ว่าแต่เจ้ายังไม่ได้บอกข้าเลย ว่าเจ้าไปทำอีท่าไหนกันแน่ถึงทำให้องค์กรมือสังหารกะโหลกเลือดถึงกับส่งนักฆ่าขอบเขตราชาอมตะ 9 ตำหนักมาตามฆ่าเจ้าได้ แถมพวกมันยังมากัน 2 คนแบบนั้น”
หลิงเจวี๋ยอวิ๋นขบคิดเท่าไหร่ ก็ไม่อาจคิดเรื่องนี้ได้ออกจริงๆ
ต้วนหลิงเทียนจะอย่างไรก็เป็นแค่ยอดเซียนอมตะขั้นสูงสุด แม้พรสวรรค์กับความเข้าใจจะสูง แต่ก็ไม่จำเป็นต้องส่งนักฆ่าทรงพลังระดับนี้มาไม่ใช่หรือไง?
“เพราะองค์กรมือสังหารกะโหลกเลือดมันเคยส่งนักฆ่ามาจัดการข้า 2 คน แต่ข้าเป็นฝ่ายฆ่าพวกมันทิ้งทั้งหมด”
ต้วนหลิงเทียนกล่าว
“อะไร!?”
ได้ยินคำพูดของต้วนหลิงเทียน ลูกตาหลิงเจวี๋ยอวิ๋นก็หดเล็กลงทันที “เจ้า…เจ้าฆ่านักฆ่าขององค์กรกะโหลกเลือดไป 2 คนแล้ว?”
รอบนี้ หลิงเจวี๋ยอวิ๋นคิดว่าตัวเองได้ยินอะไรผิดพลาดไปหรือไม่
เพราะเท่าที่มันรู้มา นักฆ่าองค์กรกะโหลกเลือดนั้น ที่อ่อนด้อยที่สุดก็สมควรเป็นชนชั้นราชาอมตะ 1 ต้นกำเนิดไม่ใช่หรือไร? แล้วต้วนหลิงเทียนไปฆ่าอีกฝ่ายได้ยังไง?
“ใช่”
ต้วนหลิงเทียนพยักหน้า
“ช้าก่อน เท่าที่ข้าเคยได้ยินมา นักฆ่าของค์กรมือสังหารกะโหลกเลือด ที่อ่อนด้อยที่สุดก็สมควรเป็นราชาอมตะ 1 ต้นกำเนิดแล้วไม่ใช่รึไง แล้วเจ้าไปทำอีท่าไหนถึงฆ่ามันได้เล่า?”
หลิงเจวี๋ยอวิ๋นเอ่ยถามตาปริบๆ
“ข้าใช้อุปกรณ์อมตะจอมราชันสิ้นเปลือง…”
กับหลิงเจวี๋ยอวิ๋นต้วนหลิงเทียนไม่คิดจะปกปิดอะไร เพราะรู้ดีว่าอีกฝ่ายคงไม่เหลียวแลอุปกรณ์อมตะจอมราชันสิ้นเปลืองของเขาแน่นอน
ยิ่งไปกว่านั้น ต่อให้หลิงเจวี๋ยอวิ๋นจะเกิดอยากได้ขึ้นมา อีกฝ่ายก็ไม่มีทางแย่งกับเขาแน่
สุดท้ายแล้วหลิงเจวี๋ยอวิ๋นก็เคารพหวงเอ้อมาก และตอนนี้หวงเอ้อก็กลายเป็นจิตวิญญาณกระบี่หลิงหลง 7 เปลี่ยนของเขาแล้ว ไม่ต้องพูดถึงเรื่องอื่นอะไร อาศัยแค่เรื่องนี้เรื่องเดียวหลิงเจวี๋ยอวิ๋นก็ไม่มีทางคิดร้ายกับเขาแน่
“ต่อให้ตอนนั้นข้าจะเข้าใจความลึกซึ้งของกฏไม่กี่ประการ แต่ด้วยพลังของอุปกรณ์อมตะจอมราชันสิ้นเปลืองที่มอบพลังขอบเขตจอมราชันอมตะ 1 ต้นกำเนิดให้ข้า จะฆ่าราชาอมตะ 1 ต้นกำเนิดก็ลำบากแค่ยกมือเท่านั้น…และหลังฆ่ามันไปแล้ว ถึงพลังจะลดลงไปบางส่วน แต่อาศัยราชาอมตะธรรมดาๆก็ทำอะไรข้าไม่ได้อยู่ดี…”
ต้วนหลิงเทียนกล่าวสืบต่อ
“เจ้ามีอุปกรณ์อมตะจอมราชันสิ้นเปลืองด้วยรึ?”
ถึงแม้หลิงเจวี๋ยอวิ๋นจะประหลาดใจอยู่บ้าง แต่ความสงสัยก่อนหน้าของมันก็หายไปทันที เพราะถ้าต้วนหลิงเทียนมีอุปกรณ์อมตะจอมราชันสิ้นเปลือง เรื่องจะฆ่าราชาอมตะทั่วๆไป ก็ไม่นับว่าเหลือบ่ากว่าแรงจริงๆ
แต่แน่นอนมันยังรู้ดีอีกด้วย ว่าหากเป็นนักฆ่าขอบเขตราชาอมตะ 9 ตำหนักทั้ง 2 เมื่อครู่ ต่อให้ต้วนหลิงเทียนจะใช้อุปกรณ์อมตะจอมราชันสิ้นเปลืองจนได้รับพลังขอบเขตจอมราชันอมตะมาครอง แต่อย่างดีก็คงทำได้ฝืนหลบหนีหรือรับมือได้ไม่กี่ลมหายใจ
เพราะความลึกซึ้งของกฏที่เข้าใจ มันแตกต่างกันมากเกินไป
ราชาอมตะ 9 ตำหนักส่วนใหญ่ในแดนสวรรค์ใต้ ล้วนแล้วแต่เข้าใจความลึกซึ้งของกฏใดกฏหนึ่ง 6-7 ประการทั้งสิ้น ที่ร้ายกาจหน่อยก็อาจจะเข้าใจความลึกซึ้งของกฏได้ 8 ประการแล้ว
ส่วนราชาอมตะ 9 ตำหนักที่สามารถเข้าใจความลึกซึ้งของกฏได้ 9 ประการนั้น หรือก็คือเข้าใจความลึกซึ้งของกฏใดกฏหนึ่งจนครบแล้ว เป็นไปไม่ได้ที่จะมาปรากฏตัวอยู่ในแดนสวรรค์ใต้
เว้นเสียแต่จะเป็นสถานที่ๆอยู่เหนือแดนสวรรค์ใต้ ถึงจะพบเจอตัวตนเช่นนั้น
“หลิงเจวี๋ยอวิ๋น”
ในขณะที่เร่งรุดเดินทาง ต้วนหลิงเทียนก็พลันฉุกคิดอะไรขึ้นมาได้ จึงหันไปถามหลิงเจวี๋ยอวิ๋นที่เหินร่างข้างๆด้วยสองตาลุกวาว “พอผ่านไปเดือนนึงหลังใช้ผลเทพสังเวยสวรรค์ ไม่เพียงแต่จะบรรลุขอบเขตขุนนางอมตะ 10 ทิศ และยังสามารถริเริ่มเข้าใจกฏข้อใดข้อหนึ่ง จนสามารถเข้าใจความลึกซึ้งของกฏนั้นๆได้หลายประการ…”
“แล้วเป็นไปได้ไหมที่จะใช้มันเพื่อเข้าใจ 1 ใน 4 กฏสูงสุด?”
ขณะที่เอ่ยถามเรื่องนี้ออกไป สองตาต้วนหลิงเทียนก็เปล่งแสงจ้า มากล้นไปด้วยความคาดหวัง
“เรื่องนี้…”
ได้ยินคำถามดังกล่าวของต้วนหลิงเทียน ความคิดแรกที่ผุดขึ้นมาในหัวหลิงเจวี๋ยอวิ๋นก็คือ ต้วนหลิงเทียนผู้นี้ช่างโลภเหลือเกิน…
ส่วนความคิดที่สองก็คือความคาดหวัง
เพราะหากทำได้ มันเองก็อยากจะเข้าใจกฏใดกฏหนึ่งของ 3 ใน 4 กฏสูงสุดที่เหลือเช่นกัน เพราะผลเทพสังเวสวรรค์นั้นก็สามารถช่วยให้ผู้ใช้ทำความเข้าใจความลึกซึ้งของกฏที่ไม่เคยริเริ่มทำความเข้าใจมาก่อนได้หลายประการ
แต่เป็นธรรมดาว่ามันเองก็รู้ตัวดี
ว่าตัวเองนั้นเข้าใจกฏแห่งความตายซึ่งเป็น 1 ใน 4 กฏสูงสุดอยู่แล้ว แม้ผลเทพสังเวยสวรรค์จะช่วยให้เข้าใจกฏสูงสุดได้จริง แต่มันก็ไม่อาจเลือกกฏแห่งความตายได้
“ข้าเคยได้ยินมาก็แต่ผู้ที่ใช้ผลเทพสังเวยสวรรค์นั้น สามารถเข้าใจความลึกซึ้งของกฏที่ไม่เคยทำความเข้าใจมาก่อนเลยได้ทีเดียวหลายประการ…อย่างไรก็ตามข้าไม่รู้ว่าผู้ที่เคยใช้มันได้ผลลัพธ์เป็นอย่างไรกันบ้าง ที่ได้ยินมาก็มีแต่ลือกันว่าไม่เคยมีใครใช้ผลเทพสังเวยสววรรค์เข้าใจ 1 ใน 4 กฏสูงสุดมาก่อน แต่ข้อเท็จจริงเรื่องนี้ก็คงยากจะพิสูจน์…”
หลิงเจวี๋ยอวิ๋นกล่าวตอบมาตรงๆ
“แล้วเจ้าว่า…มันทำได้รึเปล่า?”
ต้วนหลิงเทียนเอ่ยถามอย่างคาดหวัง
“มันก็อาจจะเป็นไปได้นั่นล่ะ แต่โอกาสที่เจ้าหรือข้าจะสามารถทำความเข้าใจ 1 ใน 4 กฏสูงสุดจากผลเทพสังเวยสวรรค์มันก็มีน้อยนิดจริงๆ”
หลิงเจวี๋ยอวิ๋นคลี่ยิ้มเจื่อนๆ
“ทำไมเล่า?”
ต้วนหลิงเทียนขมวดคิ้วยู่ย่น
“ก็อย่างข้าที่เข้าใจกฏแห่งความตายผ่านสายเลือดตระกูล…มันจะแตกต่างจากคนอื่นๆที่เข้าใจกฏแห่งความตายด้วยตัวเองเพราะยังสามารถทำความเข้าใจกฏแห่งชีวิตได้ ทว่าด้วยสายเลือดตระกูลข้า ทำให้ถูกลิขิตไว้แล้วว่าไม่มีวันเข้าใจกฏแห่งชีวิตได้แน่นอน…ดังนั้นข้าไม่อาจทำความเข้าใจกฏแห่งชีวิตโดยใช้ผลเทพสังเวยสวรรค์ได้แน่ๆแล้วกฏหนึ่ง”
“นอกจากนั้นกฏแห่งเวลา เจ้ากับข้าก็เคยสัมผัสและริเริ่มทำความเข้าใจมันมาแล้วในแดนสวรรค์ใต้โบราณระดับต่ำของเขตคฤหาสน์เฉวียนโยว ถึงแม้พวกเราจะยังไม่แม้แต่จะเข้าใจความหมายแห่งเวลา แต่พวกเราก็เคยสัมผัสมันมาแล้ว เช่นนั้นตัดกฏแห่งเวลาออกไปได้เลย”
“สำหรับตัวข้า เว้นเสียแต่ผลเทพสังเวยสวรรค์จะช่วยให้ข้าเข้าใจกฏแห่งมิติ…หาไม่แล้วข้าก็ไม่มีทางเข้าใจกฏสูงสุดข้ออื่นได้เลย”
“ด้านหนึ่งคือกฏมิติ ส่วนอีกด้านคือกฏแห่งธาตุทั้ง 5 รวมถึงกฏลม กฏแห่งสายฟ้า กฏน้ำแข็ง…ฯลฯ เทียบกันแล้วโอกาสที่ข้าจะเข้าใจกฏแห่งมิตินั้นแทบไม่มี เพราะอีกด้านมันมีโอกาสมากกว่า”
หลิงเจวี๋ยอวิ๋นกล่าว
“แต่เป็นธรรมดาว่านี่สำหรับข้าเท่านั้น…ตัวเจ้ายังมีโอกาสเข้าใจกฏสูงสุดมากกว่าข้า”
หลิงเจวี๋ยอวิ๋นหยยีตามองต้วนหลิงเทียน พลางกล่าวสืบต่อ
“กฏสูงสุดที่เจ้าเคยสัมผัสก็น่าจะมีแต่กฏแห่งเวลากระมัง? ถึงเจ้าจะได้รับกิ่งของพฤกษาเทพกำเนิดชีพไป แต่ถ้าเจ้ายังไม่ได้ริเริ่มทำความเข้าใจกฏแห่งชีวิต หมายความว่าเจ้าก็สามารถเข้าใจกฏแห่งชีวิต รวมถึงกฏแห่งความตายไม่เวนกฏแห่งมิติได้โดยอาศัยความช่วยเหลือจากผลเทพสังเวยสวรรค์อยู่”
ฟังจากคำพูดของหลิงเจวี๋ยอวิ๋นแล้ว เห็นชัดว่าอีกฝ่ายพิจารณามาอย่างรอบคอบจริงๆ
“เจ้า…รู้จักพฤกษาเทพกำเนิดชีพด้วยรึ?”
ต้วนหลิงเทียนประหลาดใจไม่น้อย
ถ้าเขาจำไม่ผิด หลิงเจวี๋ยอวิ๋นเองก็อยู่ในงานประมูลตอนเขประมูลกิ่งของพฤกษาเทพกำเนิดชีพเช่นกัน
ตอนนั้นเขาไปเข้าร่วมงานประมูลพร้อมคนประเทศฝูชิว ส่วนหลิงเจวี๋ยอวิ๋นก็ไปพร้อมกับคนของประเทศตงหมิง
“ข้าเองก็มาจากระนาบทวยเทพ ข้าย่อมรู้จักพฤกษาเทพกำเนิดชีพเป็นธรรมดา”
หลิงเจวี๋ยอวิ๋นกล่าว “อันที่จริงตอนนั้นที่ข้าเห็นเจ้าประมูลกิ่งพฤกษาเทพกำเนิดชีพ ข้าก็เดาไว้แล้วว่าเจ้าอาจจะรู้จักมัน…แต่ข้าไม่คิดจริงๆว่าเจ้าเองก็จะเป็นลูกหลานผู้แข็งแกร่งที่สุดด้วย พอมาตอนนี้ข้าเลยเข้าใจว่าเจ้าจะรู้จักกิ่งพฤกษาเทพกำเนิดชีพก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร”
“ในเมื่อเจ้าก็รู้ว่านั่นคือกิ่งของพฤกษาเทพกำเนิดชีพ แล้วทำไมถึงปล่อยให้ข้าประมูลได้ไปง่ายๆล่ะ? เจ้าไม่อยากได้มันบ้างรึไง?”
ต้วนหลิงเทียนเอ่ยถามด้วยความสงสัย