War sovereign Soaring The Heavens - ตอนที่ 3125
ต้วนหลิงเทียนก็ตระหนักได้ทันที
ว่าพลังอาคมที่กำลังพุ่งพล่านอยู่ในป้ายหยกสะสมคะแนน ก็คือพลังจากค่ายกลเคลื่อนย้ายส่งตัว รวมถึงอาคมเก็บสะสมคะแนน
จากนั้นต้วนหลิงเทียนก็ทำการสลักชื่อตัวเองลงบนป้ายหยกสะสมคะแนน และยื่นกลับไปให้อีกฝ่ายนำไปตรวจ หลังชายวัยกลางคนนำป้ายทั้ง 2 มาเทียบชื่อแล้วพบว่าไม่มีปัญหาอะไร มันก็ยื่นป้ายทั้งสองกลับมาให้ต้วนหลิงเทียน
ติ๋ง!
และต้วนหลิงเทียนก็หยดเลือดลงบนป้ายหยกสะสมคะแนนตามที่อีกฝ่ายกล่าวบอกไว้ก่อนหน้าทันที ทันใดนั้นป้ายหยกสะสมคะแนนก็สั่นไหวเบาๆ ไม่นานค่อยสงบลง
‘ต้วนหลิงเทียน…’
ชายวัยกลางคน ผู้อาวุโสของคฤหาสน์เฉวียนโยว ก็จดจำนามของต้วนหลิงเทียนที่พึ่งเห็นเอาไว้ในใจ
แน่นอนว่าที่ไฉนมันจดจำชื่อต้วนหลิงเทียนเอาไว้ ก็เพื่อนำมาสืบหาข้อมูล
อย่างไรก็ตามไม่ว่ามันจะครุ่นคิดเท่าไหร่ก็คิดไม่ออก กระทั่งลองป้อนชื่อลงบนแผ่นค่ายกลจัดเก็บข้อมูลส่วนกลาง ก็ไม่เจอว่ามีนามนี้เคยเข้าสู่แดนสวรรค์ใต้โบราณระดับกลางมาก่อน
ทั้งยังแซ่ ต้วนอีก…
ในบรรดา 10 ตระกูลใหญ่ เหมือนจะไม่มีตระกูลไหนแซ่ต้วนนี่นา…
หรือจะเป็นคนของ 5 นิกาย?
“เอาล่ะ”
ในขณะที่ชายวัยกลางคนหลังโต๊ะรับรองกำลังครุ่นคิดไปเรื่อย ฉีเทียนหมิงก็หันไปมองกล่าวกับต้วนหลิงเทียน “ตอนนี้เจ้าสามารถใช้ป้ายหยกสะสมคะแนนของเจ้าเพื่อเข้าไปในแดนสวรรค์ใต้โบราณระดับกลางได้แล้ว…แต่เจ้าคิดจะเข้าไปตอนนี้ไม่เปลี่ยนใจแน่รึ?”
“อ่า ข้าอยากลองดู”
ต้วนหลิงเทียนพยักหน้า ก่อนที่จะเดินไปยังเวทีศิลาด้านในโถงอย่างไม่รีบไม่ร้อน
เวทีศิลาดังกล่าวก็ได้จัดตั้งค่ายกลเคลื่อนย้ายไปแดนสวรรค์ใต้โบราณระดับกลางเอาไว้ แน่นอนว่าไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายใดๆ
“พอเจ้าขึ้นไปยืนบนเวทีแล้ว ก็ถ่ายทอดพลังเซียนอมตะต้นกำเนิดของเจ้าลงไปในป้ายหยกสะสมคะแนนของเจ้าเสีย ป้ายหยกสะสมคะแนนจะกระตุ้นค่ายกลเคลื่อนย้ายและส่งตัวเจ้าเข้าไปในแดนสวรรค์ใต้โบราณระดับกลางทันที…เมื่อเจ้าถูกส่งตัวไปที่นั่น เจ้าจักพบว่าเจ้าอยู่ในค่ายของคฤหาสน์เฉวียนโยว หากคิดจะเก็บสะสมคะแนน ก็จำต้องออกไปนอกค่ายเสียก่อน”
ต้วนหลิงเทียนเดินขึ้นมาบนเวทีได้ไม่ทันไร เสียงผ่านพลังของฉีเทียนหมิงก็ดังขึ้นในหูเขาอย่างประจวบเหมาะ
ขณะที่ต้วนหลิงเทียนพยักหน้ารับ เขาก็เริ่มมองป้ายหยกสะสมคะแนนในมือ
จากนั้นพอถ่ายทอดพลังเซียนอมตะต้นกำเนิดลงไป เขาก็พบว่าป้ายหยกสะสมคะแนนได้เปล่งพลังสีขาวราวน้ำนมออกมา จากนั้นมวลพลังดังกล่าวก็ปกคลุมไปทั่วเวทีที่เขายืนอยู่ และเริ่มจับตัวกลายเป็นของเหลวไหลเวียนไปตามลวดลายอักขระบนเวที
ครู่ต่อมาลวดลายและอักขระซับซ้อนก็ราวกับจะมีชีวิตขึ้นมา พวกมันเปล่งแสงสีขาวสว่างเจิดจ้าปกคลุมร่างต้วนหลิงเทียนเอาไว้
หลังแสงสีขาวปกคลุมร่างต้วนหลิงเทียน พวกมันก็ค่อยๆสลายหายไปราวหมอกควันต้องลม
จนเมื่อแสงขาวจางหายไปหมด ร่างต้วนหลิงเทียนบนเวทีศิลาก็ไม่อยู่แล้ว
“ท่านผู้ตรวจการฉี…มิทราบชายหนุ่มผู้นั้นเป็นใครหรือ? ไฉนท่านถึงกับต้องพามาส่งถึงที่นี่ด้วยตัวเองเล่า?”
ชายวัยกลางคนหลังโต๊ะบริการพอเห็นต้วนหลิงเทียนหายไปแล้ว ก็อดไม่ได้ที่จะหันกลับมาถามฉีเทียนหมิงด้วยน้ำเสียงเคารพ มันสงสัยจริงๆว่าชายหนุ่มชุดม่วงเป็นใครกันแน่ แววตาจึงเต็มไปด้วยความอากรู้อยากเห็นนัก
“เดี๋ยวเจ้าก็รู้เอง”
ฉีเทียนหมิงหันไปมองอาวุโสที่เอ่ยถามด้วยรอยยิ้มลี้ลับ จากนั้นก็หันหลังแล้วเดินจากห้องโถงตำหนักไปทันที
…
“ที่นี่…แดนสวรรค์ใต้โบราณระดับกลางงั้นเหรอ?”
ต้วนหลิงเทียนที่สองตาเสมือนมืดบอดไปครู่หนึ่ง พอเห็นแสงสว่างอีกครั้งเขาก็หันไปมองรอบๆทันที จึงพบว่าเขาถูกส่งมาปรากฏบนเวทีศิลาในหุบเขาอันกว้างใหญ่แห่งหนึ่ง และภายในหุบเขาแห่งนี้ก็มีอาคารเรียบง่ายตั้งอยู่ มีหลายคนยืนสนทนากันนอกอาคาร บ้างก็จับคู่ประลองกันอยู่ อย่างไรก็ตามเห็นชัดว่ายั้งมือกันไว้ไม่ลงมือหนักเกินไป
หลังจากมองสำรวจอยู่สักพัก ต้วนหลิงเทียนก็ตระหนักได้ว่า
ไม่มีข้อยกเว้น ทุกคนล้วนแล้วแต่เป็นขุนนางอมตะ 10 ทิศกันหมด
“พวกมัน…คนของคฤหาสน์เฉวียนโยวหมดเลยงั้นเหรอ?”
ลูกตาต้วนหลิงเทียนหรี่ลงเล็กน้อย ไม่ยากที่เขาจะสังเกตเห็น
บริเวณเอวของขุนนางอมตะ 10 ทิศเบื้องหน้า ล้วนแล้วแต่ห้อยป้ายประจำตัวของคฤหาสน์เฉวียนโยวเอาไว้ทุกคน และไม่ได้เป็นป้ายศิษย์ฝ่ายนอกเหมือนของเขา แต่เป็นป้ายศิษย์ฝ่ายใน
“มีคนพึ่งเข้ามาหรือ?”
และการที่ต้วนหลิงเทียนมาปรากฏตัวในหุบเขาแบบนี้ บางคนก็หันมามองด้วยความสนใจทันที
“เจ้านั่นใครกัน? ข้าไม่เคยเห็นหน้ามันมาก่อนเลย”
“ข้าก็ไม่คุ้นหน้ามันเลย…และข้าเชื่อว่าข้าจดจำขุนนางอมตะ 10 ทิศในคฤหาสน์เฉวียนโยวเราได้หมดทุกคนด้วย”
“อั้ย พวกเจ้าจะไม่รู้จักมันก็ไม่แปลกหรอก…นู่น ไม่เห็นรึไรที่เอวมันห้อยป้ายศิษย์ฝ่ายนอกเอาไว้ พลังฝีมือของมันจักมีสักเท่าไหร่เชียว?”
“นอกจากนั้น…พวกเจ้ายังไม่ได้ตรวจสอบดูหรือ เจ้านั่นอายุมันยังไม่ถึงร้อยปีด้วยซ้ำ!”
“หือ? อายุไม่ถึงร้อยรึ?”
…
เดิมทีก็มีไม่กี่สิบคนที่สนใจต้วนหลิงเทียน แต่หลังหลายคนเริ่มคุยกันดังเข้า คนอื่นๆก็หันมาให้ความสนใจเขาเช่นกัน และเริ่มคาดเดากันไปเรื่อย
หลังจากนั้นขุนนางอมตะ 10 ทิศทั้งหลายก็หยุดในสิ่งที่กำลังทำอยู่ไม่ว่าจะพูดคุยหรือประลอง และหันมาให้ความสนใจต้วนหลิงเทียนตามคนอื่นๆ
ในคฤหาสน์เฉวียนโยวนั้น ขอเพียงเป็นขุนนางอมตะ 10 ทิศที่มีฝีมือดีหน่อย ก็ไม่ยากอะไรที่จะผ่านการทดสอบเป็นศิษย์ฝ่ายใน
ด้วยเหตุนี้ขุนนางอมตะ 10 ทิศที่เข้ามาในแดนสวรรค์ใต้โบราณระดับกลางนั้น ล้วนแล้วแต่เป็นศิษย์ฝ่ายในมือดีทั้งสิ้น มีขุนนางอมตะ 10 ทิศไม่กี่คนที่เป็นศิษย์ฝ่ายนอกแต่กล้าเข้ามาเสี่ยงตายที่นี่ เพราะพวกมันอาจพบเจอยอดฝีมือของคฤหาสน์อมตะอื่นๆได้ทุกเมื่อ และถ้าศัตรูร้ายกาจจนไม่ทันได้บดขยี้ป้ายหยกสะสมคะแนนเพื่อหลบหนีออกไปก็จบกัน
เพราะถ้าหนีไม่ทัน ก็เหมือนเอาชีวิตมาทิ้งในแดนสวรรค์ใต้โบราณระดับกลางเปล่าๆ
“เจ้าศิษย์ฝ่ายนอกนั่นมันมาทำอะไรที่นี่กัน?”
“มันไม่กลัวตายรึไง?”
…
ขุนนางอมตะ 10 ทิศหลายคนขมวดคิ้วยู่ย่น
หุบเขาแห่งนี้เป็นสถานที่ตั้งค่ายของคฤหาสน์เฉวียนโยว ดังนั้นคนที่อยู่ที่นี่ก็ล้วนแล้วแต่เป็นขุนนนางอมตะ 10 ทิศของคฤหาสน์เฉวียนโยว และเป็นศิษย์ฝ่ายในเสียส่วนใหญ่
“เฮ่ เจ้าหนู ที่นี่ไม่ใช่สถานที่ๆศิษย์ฝ่ายนอกอย่างเจ้าจะมาเที่ยวเล่นนา…”
ศิษย์ฝ่ายในของคฤหาสน์เฉวียนโยวที่มีรูปลักษณ์เป็นชายหนุ่มคนหนึ่งยืนขึ้น ขมวดคิ้วกล่าวกับต้วนหลิงเทียนเสียงเข้ม
“ใช่! เจ้ารีบกลับไปเถอะ! เกิดทะเล่อทะล่าออกไปด้านนอกแล้วเจอคนของคฤหาสน์อมตะอื่นๆเข้า ข้าเกรงว่าแม้แต่โอกาสที่เจ้าจะทำลายป้ายหยกสะสมคะแนนเพื่อหนีไปยังจะไม่มี”
ชายวัยกลางคนอีกคนก็กล่าวโน้มน้าวต้วนหลิงเทียน
ได้ยินวาจาเกลี้ยกล่อมให้กลับไปของเหล่าศิษย์คฤหาสน์เฉวียนโยว ต้วนหลิงเทียนก็รู้ดีว่าทั้งหมดดูเบาเขาเพราะป้ายศิษย์ฝ่ายนอกที่ห้อยแขวนอยู่ที่เอวกับอายุ
อย่างไรก็ตาม เขาไม่สนใจเรื่องนี้
หากเขาสนใจคำดูแคลนของผู้อื่น เกรงว่าชีวิตที่อยู่มาหลายปีของเขาคงเสียเปล่าแล้ว…
“ขอบคุณทุกท่านที่เตือนสติข้า…แต่ในเมื่อข้าเลือกจะเข้ามา ข้าก็ไม่มีความคิดที่จะกลับไปเฉยๆ”
ต้วนหลิงเทียนกล่าว
หุบเขาแห่งนี้ในฐานะที่เป็นค่ายของคฤหาสน์เฉวียนโยวในแดนสวรรค์ใต้โบราณระดับกลาง มันก็มีค่ายกลเคลื่อนย้ายกลับไปคฤหาสน์เฉวียนโยวจัดตั้งเอาไว้เช่นกัน และยังเป็นเวทีศิลาที่อยู่ข้างๆเวทีศิลาที่ต้วนหลิงเทียนยืนอยู่
พอกล่าวจบคำ ต้วนหลิงเทียนก็มองไปทางออกหุบเขา จากนั้นร่างเขาก็อันตรธานหายไปโผล่ห่างจากจุดเดิม 100 หมี่ จากนั้นก็วูบหายไปโผล่ห่างออกไป 100 หมี่อีกครั้ง
ไม่ทันไร ร่างต้วนหลิงเทียนก็หายไปจากสายตาทุกคนในหุบเขาแล้ว
“เอ่อ…”
เห็นความเคลื่อนไหวดังกล่าวของต้วนหลิงเทียน เหล่าศิษย์ฝ่ายในของคฤหาสน์เฉวียนโยวก็อดไม่ได้ที่จะอึ้ง เพราะการเคลื่อนไหวของต้วนหลิงเทียนมันแปลกประหลาดมาก พวกมันไม่อาจเห็นร่องรอยใดๆได้เลย
“นั่นมัน…หรือจะเป็นความลึกซึ้ง เคลื่อนมิติ ของกฏมิติ?”
“กฏมิติ? ในบรรดาศิษย์ฝ่ายนอกมีคนที่เข้าใจกฏมิติด้วยงั้นเหรอ?”
“หากมันเข้าใจกฏมิติจริงๆต่อให้เป็นศิษย์ฝ่ายนอกก็ไม่มีทางไร้ชื่อเสียงเรียงนามแน่…ในบรรดาศิษย์ฝ่ายนอกที่โดดเด่น ข้าไม่เคยได้ยินมาก่อนว่ามีใครที่เข้าใจกฏแห่งมิติจะมีลักษณะเช่นมัน”
“หรือเจ้านั่น…มันพึ่งจะเข้าใจกฏมิติเฉพาะความลึกซึ้งเคลื่อนมิติ?”
“เป็นไปไม่ได้! ไม่ต้องกล่าวถึงเรื่องที่กฏมิติเป็น 1 ใน 4 กฏสูงสุดที่ยากเข้าใจ จนความลึกซึ้งเคลื่อนมิติไม่ใช่อะไรที่จะเข้าใจกันได้ง่ายๆ…ต่อให้มันเป็นศิษย์ฝ่ายนอกที่เข้าใจกฏมิติจริงๆ ด้วยอายุของมันเต็มที่ก็เข้าใจความลึกซึ้งของกฏมิติแค่ 2 ประการเท่านั้น…และเจ้าว่าคนที่เข้าใจความลึกซึ้งแค่ 2 ประการยังจะกล้าเข้ามาที่นี่หรือไร?”
“มิผิด! ข้าเคยเห็นศิษย์ฝ่ายนอกที่เข้าใจกฏมิติ 2 ประการคนหนึ่ง เมื่อ 3 เดือนก่อนด่านพลังของมันยังพึ่งอยู่ในขอบเขตขุนนางอมตะ 8 ชะตาเท่านั้น และไม่ได้มีหน้าตาเหมือนเจ้าหนุ่มเมื่อครู่แน่…ยิ่งไปกว่านั้นอย่าว่าแต่ขุนนางอมตะ 8 ชะตาเลย ให้เป็นขุนนางอมตะ 9 ตำหนักหรือขุนนางอมตะ 10 ทิศที่เข้าใจความลึกซึ้งได้แค่ 2-3 ประการ มีหรือจะหาญกล้าเข้ามาที่นี่?”
…
ความเคลื่อนไหวเมื่อครู่ของต้วนหลิงเทียนทำให้เหล่าศิษย์คฤหาสน์เฉวียนโยวอื้ออึงไม่น้อย และต่างสงสัยในตัวตนของต้วนหลิงเทียนเป็นอย่างมาก
“ข้าจะออกไปถามคนด้านนอกดู…”
ศิษย์ฝ่ายในคนหนึ่งทนความอยากรู้ไม่ไหว ก็โดดขึ้นเวทีศิลา จากนั้นก็เปิดใช้ค่ายกลเคลื่อนย้ายเพื่อกลับออกไปด้านนอกทันที และไม่นานนักมันก็กลับมาอีกครั้งบนเวทีศิลาข้างๆ
หลังจากมันกลับมา ก็พบพานสายตาอยากรู้ของศิษย์จำนวนมากที่จับจ้องมาที่มันเขม็ง “เมื่อครู่ข้าออกไปถามด้านนอกดูแล้ว…ทั้งหมดบอกว่าเจ้าหนุ่มนั่นเป็นคนที่ผู้ตรวจการฉีพามาส่งด้วยตัวเอง น่าจะเป็นคุณชายนายน้อยที่มีความเป็นมาไม่ธรรมดา คิดมาเที่ยวชมมากกว่า”
ได้ยินคำพูดของศิษย์ฝ่ายในที่พึ่งกลับมา หลายคนก็ตระหนักได้ว่าเป็นเรื่องราวใด
“คุณชาย นายน้อยมาเที่ยว? ไม่แปลกใจเลยที่ไฉนมันถึงกล้าเข้ามาในนี้ทั้งที่ยังมีอายุไม่ถึงร้อยปี…”
“อายุไม่ถึงร้อยปี? ให้ตายข้าเกือบลืมเรื่องนี้ไปแล้ว…เมื่อครู่มันใช้เคลื่อนมิติ ข้าก็ไม่ทันสัมผัสว่าด่านพลังมันอยู่ขอบเขตใด หรือมันจะเป็นขุนนางอมตะ 10 ทิศแล้ว?”
“ขุนนางอมตะ 10 ทิศอายุไม่ถึง 100? เจ้าล้อเล่นหรือ?”
“เจ้านั่นมันกล้าเข้ามาที่นี่ทั้งที่อายุไม่ถึงร้อยปี…มันมั่นใจอะไรจะขนาดนั้น? หรือไม่กลัวตกตายอย่างโง่งม?”
…
เหล่าศิษย์ฝ่ายในคุยกันไปคุยกันมาก็ได้แต่ส่ายหัว พวกมันรู้สึกว่าชายหนุ่มชุดม่วงเมื่อครู่ช่างหาเรื่องวอนตายดีแท้
“ข้าว่าพวกเราตามมันไปดีหรือไม่? หากมันมีความเป็นมาไม่ธรรมดาจริง เกิดพวกเราช่วยชีวิตมันไว้ ไม่แน่พวกเราอาจได้รับความโปรดปรานจากมัน อย่างไรเสียลองมันมีผู้ตรวจการฉีพามาส่งด้วยตัวเอง ข้าว่าความเป็นมามันไม่ใช่ชั่วแน่ๆ”
ชายชราคนหนึ่งกล่าวเสนอจบ ก็เหินร่างพุ่งลิ่วขึ้นฟ้า ไล่ตามต้วนหลิงเทียนไปทันที
จากนั้นก็มีอีกหลายคนที่เหินร่างตามไป
เรื่องทั้งหมดต้วนหลิงเทียนย่อมไม่รู้เป็นธรรมดา
หลังจากที่ต้วนหลิงเทียนออกจากหุบเขามา เขาก็สุ่มมุ่งหน้าไปทางหนึ่ง ไม่นานก็เหินร่างมาถึงป่าหินเปลี่ยวร้าง
หลังเหินร่างผ่านป่าหินแล้ว เขาก็พบที่ราบอันเต็มไปด้วยคราบเลือดแห้งกรังสีดำราวตะกรัน
จากสายตา ต้วนหลิงเทียนก็มองออกได้ไม่ยากว่าเป็นคราบเลือดที่แห้งไปนานแล้ว
“ดูเหมือนจะมีคนตายที่นี่ไม่น้อยเลยทีเดียว…”