War sovereign Soaring The Heavens - ตอนที่ 3191
ตอนที่ 3,191 : แดนสวรรค์ใต้โบราณระดับสูง
30 ปี ทะลวงผ่านจากราชาอมตะ 1 ต้นกำเนิดไปยังราชาอมตะ 3 ศักดิ์ ในสายตาของจ้าววังผู้พิทักษ์คฤหาสน์น้อยนับว่ารวดเร็วมากแล้ว…
อย่างไรก็ตาม ในสายตาต้วนหลิงเทียน มันเชื่องช้าเหลือเกิน…
‘ข้ามีทรัพยากรบ่มเพาะมากมายที่ทางคฤหาสน์เฉวียนโยวจัดหามาให้ แต่ 30 ปีข้ากลับบรรลุถึงแค่ราชาอมตะ 3 ศักดิ์…’
‘หากด่านพลังข้าก้าวหน้าในอัตรานี้…ไม่ใช่กว่าข้าจะทะลวงถึงราชาอมตะ 9 ตำหนัก ไม่พ้นต้องกินเวลาไปอย่างน้อย 200 ปีรึไง?’
‘แถมนี่ยังเป็นแค่ขอบเขตราชาอมตะเท่านั้น’
‘พอทะลวงถึงขอบเขตจอมราชันอมตะแล้ว กว่าจะยกระดับพลังได้สักขั้นต้องยากเย็นกว่านี้แน่ ยิ่งไม่ต้องกล่าวถึงด่านพลังจักรพรรดิอมตะเลย…’
‘และต่อให้บรรลุถึงขอบเขตจักรพรรดิอมตะ กระทั่งให้เป็นจักรพรรดิอมตะ 10 ทิศ ก็ไม่ใช่ว่าจะเหนือกว่าจักรพรรดิสวรรค์ ทว่าต่อหน้าคนของระนาบเทพ จักรพรรดิสววรรค์ยังไม่อาจนับเป็นตัวอะไร พลังระดับนั้นคงไม่พอจะช่วยทุกคนได้แน่นอน…’
พอคิดถึงจุดนี้ ต้วนหลิงเทียนก็รู้สึกเสมือนสองบ่าหนักอึ้ง แรงกดดันมหาศาลโถมถันกดทับจนเขาหายใจแทบไม่ออก
หากเขามีเวลาอีก 10,000 ปี เขาคงไม่รู้สึกหนักหนาอะไร แต่ทว่าตอนนี้เขาเหลือเวลาอีกแค่ 900 ปีเท่านั้น
เวลา 900 ปีมันน้อยเกินไป
เพราะเหตุนี้ต้วนหลิงเทียนจึงคิดจะเข้าสู่แดนสวรรค์ใต้โบราณระดับสูง เพราะในนั้นมีโอกาสที่จะทำให้เขาก้าวหน้าเร็วขึ้น!
‘ในแดนสวรรค์ใต้ยังมีโอกาสและโชควาสนา ที่ข้าสามารถฉกฉวยได้อยู่…’
หลายปีก่อน ต้วนหลิงเทียนก็เคยได้ยินจ้าววังผู้พิทักษ์คฤหาสน์น้อยกล่าวถึงเรื่องนี้มาแล้ว ว่าในแดนสวรรค์ใต้โบราณระดับสูงมีทรัพยากรที่กระทั่งคฤหาสน์เฉวียนโยวยังหามามอบให้เขาไม่ได้
เพราะเหตุนี้เอง ถึงด่านพลังเขาจะไม่ถึงกำหนดที่จ้าววังผู้พิทักษ์คฤหาสน์น้อยจะให้ไปเข้าร่วมตระกูลซูหนึ่งใน 10 ตระกูลใหญ่และ 5 นิกายหลัก แต่เขาก็คิดจะเข้าสู่แดนสวรรค์ใต้โบราณระดับสูงก่อน…
และถึงตอนนี้ด่านพลังของเขาจะยังพึ่งบรรลุถึงราชาอมตะ 3 ศักดิ์ ทว่าเขากลับสามารถเข้าใจความลึกซึ้งของกฏมิติเพิ่มขึ้นไม่น้อย
ด้วยพลังของเขาในตอนนี้ คิดจะเข้าสู่แดนสวรรค์ใต้โบราณระดับสูง ก็ถือว่ามีพลังมากพอจะดูแลตัวเองได้แล้ว
ยิ่งไปกว่านั้น เขาไม่ได้จะเข้าแดนสวรรค์ใต้โบราณระดับสูงตัวคนเดียว…
…
“อยู่ด้านในเจ้าต้องระวังให้มาก…หากเห็นท่าไม่ดีก็ให้รีบบดขยี้ป้ายหยกสะสมคะแนนแล้วหนีออกมาเสีย”
ก่อนที่ต้วนหลิงเทียนกับฮ่วนเอ๋อจะเข้าสู่แดนสวรรค์ใต้โบราณระดับสูง เจ้าวังผู้พิทักษ์คฤหาสน์น้อยก็กล่าวเตือนพวกเขาเสียงเข้มอีกรอบ
“ทราบแล้วผู้อาวุโส”
ต้วนหลิงเทียนพยักหน้ารับ จากนั้นก็พาฮ่วนเอ๋อเดินเข้าวงอาคมของจานค่ายกลทันที เข้าสู่แดนสวรรค์ใต้โบราณระดับสูง
เนื่องจากจานค่ายกลเฉพาะสำหรับเข้าสู่แดนสวรรค์ใต้โบราณ ถูกใช้ในสวนด้านหลังของวังผู้พิทักษ์คฤหาสน์น้อย เช่นนั้นไม่ว่าจะใช้ค่ายกลในเขตปลอดภัยเพื่อกลับมา หรือทำลายป้ายหยกประจำตัวเพื่อหลบหนี ก็จะถูกส่งออกมาที่นี่…
เมื่อเดินเข้ามาในวงอาคม ต้วนหลิงเทียนก็รู้สึกเสมือนเบื้องหน้ากลายเป็นมืดดำครู่หนึ่ง จากนั้นพอเห็นอีกทีต้วนหลิงเทียนก็พบว่าเขากับฮ่วนเอ๋อมาปรากฏตัวบนแท่นศิลาแท่นหนึ่ง
และรอบๆก็มีแท่นศิลาเหมือนที่เขายืนอยู่มากมาย
“ช่างเป็นสตรีที่งดงามนัก!”
และต้วนหลิงเทียนกับฮ่วนเอ๋อปรากฏตัวขึ้นได้ไม่ทันไร ก็มีราชาอมตะหลายคนที่พึ่งเคลื่อนย้ายเข้ามา มองจ้องไปที่ฮ่วนเอ๋อด้วยตาเป็นประกาย
รูปโฉมฮ่วนเอ๋อนับว่างามล้ำถึงขั้นไร้คู่เปรียบ เรียกว่าใต้หลายากพบพานสตรีเช่นนางเป็นคนที่ 2 เช่นนั้นสำหรับบุรุษทุกคนแล้ว นับว่าปลุกความสนใจได้เป็นอย่างดี
“แม่นางแสนงาม ข้านายน้อยคือ ‘หงม่านฉิว’ แห่งตระกูลหง 1 ใน 10 ตระกูลใหญ่แห่งแดนสวรรค์ใต้…มีคำกล่าวที่ว่า นกดีเลือกไม้งามทำรัง มิทราบแม่นางสนใจสลัดไอ้หนุ่มหน้าขาวนั่น แล้วมาเสพย์สุขกับข้านายน้อยหรือไม่?”
ชายหนุ่มหน้าตาธรรมดาสามัญคนหนึ่ง ก้าวอาดๆออกมามองกล่าวกับฮ่วนเอ๋อด้วยน้ำเสียงมั่นใจ
อย่างไรก็ตาม ตั้งแต่ต้นจนจบฮ่วนเอ๋อไม่ได้สนใจอะไรมันเลย
สายตาของฮ่วนเอ่ออยู่ที่ต้วนหลิงเทียนตลอด และยามนางมองต้วนหลิงเทียน แก้มงามก็คลี่ยิ้มสดใสปานบุปผาเบ่งบาน ดูงดงามยากหาใดเปรียบ
รอยยิ้มของนางยิ่งทำให้บุรุษโดยรอบใจลอยกันยกใหญ่
หลังจากนั้นก็มีผู้ที่มั่นใจในหน้าตาและฐานะตัวเอง ก้าวเข้ามาทักทายหมายทำความรู้จักฮ่วนเอ๋อมากมาย ทว่าฮ่วนเอ๋อก็ไม่สนใจใยดีใครเลย ไม่แม้แต่จะเหลือบมองด้วยซ้ำ…
ทำให้หลายๆคนเริ่มหันไปมองเขม่นต้วนหลิงเทียนแทน
“ไอ้หนูหน้าขาว เจ้าเป็นผู้ใดมาจากไหนกันหา? แล้วคนงามข้างกายเจ้าเป็นผู้ใด ไฉนนางถึงมาอยู่กับเจ้าได้?!”
“ไอ้หนู คนเราต้องครอบครองสิ่งที่เหมาะสมกับตัว ข้าคือศิษย์หลักของนิกายอมตะวิถีวายุอัสนี 1 ใน 5นิกายหลักแห่งแดนสวรรค์ใต้ ไม่ทราบเจ้าเป็นผู้ใด!?”
…
หลายคนเริ่มมองต้วนหลิงเทียน ทั้งกล่าวถามออกมาว่าต้วนหลิงเทียนเป็นใครกันยกใหญ่ หลายคนยังชักสีหน้าเขม่นต้วนหลิงเทียน ทำราวกับเขาไปฆ่าบิดาฉุดภรรยาของพวกมันมา
เป็นธรรมดาว่าพวกมันไม่เคยเห็นต้วนหลิงเทียนมาก่อน และต้วนหลิงเทียนก็ไม่รู้จักพวกมันสักคน
เหตุไฉนที่พวกมันถึงเข้ามาทัก ทั้งมองเขม่นต้วนหลิงเทียนแบบนี้ ทั้งหมดเป็นเพราะฮ่วนเอ๋อที่อยู่ข้างกายเขาทั้งสิ้น
“พวกปัญญาอ่อน!”
ต้วนหลิงเทียนเหลือบมองผู้คนรอบๆที่มาตอแยเขาเพราะฮ่วนเอ๋อด้วยสายตารำคาญ มุมปากยกยิ้มแสยะรังเกียจ กล่าวคำออกมา 4 พยางค์อย่างไม่รีบไม่ร้อน
และวาจา 4 พยางค์ดังกล่าวของต้วนหลิงเทียนก็ไม่ต่างอะไรจากแหย่รังแตนแม้แต่น้อย เรียกว่าสร้างความขุ่นเคืองให้ผู้คนถ้วนหน้า!
“ปัญญาอ่อนเจ้าว่าผู้ใด!? ไอ้หนูเจ้าปากดีเช่นนี้ แน่จริงตอนเจ้าออกจากเขตปลอดภัย ก็อย่าได้เปิดใช้อาคมล่องหนที่ใช้ได้ครั้งเดียวในป้ายประจำตัวเล่า!!”
ชายหนุ่มที่อ้างตัวว่าเป็นศิษย์หลักของนิกายวิถีวายุอัสนีเมื่อครู่ ถลึงตามองพลางตะคอกคำใส่ต้วนหลิงเทียนอย่างเอาเรื่อง
ในเขตปลอดภัยย่อมไม่มีใครหาญกล้าลงมือทำอะไรทั้งสิ้น เพราะทันทีที่ลงมือ จะถูกพลังของค่ายกลสังหารที่จอมราชันอมตะสวรรค์ใต้จัดตั้งเอาไว้พิฆาตในชั่วพริบตา
ดังนั้นต่อให้จะมีใครหลายๆคนหัวเสียที่ถูกต้วนหลิงเทียนว่ากระทบ ก็ไม่มีใครกล้าลงมือลงไม้ทำอะไร
ทุกคนไม่ว่าใครก็ตาม ทันทีที่เข้าสู่แดนสวรรค์ใต้โบราณระดับสูงเป็นครั้งแรก เมื่อไปรับป้ายหยกประจำตัวมา และหลังจากสลักชื่อทั้งหยดเลือดแล้วไม่เพียงแต่ป้ายนั่นจะทำหน้าที่เป็นป้ายหยกสะสมคะแนนกับไว้ทุบทำลายเพื่อหลบหนีเท่านั้น มันยังสามารถใช้อาคมล่องหนที่แฝงอยู่ในป้ายได้ครั้งหนึ่ง
หากกระตุ้นใช้อาคมล่องหนที่อยู่ในป้าย ก็จะไม่มีผู้ใดสามารถสัมผัสถึงการคงอยู่ได้เลย และส่วนใหญ่ผู้คนก็เลือกจะใช้มัน ตอนเดินทางออกจากเขตปลอดภัย
เนื่องเพราะอาคมล่องหนที่ว่า สามารถเปิดใช้ได้ในเขตปลอดภัยเท่านั้น ไม่อาจเปิดใช้นอกเขตปลอดภัยได้
ด้วยเหตุนี้ยามต่อสู้ช่วงชิงในแดนสวรรค์ใต้โบราณระดับสูง หากคิดจะหลบหนีเอาชีวิตรอดก็มีแต่ต้องทำลายป้ายประจำตัวทิ้ง หรือไม่ก็ใช้กำลังบุกฝ่าเข้ามายังจุดปลอดภัยเพื่อใช้ค่ายกลเคลื่อนย้ายเท่านั้น
และไม่ใช่ว่าทุกคนจะสามารถบุกฝ่ากลับมาใช้ค่ายยกลเคลื่อนย้ายได้
เพราะบริเวณใกล้ๆเขตปลอดภัยทุกจุด จะมีผู้คนที่ซุ่มดักรอคนที่คิดจะกลับออกไปจากแดนสวรรค์ใต้โบราณระดับสูงเสมอ…
และหลังจากศิษย์หลักของนิกายวิถีวายุอัสนีกล่าวท้าต้วนหลิงเทียน ก็มีบุรุษอีกหลายคนที่หมายปองฮ่วนเอ๋อและหมั่นไส้ต้วนหลิงเทียน ก้าวออกมากล่าวท้าต้วนหลิงเทียนกันใหญ่
อย่างไรก็ตาม ต้วนหลิงเทียนไม่ได้ใส่ใจพวกมันแม้แต่น้อย ก้าวอาดๆพาฮ่วนเอ๋อไปยังชั้นศิลาที่ตั้งอยู่ไม่ไกล และหยิบป้ายหยกที่มีแจกไว้ขึ้นมา 2 ป้าย
ป้ายหยกดังกล่าวสามารถสลักชื่อลงไปได้ตามใจ เรียกว่าจะใช้ชื่อแซ่ที่แท้จริงหรือชื่อปลอม กระทั่งนามแฝงก็ได้ทั้งนั้น
“ต้วนหลิงเทียน”
อย่างไรก็ตาม ต้วนหลิงเทียนไม่คิดจะใช้นามแฝงอะไร เลือกจะใช้ปลายนิ้วสลักชื่อตัวเองลงไปบนป้ายหยก
ฮ่วนเอ๋อที่รับบ้ายไป ก็สลักชื่อฮ่วนเอ๋อลงไปเช่นกัน
และถึงแม้ฮ่วนเอ๋อจะไม่มีผู้ใดสอนให้เขียนอ่าน แต่นางก็ได้รับความทรงจำที่สืบทอดจากมรดกความทรงงจำของจิ้งจอกน้ำแข็งพันมายา ทำให้นางรู้เรื่องราวพื้นฐานพวกนี้ดี โดยไม่ต้องให้ใครสอน
ครู่ต่อมา ต้วนหลิงเทียนกับฮ่วนเอ๋อก็ทำการหยดเลือดลงบนตัวป้าย เพื่อให้มันจดจำเจ้าของ จากนั้นทั้งคู่ก็สัมผัสได้ถึงความเชื่อมโยงระหว่างป้ายกับตัวเอง
“ฮ่วนเอ๋อ พวกเราไปกันเถอะ”
ต้วนหลิงเทียนกล่าวทักฮ่วนเอ๋อ ก่อนที่จะเหินร่างหมายออกนอกเขตปลอดภัย
ไม่มีผู้ใดล่วงรู้ว่าในแดนสวรรค์ใต้โบราณระดับสูงแห่งนี้มีเขตปลอดภัยกี่แห่งกันแน่ ที่สำคัญทุกครั้งที่เข้ามา ก็ไม่แน่ว่าจะปรากฏตัวในเขตปลอดภัยที่เดิมเสมอไป
อย่างไรก็ตาม หากท่านคิดจะออกจากแดนสวรรค์ใต้โบราณระดับสูงล่ะก็ ท่านจำต้องใช้ค่ายกลเคลื่อนย้ายของเขตปลอดภัยที่ท่านปรากฏตัวตอนเข้ามา
เช่นเดียวกับต้วนหลิงเทียนและฮ่วนเอ๋อ หากอยู่ในแดนสวรรค์ใต้โบราณระดับสูงจนเบื่อหรือมีธุระต้องออกไปด้านนอก จึงอยากใช้ค่ายกลเคลื่อนย้ายเพื่อกลับไปยังวังผู้พิทักษ์คฤหาสน์น้อยล่ะก็ จำต้องย้อนกลับมาที่เขตปลอดภัยแห่งนี้
หาไม่แล้วก็มีแต่ต้องทำลายป้ายหยกประจำตัวเท่านั้น
อย่างไรก็ตาม เมื่อทำลายป้ายหยกประจำตัวไปแล้ว คะแนนสะสมในป้ายก็จะหายไปหมดสิ้น ซึ่งไม่ต่างอะไรกับคนพึ่งเข้ามาใหม่เลย…
“หืม?”
ในขณะที่ต้วนหลิงเทียนกับฮ่วนเอ๋อเหินร่างออกจากเขตปลอดภัย ทั้งคู่ก็ไม่ได้ใช้อาคมล่องหนที่ใช้ได้ครั้งเดียวในป้าย กลับเหินร่างออกไปตรงๆต่อหน้าต่อตาทุกคน
เห็นฉากดังกล่าว ก็ทำให้ผู้คนในเขตปลอดภัยยอดไม่ได้ที่จะอึ้งไปอยู่บ้าง
“เจ้าสองคนหน้าใหม่นั่น…มันหาญกล้าขนาดนี้เชียว?”
“ปกติแล้วในแดนสวรรค์ใต้โบราณระดับสูง ผู้ที่จะออกจากเขตปลอดภัยโต้งๆเช่นนี้ ล้วนแล้วแต่เป็นราชาอมตะชนชั้นยอดฝีมือมิใช่หรือไร?”
“หรือพวกมันทั้งคู่ ก็เป็นยอดฝีมือด้วย?”
“ข้าไม่เคยได้ยินมาก่อนเลย ว่าในแดนสวรรค์ใต้โบราณระดับสูงมีสตรีที่งดงามเช่นนั้นนอยู่ด้วย…อาศัยรูปโฉมนั่นของนาง หากนางบอกว่าตัวเองเป็นที่ 2 ข้าเกรงว่าคงไม่มีใครในแดนสวรรค์ใต้กล้าพูดว่าเป็นที่ 1! และจากลักษณะแล้ว นางมิใช่ศิษย์ที่แท้จริงของนิกายอมตะร้อยบุปผา โอวหยางอวี่เวย ที่ลือกันว่าเป็นโฉมงามอันดับ 1 แห่งแดนสวรรค์ใต้คนนั้นแน่”
“พี่ชายท่านนี้กล่าวถูกแล้ว นางมิใช่แม่นางโอวหยางอวี่เวยจริงๆ เพราะข้าเคยเห็นแม่นางโอวหางอวี่เวยมาครั้งหนึ่ง…และข้าขอกล่าวไว้ตรงนี้เลย ว่าแม่นางผู้นี้งดงามยิ่งกว่าแม่นางโอวหยางอวี่เวยเสียอีก! ตอนยังไม่เห็นนาง ข้าก็คิดว่าแม่นางโอวหยางอวี่เวยงดงามเลิศภพจบแดน แต่มาวันนี้ข้ารู้แล้วว่าตัวข้ายังเห็นโลกไม่พอ…”
“คนแปลกหน้า 2 คน…กล้าออกจากเขตปลอดภัยแบบโจ่งแจ้ง นี่พวกมันไม่กลัวถูกจัดการเอาง่ายๆหรือไร?”
“เฮ่อ คนที่มั่นใจในตัวเองก็เช่นนี้ล่ะ หากเจ้าพลังฝีมือสูงถึงขั้น ไหนเลยต้องหวาดกลัวอันใดด้วย”
“ที่สำคัญเคล็ดวิชาปกปิดพลังของทั้งคู่ก็เลิศล้ำนัก ข้ามิอาจตรวจสอบพลังฝึกปรือของพวกมันได้เลย…”
…
ท่ามกลางสายตาที่มองจ้องมาด้วยความประหลาดใจหลายต่อหลายคู่ในเขตปลอดภัย ในที่สุดต้วนหลิงเทียนกับฮ่วนเอ๋อก็เหินร่างตัวปลิวออกจากเขตปลอดภัยไปเรียบร้อย
เขตปลอดภัยที่ว่า ก็เหมือนเกาะลอยขนาดมหึมาที่ลอยล่องอยู่ท่ามกลางความว่างเปล่า
และสภาพแวดล้อมโดยรอบๆ ก็ค่อนข้างมืดมนทั้งอึมครึมนัก
เพราะตอนนี้ไม่ว่าจะมองไปทางใด ก็พบเห็นแต่แผ่นฟ้าอันมืดมน และผืนดินสีแดงฉานปานจะถูกชะย้อมไปด้วยโลหิต
‘แดนสวรรค์ใต้โบราณระดับสูง…เอาแค่สภาพแวดล้อมก็ไม่ใช่อะไรที่แดนสวรรค์ใต้โบราณระดับกลางจะเทียบได้แล้ว แถมเห็นว่าขนาดยังกว้างใหญ่ไพศาลกว่ากันหลายร้อยเท่า ไม่รู้จอมราชันอมตะสวรรค์ใต้ใช้เวลาสร้างนานเท่าไหร่กันแน่ ที่รู้ๆคือมันต้องลงทุนลงแรงไปไม่น้อย…’
ถึงแม้ฉากในแดนสวรรค์ใต้โบราณระดับกลางจะเสมือนทำมาให้ผู้คนเข่นฆ่ากันโดยเฉพาะ แต่เรียกว่ายังด้อยกว่าที่นี่มาก!
ในนี้แค่อยู่เฉยๆไม่ได้ไปไหนหรือทำอะไร ต้วนหลิงเทียนก็สัมผัสได้ถึงแรงกดดันในบรรยากาศประการหนึ่ง
แรงกดดันที่ว่าเป็นกลิ่นอายบางงประการที่เสมือนจะปลุกเร้าอารมณ์ผู้คนให้ลุกฮือออกไปเข่นฆ่า ทำให้ผู้คนรู้สึกเสมือนตัวเองอยู่ในสนามรบโบราณทำนองนั้น
ไม่ทันไร ต้วนหลิงเทียนก็พาฮ่วนเอ๋อเหินร่างออกห่างเขตปลอดภัยมาได้สักพัก เรียกว่าหากคิดจะย้อนกลับไปตอนนี้ ก็ต้องมีหลายสิบลมหายใจ
“ฮ่วนเอ๋อ ดูเหมือนพวกเราจะถูกล้อมแล้วล่ะ…”
อันที่จริงตั้งแต่ตอนที่เริ่มเหินร่างพ้นเขตปลอดภัยออกมา ต้วนหลิงเทียนก็สัมผัสได้ถึงสำนึกเทวะมากมายที่แผ่มาเพ่งเล็งบนร่างเขา
ในบรรดาสำนึกเทวะเหล่านั้น มีทั้งที่มาจากคนในเขตปลอดภัยเอง รวมถึงคนที่ซุ่มซ่อนอยู่นอกเขตปลอดภัยแต่แรก
แต่จนบัดนี้พวกมันก็ยังไม่ลงมือ เห็นได้ชัดว่าจะในเขตปลอดภัยก็ดี หรือคนที่ซุ่มซ่อนนอกเขตปลอดภัยก็ดี ล้วนเฝ้ารอให้เหยื่อออกห่างจากเขตปลอดภัยก่อนถึงจะลงมือ
อีกอย่างก็เป็นเพราะไม่มีใครสามารถตรวจสอบพลังฝึกปรือของต้วนหลิงเทียนและฮ่วนเอ๋อได้เลย
“หืม? สตรีนางนั้น…ดูเหมือนจะยังมีอายุไม่ถึงร้อยปี!”
ท่ามกลางความมืดมิดนอกเขตปลอดภัย ร่าง 3 ร่างที่ซ่อนตัวอยู่ในความมืด เป็นชายหนุ่มหนึ่งในนั้นที่กำลังมองจ้องฮ่วนเอ๋อไม่วางตา กล่าวพึมพำออกมาเบาๆ “แถมสตรีนางนั้น…เป็นสตรีที่งดงามที่สุดเท่าที่ข้าเคยเห็นมาชั่วชีวิตจริงๆ”
“นางอายุไม่ถึงร้อยปีจริงๆ…”
“ให้ตายเถอะ ยังเยาว์ถึงเพียงนี้…”
และพออีก 2 คนได้ยินเสียงพึมพำของชายหนุ่มดังกล่าว พวกมันก็อดไม่ได้ที่จะประหลาดใจและเร่งตรวจสอบทันที
“หึ!”
ทันใดนั้นเอง พร้อมๆกับที่เสียงพ่นลมสบถเยียบเย็นดังขึ้น พลันปรากฏร่างหนึ่งวูบมาขวางหน้าต้วนหลิงเทียนกับฮ่วนเอ๋อเอาไว้!
“เจ้านั่น…ศิษย์หลักของนิกายวิถีวายุอัสนี จวินวั่งเฉิน”
หลายคนที่ซ่อนตัวในความมืด มองไปปราดเดียวก็สามารถจดจำร่างที่โผล่มาขวางต้วนหลิงเทียนกับฮ่วนเอ๋อได้ทันที…