War sovereign Soaring The Heavens - ตอนที่ 3203
WSSTH ตอนที่ 3,203 : นิกายวิถีวายุอัสนี
“ราชาอมตะ 3 ศักดิ์คนหนึ่งคิดจะกักขังพวกเรางั้นเหรอ ตัวโง่งมฝันละเมอ!!”
“อาศัยกรงมิติง่อยๆของเจ้าจักมีปัญญาทำอะไรได้? ข้าลำบากเพียงยกมือก็ทำลายมันได้แล้ว!!”
…
แม้จะเห็นว่าผนังทุกด้านของกรงมิติมิติลูกบาศก์ลุกท่วมไปด้วยเปลวเพลิงสีทอง ทั้ง 4 คนนั้นก็ไม่ได้ยึดถือเป็นจริงเป็นจังอะไร
ครู่ต่อมาทั้ง 4 ก็ลงมือพร้อมเพรียง หมายทำลายกรงมิติให้แหลกลง!
‘ผ่ามิติ’
ทว่าในขณะที่ทั้ง 4 กำลังลงมือ ต้วนหลิงเทียนอาศัยหนึ่งห้วงคิด ความว่างเปล่านอกกรงมิติ ก็เริ่มปรากฏรอยแยกมิติมืดดำ มองไปคล้ายอสูรกาย 3 ตัวอ้าปากกว้าง
พริบตาต่อมา
ซัว! ซัว! ซัว!
คมมีดมิติสีเทา 3 สายพุ่ออกมาจากรอยแยกมิติฉับไว จากนั้นก็อุบัติเพลิงสีทองลุกโชนท่วมทั่ว
‘ส่งผ่าน’
แววตาต้วนหลิงเทียนเปลี่ยนไปวาบหนึ่ง คมมีดมิติทั้ง 3 ก็ถูกเคลื่อนย้ายข้ามมิติไปปรากฏภายในกรงมิติลูกบาศก์สีทองในฉับพลัน!
ทั้ง 4 คนที่ออกกระบวนท่าหมายทำลายกรงมิติ ก็หันมาให้ความสนใจคมมีดมิติทั้ง 3 ที่อยูๆก็อุบัติขึ้นมาภายในกรงทมันที!
ตอนนี้ทั้ง 4 ไม่ว่าใคร ก็นำอุปกรณ์อมตะของตัวเองออกมาใช้กันเต็มกำลังยางไม่ประมาท
ทั่วร่างแต่ละคนปรากฏเงาร่างชุดเกราะแปลกตาขึ้นมา ไม่ว่าจะเงาชุดเกราะหนัก เงาชุดคลุมประหลาด หรือมีแม้กระทั่งเงาร่างคล้ายเสื้อธรรมดาๆ
แต่ทั้งหมดคือเกราะอมตะระดับราชาที่พวกมันมี
จังหวะนี้ถึงแม้พวกมันจะรู้ว่าต้วนหลิงเทียนเป็นแค่ราชาอมตะ 3 ศักดิ์ แต่ทุกคนก็ยังรู้สึกว่าการโจมตีด้วยความลึกซึ้งผ่ามิติของต้วนหลิงเทียนสามารถคุกคามพวกมันได้
ซัว! ซัว! ซัว!
3 คมมีดมิติทะยานผ่านความว่างไปฉับไว เพ่งเล็งสังหารไปยัง 3 ใน 4 ร่าง!
ทั้ง 3 ที่สัมผัสได้ว่าตัวเองถูกคมมีดมิติเพ่งเล็ง กระบวนท่าที่แต่เดิมหมายจะใช้เพื่อทะลายฝ่ากรง ก็เบนเป้าไปซัดทำลายใส่คมมีดมิติอันเต็มไปด้วยเพลิงทองลุกโชนทันที
อย่างไรก็ตามกระบวนท่าของพวกมันที่มั่นใจนักหนาว่าต้องสลายคมมีดมิติได้แน่ๆ แต่ไม่คิดเลยว่าเพียงทำให้เพลิงพลังสีทองที่กคลุมอยู่เสมือนอ่อนโทรมลงเท่านั้น ตัวคมมีดมิติยังเข่นฆ่าสังหารเข้าใส่พวกมันไม่เลิกรา ทำให้สีหน้าพวกมันเปลี่ยนไปใหญ่หลวง
“แย่แล้ว!!”
“อะไรกัน!? ไฉนผ่ามิติของมันมันทรงพลังนักเล่า!?”
…
เรียกว่าทั้ง 3 หน้าเสียจนดูไม่เป็นคน
ขณะเดียวกัน การโจมตีของคนที่ 4 ก็ซัดกระทบเข้ากับผนังกรงมิติที่ฉาบไปด้วยเพลิงพลังสีทองเข้าอย่างจัง และก็ทำได้แค่ทำให้เพลิงพลังสีทองดับหายไปด้านหนึ่งเท่านั้น
ทว่าตัวกรงมิติจริงๆยังคงอยู่ดี ไม่สะทกสะท้านอะไรเลย…
ฟั่ฟฟฟฟ!!
และในขณะที่ทั้ง 4 กำลังอื้ออึงกับเรื่องราวอันไม่คาดฝันนั้นเอง พลันปรากฏเสียงเสียดแก้วหูหนึ่งดังขึ้น
ไม่ทราบว่าเมื่อไหร่ หากแต่ต้วนหลิงเทียนได้วูบร่างมาผุดโผล่เบื้องหน้ากรงมิติ และยืนประจัญหน้ากับทั้ง 4 ห่างไปไม่กี่ก้าว และเสียงแหวกฝ่าอากาศฉับไวที่ว่า ก็คือเสียงตวัดกระบี่ด้วยความเร็วสูงล้ำจนน่ากลัว! พวกมันแลเห็นไม่ชัดว่าเป็นกระบี่อะไร เพียงรู้ว่ามันเปล่งแสง 7 สีสว่างเจิดจ้าเหลือเกิน!!
กระบี่ในมือต้วนหลิงเทียนที่ตวัดฟันออกไป ก็คือกระบี่หลิงหลง 7 เปลี่ยนที่ไม่ได้ใช้มานานนั่นเอง
ถึงแม้ในปัจจุบันหวงเอ้อจะยังผสานเข้ากับกระบี่หลิงหลง 7 เปลี่ยนไม่สมบูรณ์ ยังไม่ได้กลายเป็นจิตวิญญาณกระบี่หลิงหลง 7 เปลี่ยนที่แท้จริง แต่ก็ทำให้พลังอำนาจของตัวกระบี่เพิ่มขึ้นไม่น้อย
“ไม่จริง!”
“กระบี่ของมัน…ระดับใดกันแน่!?”
…
ทั้ง 4 ที่ได้ยินเสียงตวัดกระบี่เสียดแก้วหู กว่าจะดึงสติกลับมาได้ และกว่าจะรู้ตัวว่ากระบี่ในมือต้วนหลิงเทียนไม่ธรรมดา ทุกสิ่งทุกอย่างก็สายไปเสียแล้ว…
สัวะ! สัวะ! สัวะ! สัวะ!
รังสีกระบี่เปล่งประกายสวว่างวาบหนึ่ง สีสันในโลกหล้าปานจะถูกแสงกระบี่นี้ย้อมกลบ พอแสงสว่างซาลง หนึ่งกระบี่ที่ตวัดฟันออกไปเมื่อครู่ ก็ซัดลำแสงกระบี่เจาะทะลวงหว่างคิ้วร่างทั้ง 4 ไปเรียบร้อย และ 3 ใน 4 ร่างไม่เพียงแต่จะโดนแสงกระบี่เจาะทะลวงหว่างคิ้ว ร่างยังโดนคมมีดมิติผ่าซ้ำให้ศพไม่สวยอีก..
แน่นอนว่าไม่มีใครในบรรดาพวกมันสามารถทำลายป้ายหยกประจำตัวจนหนีไปได้เลย เรียกว่าไม่มีแม้แต่เวลาจะหยิบป้ายออกมาด้วยซ้ำ…
ในขณะที่ต้วนหลิงเทียนลงมือฆ่าคนทั้ง 4 จนตาย ทางด้านฮ่วนเอ๋อ ที่อาศัยพลังสายเลือดทั้งใช้แหวน 9 วิญญาณหยินหยาง ก็สามารถฆ่าทั้ง 5 คนที่มากลุ้มรุมนางลงได้เช่นเดียวกัน
9 คนที่มาปิดล้อมต้วนหลิงเทียนกับฮ่วนเอ๋อ แม้ทุกคนจะเข้าใจความลึกซึ้งของกฏครบ 9 ประการถึงขั้นตอนความสำเร็จเบื้องต้น แต่ก็มีไม่กี่คนเท่านั้นที่เข้าใจความลึกซึ้งบางประการถึงขั้นตอนเล็กน้อย
น่าเสียดายที่คนไม่กี่คนที่เข้าใจความลึกซึ้งถึงขั้นตอนเล็กน้อยนั่น ความลึกซึ้งที่พวกมันเข้าใจ ดันไม่ได้มุ่งเน้นไปในการจู่โจมหรือเสริมความเร็วเป็นหลัก ทำให้พลังต่อสู้ของพวกมันก็แค่ครึ่งๆกลางๆไม่โดดเด่นอะไร
เมื่อเผชิญหน้ากับต้วนหลิงเทียนและฮ่วนเอ๋อที่เข้าใจกฏมิติอันทรงพลัง อาศัยพลังครึ่งๆกลางๆของพวกมัน การปิดล้อมครั้งนี้ก็ไม่ต่างอะไรจากแมงเม่าบินเข้ากองไฟโดยแท้
“พวกเราไปกันเถอะ ฮ่วนเอ๋อ”
ในขณะที่ กระบี่หลิงหลง 7 สลายเป็นแสงผสานเข้าไปในร่าง ต้วนหลิงเทียนก็หันไปเอ่ยทักฮ่วนเอ๋อ จากนั้นทั้งคู่ก็เดินไปยังประตูที่เปิดออกด้านหนึ่งของห้องโถง
จากนั้นภายในห้องโถง ก็คงเหลือแต่ซากศพทั้ง 9 พร้อมโลหิตเจิ่งนองคาวคลุ้ง
แน่นอนว่าก่อนออกจากห้องโถงไป ต้วนหลิงเทียนก็ไม่ลืมสะบัดมือริบสินสงครามจากศพพวกมันมาเก็บไว้
…
นิกายวิถีวายุอัสนี เป็น 1 ใน 5 นิกายหลักของแดนสวรรค์ใต้
ทว่าอยู่ดีๆวันนี้ จวนหลังหนึ่งในนิกายวิถีวายุอัสนี ก็ปรากฏเสียงคำรามด้วยโทสะดังลั่นสนั่นทุ่งขึ้นมา “เหอเอ้อ!!”
พริบตาต่อมาท่ามความสะดุ้งงตกใจของศิษย์นิกายวิถีวายุอัสนี ร่างชราหนึ่งก็พุ่งออกมาจากจวนหลังนั้นด้วยสีหน้าบิดเบี้ยวอัปลักษณ์ดูไม่ได้
ร่างชราดังกล่าวเป็นถึงรองจ้าวหอคุมกฏแห่งนิกายวิถีวายุอัสนี จวินฉงซาน!
“เกิดอะไรขึ้นกัน? เป็นผู้ใดทำให้รองจ้าวหอมีโทสะขนาดนี้?”
“อืม ข้าจำได้ว่าเมื่อไม่กี่เดือนก่อนก็มีฉากทำนองนี้เกิดขึ้น…และตอนนั้นก็เป็นศิษย์พี่จวินวั่งเฉินหลานชายของรองจ้าวหอคุมกฏ ที่ตกตายในแดนสวรรค์ใต้โบราณระดับสูง”
“ใช่แล้วศิษย์พี่ ข้าเองก็ได้ยินมาเหมือนกันว่าหลังจวินวั่งเฉินตกตาย ศิษย์พี่หญิงจวินชิวเหอที่เป็นพี่สาวแท้ๆของมัน ก็ไปตระเวนหายอดฝีมือในแดนสวรรค์ใต้โบราณระดับสูงมากมาย เพื่อว่าจ้างไปฆ่าคนร้ายที่เข่นฆ่าจวินวั่งเฉิน นับจากเวลาตอนนี้ก็สมควรเป็นช่วงที่ทุกคนในตางรางจัดอันดับถูกส่งตัวไปยังแดนลับสมบัติ…คงไม่ใชว่าเจอตัวคนร้ายแล้วหรอกนะ?”
“ข้าว่าชัดเจน…ดูทรงแล้ว ศิษย์พี่จวินชิวเหอไม่พ้นเกิดเรื่องอีกคนแน่แท้”
…
เหล่าศิษย์นิกายวิถีวายุอัสนีได้แต่มองคาดเดาไปเรื่อย หากแต่เหล่าอาวุโสที่ล่วงรู้เรื่องราวมากกว่าก็ตระหนักได้ทันทีว่าเกิดอะไรขึ้น ทั้งหมดยังตระหนักได้ว่า เกิดเรื่องกับจวินชิวเหอแล้ว!
“รองจ้าวหอจวิน…เกิดอะไรขึ้น?”
ทันใดนั้นเองปรากฏร่างหนึ่งเหินพุ่งขึ้นฟ้ามาหยดลงเบื้องหน้าจวินฉงซานพลางถาม
“นั่นรองจ้าวหอทะลวงฟัน อู่กัง!”
ศิษย์หลายยคนรู้จักชายชราร่างใหญ่ที่อยู่ๆก็เหินร่างขึ้นมาปรากฏกายกันดี ลูกตาของพวกมันยังอดหดเล็กลงไม่ได้
เพราะตอนนี้ทั้ง 2 ร่างที่เหินลอยอยู่กลางหาวนั่น ก็คือชนชั้นรองจ้าวหอที่มีอำนาจในนิกายวิถีวายุอัสนีของพวกมันไม่น้อยเลย
เพียง 2 ร่างลอยล่องอยู่เฉยๆ ก็ทำให้พวกมันรู้สึกกดดันมากแล้ว นับประสาอะไรกับรองจ้าวหอคุมกฏจวินฉงซานกำลังอยู่ในอารมณ์เดือดดาลปานจะฆ่าคนแบบนี้!
“ชิวเหอ…ตายแล้ว”
จวินฉงซานกล่าวด้วยน้ำเสียงหนักอึ้ง สองหมัดกำแน่น พลังเซียนอมตะต้นกำเนิดปะทุออกมาอย่างไม่อาจควบคุม กลิ่นอายพลังอันน่าเกรงขามกวาดสะท้านออกไปทั่วสารทิศ
เหล่าศิษย์นิกายวิถีวายุอัสนีที่พลังฝึกปรือไม่สูง ล้วนหน้าเปลี่ยนสีทันที ทั้งหมดเร่งรุดเหินร่างออกไปให้ห่างจววินฉงซานทันที
“อะไร?”
ลูกตาอู่กังหดเล็กลงทันที “จวินชิวเหอ…ก็ตกตายแล้วหรือ!?”
ในขณะที่อู่กังงกำลังตกใจ ร่างจวินฉงซานก็เหินพุ่งตัดฟ้าหายไปต่อหน้าต่อตาทุกคน
“จวินชิวเหอ…ตายแล้วจริงๆ?”
“ให้ตายเถอะ! ที่พวกเราเดากันล้วนถูกเผงเลย สตรีนามฮ่วนเอ๋อในแดนสวรรค์ใต้โบราณระดับสูง สมควรฆ่าจวินชิวเหอพร้อมคนที่นางจ้างไปหมดแล้ว…”
“ร้ายกาจจริงๆ…หากนางมีพลังฝีมือทำอะไรแบบนั้นได้ น่ากลัวว่าพลังของสตรีนามฮ่วนเอ๋อผู้นั้น สมควรติดอยู่ใน 10 อันดับแรกได้แล้วเป็นแน่”
“ว่าแต่ทางงที่รองจ้าวหอจวินเหาะไปนั่น…ไม่ใช่ว่าเป็นจวนของรองประมุขหรือไร?”
“หากข้าเดาไม่ผิดรองจ้าวหอจวินสมควรไปหารองประมุขโฮ่ว เพื่อร้องขอให้ประมุขโฮ่วช่วยติดต่อลูกชายอย่าง โฮ่วตงเฉวียน ให้ลงมือล้างแค้นให้จวินวั่งเฉินกับจวินชิวเหอแน่นอน”
…
ในขณะที่เหล่าศิษย์และอาวุโสของนิกายวิถีวายุอัสนีกำลังซุบซิบคุยกัน รองจ้าวหอคุมกฏจวินฉงซาน ก็ได้มาถึงจวนที่พักของรองประมุขนนิกายวิถีอัสนี โฮ่วเจิน เรียบร้อย
“รองประมุขโฮ่ว ขอท่านแจ้งให้โฮ่วตงเฉวียนบุตรท่าน ช่วยลงมือล้างแค้นให้หลานชายกับหลานสาวของข้าด้วย!”
เมื่อจวินฉงซานพบเจอโฮ่วเจิน สิ่งแรกที่มันทำก็คือประสานมือก้มหัวร้องขอออกมา และไม่เงยหน้าอยู่นาน ราวกับหากโฮ่วเจินไม่ตอบรับมันจะไม่เงยหน้าขึ้นมา
“รองจ้าวหอจวิน ที่แท้มันเรื่ออะไรกัน? ท่านเงยหน้าขึ้นมาแล้วกล่าวเรื่องราวก่อนเถอะ”
โฮ่วเจินกล่าวด้วยท่าทางตกใจ
หลังจากนั้นภายใต้การเล่าเรื่องราวของจวินฉงซาน ในที่สุดโฮ่วเจินก็เข้าใจสถานการณ์ทันที “ท่านจะบอกว่า…หลานชิวเหอ ได้ไปจ้างวานยอดฝีมือ 8 คนที่ติดอยู่ใน 30 อันดับแรกของแดนสวรรค์ใต้โบราณระดับสูงแล้ว แต่สุดท้ายยังตกตายด้วยน้ำมือของสตรีนามฮ่วนเอ๋องั้นรึ?”
“รองจ้าวหอจวิน ท่านใช่เข้าใจอะไรผิดพลาดหรือไม่…มิใช่ว่าหลานชิวเหอเพลี่ยงพล้ำตกตายเพราบดทดสอบในแดนลับสมบัติหรอกนะ?”
โฮ่วเจินกล่าวคาดเดา
“เป็นไปไม่ได้!”
จวินฉงซานส่ายหัวไปมา “ก่อนที่เหอเอ้อจะลงมือกับสตรีนางนั้น นางพึ่งส่งข้อความแจ้งมาว่าพบเจอคนร้ายในห้องโถงแดนลับสมบัติแล้ว…และหลังจากที่นางส่งข้อความนี้มาได้ไม่นานนัก นางก็ตาย”
“ในตอนนั้นจากที่ข้าฟัง ในโถงกลางของแดนลับสมบัติ ไม่พ้นเหลือแต่นางกับคนของนาง และสตรีนามฮ่วนเอ๋อกับชายหนุ่มนามต้วนหลิงเทียน”
จวินฉงซานกล่าว
“แล้วหลานชิวเหอไปจ้างผู้ใดมาบ้าง ท่านรู้จักหรือไม่?”
โฮ่วเจินเอ่ยถาม
“ข้าพอรู้จักอยู่บ้าง…และข้าก็พอรู้จักผู้อาวุโสของบางคน หลังติดต่อไปถาม จึงพบว่าคนที่เหอเอ้อจ้างล้วนตกตายหมดสิ้น!”
สีหน้าจวินฉงซานบัดนี้ บิดเบี้ยวอัปลักษณ์นัก!
ด้านโฮ่วเจินพอได้ฟัง ลูกตามันก็หดเล็กลงเร็วไว “หาก 2 คนนั่นสามารถฆ่าหลานสาวท่านกับทั้ง 8 คนนั่นได้…ข้าเกรงว่าพลังฝีมือของพวกมัน ต่อให้เทียบกับ โฮ่วตงเฉวียน ลูกชายข้า ก็ไม่น่าจะด้อยกว่ามากนัก”
“รองจ้าวหอจวิน ข้าจะส่งข้อความไปหาลูกชายให้ไปลองดู…แต่ข้าไม่อาจรับปากท่านได้ ว่าลูกชายข้าจะมีพลังพอเข่นฆ่าพวกมัน…”
โฮ่วเจินกล่าว
“รองประมุขโฮ่ว หากแม้แต่โฮ่วตงเฉวียนยังไม่อาจทำอะไรพวกมันได้ เช่นนั้นข้าก็ได้แต่ทำใจแล้ว!”
จวินฉงซานกัดฟันกล่าว
…
ณ แดนสวรรค์ใต้โบราณระดับสูงง
โฮ่วตงเฉวียนที่แยกตัวออกมาท่องไปทั่วแดนลับสมบัติระดับ 1 หมายหาสมบัติล้ำค่า อยู่ๆก็ได้รับข้อความหนึ่งติดต่อมา และเป็นบิดาของมันเอง
“ต้วนหลิงเทียน กับฮ่วนเอ๋อ…ฆ่าจวินชิวเหอ?”
“ยิ่งไปกว่านั้น จวินชิวเหอยังพาพวกไปด้วย 8 คน?”
ต้องบอกเลยว่าทันทีที่โฮ่วตงเฉวียนได้รับข้อความดังกล่าว มันหวาดกลัวไม่น้อย
ต้องทราบด้วยว่าลำพังจวินชิวเหอเองพลังฝีมือก็ไม่ใช่ชั่ว และคนทั้ง 8 ที่นางรวบบรวมมาก็ล้วนติดอยู่ใน 30 อันดับแรกทั้งสิ้น ทั้งหมดไม่ใช่คนอ่อนแอไร้สามารถ
อย่างไรก็ตามกระทั่งกลุ้มรุมกัน 9 คนแต่ยังถูกต้วนหลิงเทียนกับฮ่วนเอ๋อเข่นฆ่าจนเหี้ยน?
“ท่านพ่อ หากที่ท่านพูดเป็นความจริง…ข้าไม่น่าจะไหว”
โฮ่วตงเฉวียนกล่าวออกเสียงเข้ม
“หากสบโอกาสเจ้าก็ลองไปหยั่งเชิงพวกมันดูก่อนเถอะ…แต่อย่าได้เผยทีท่าคิดร้ายหมายฆ่าฟันอันใดต่อพวกมันเด็ดขาด! เพราะเท่าที่ข้ารู้มาทั้งคู่มิได้ฆ่าคนตามอำเภอใจ เว้นเสียแต่ผู้อื่นจะคิดฆ่าพวกมันก่อน หาไม่แล้วพวกมันก็ไม่ได้เข่นฆ่าสังหารผู้ใดอย่างอำมหิต”
โฮ่วเจินกล่าว
และนี่เป็นเหตุผลสำคัญว่าไฉนมันถึงบอกจวินฉงซานว่าจะให้ลูกชายของมันไปลองดูก่อน
ต้วนหลิงเทียนกับฮ่วนเอ๋อ ไม่ได้ฆ่าคนตามใจชอบ
หาไม่แล้วมันไม่มีทางปล่อยให้ลูกชายเอาชีวิตไปเสี่ยงเพื่อลูกหลานคนอื่นหรอก!
“ถ้าแค่ลองดูก็ไม่มีปัญหาอะไร”
โฮ่วตงเฉวียนระบายลมหายใจออกมาอย่างโล่งอก จากนั้นสองตามันก็ทอประกายยวาบหนึ่ง เร่งส่งข้อความออกไปทันที “เหยียนหรูอวี้ เรื่องต้วนหลิงเทียนกับฮ่วนเอ๋อนั่น เจ้ายังรู้อะไรอีกบ้าง?”