War sovereign Soaring The Heavens - ตอนที่ 3289
WSSTH ตอนที่ 3,289 : สมคบคิด
“พี่สาวสุ่ย ว่าแต่ที่นี่มันเป็นบททดสอบอะไรหรือ?”
ในขณะที่อาศัยแรงกดดันพลังจากด่านทดสอบหลอมสารัตถะขอต้นไม้เทพสนหลิว ต้วนหลิงเทียนก็อดไม่ได้ที่จะเอ่ยถามวารีเทพชำระโลกาออกมาด้วยความอยากรู้
เพราะเขาพึ่งจะเข้ามาที่นี่ได้ไม่ทันไร ก็พบเจอกับแรงกดดันพลังที่โถมถันเข้ามาเสียแล้ว แถมยิ่งมาดูเหมือนแรงกดดันนี่ยังจะหนักหน่วงขึ้นเรื่อยๆอีก
อย่างไรก็ตาม จนถึงตอนนี้แรงกดดันที่ว่า ยังไม่ได้เป็นปัญหาอะไรกับเขาเลย
“ที่นี่น่ะรึ? น่าจะเป็นการหาทางหนีออกไปจากที่นี่ภายใต้แรงกดดันเท่านั้นล่ะ”
วารีเทพชำระโลกากล่าว “แต่เจ้าที่ต้องใช้แรงกดดันในการหลอมสารัตถะต้นไม้เทพสนหลิว ก็ไม่จำเป็นต้องรีบร้อนออกไปจากที่แต่อย่างไร”
“ตอนที่เจ้ารู้สึกว่าทนรับแรงกดดันที่นี่ไม่ไหวอีกต่อไป เจ้าอาจจะยังหลอมสารัตถะต้นไม้เทพสนหลิวไม่เสร็จ ถึงตอนนั้นค่อยหลบหนีออกไปก็ยังไม่สาย”
คำพูดของวารีเทพชำระโลกา ทำให้ต้วนหลิงเทียนตระหนักได้ถึงเรื่องหนึ่ง
เขาไม่อาจอยู่ที่นี่ได้ตลอดทั้งปี และเขาอาจจะทนรับแรงกดดันที่นี่ได้ไม่ตลอดรอดฝั่ง จำต้องออกไปหาสถานที่ทำนองนี้เพื่อหลอมสารัตถะของต้นไม้เทพสนหลิวต่อให้เสร็จ
‘ข้าคิดง่ายเกินไป…นึกว่าจะอาศัยแรงกดดันที่นี่หลอมสารัตถะเต้นไม้เทพสนหลิวได้แล้วเสร็จในเวลา 1 ปีเสียอีก ที่แท้ดูเหมือนจะหลอมได้แค่บางส่วนก็ต้องหนีออกไป และหาสถานที่ทดสอบแบบนี้ใหม่’
ในขณะที่ลอบกล่าวอย่างทอดถอนในใจ ต้วนหลิงเทียนก็หลอมเกลาทั้งดูดซับพลังที่แผ่ออกมาจากโลกใบเล็กไม่หยุด
และนั่นก็คือสารัตถะของต้นไม้เทพสนหลิว
ระหว่างหลอมสารัตถะของต้นไม้เทพสนหลิว ต้วนหลิงเทียนก็สัมผัสได้ชัดเจนว่าสารัตถะที่ผ่านการหลอมเกลาแล้วมันเริ่มผสานหลอมรวมไปกับร่างกายเขาอย่างแยกไม่ออก
และกลิ่นอายพลังของมันก็ไม่ใช่สิ่งแปลกปลอมสำหรับเขาเลย เรียกว่ามันเป็นกลิ่นอายพลังชีวิตของฝานฉีที่เขาฆ่าตายไปก่อนหน้านี้
ฝานฉี ก็คือต้นไม้เทพสนหลิวที่ถูกเขาใช้พลังของพฤกษาเทพกำเนิดชีพดูดกลืนสารัตถะมานั่นเอง อีกฝ่ายเป็นต้นไม้เทพสนหลิวที่จำแลงกายเป็นมนุษย์ได้สำเร็จ ยังเป็นถึงศิษย์อัจฉริยะที่ร้ายกาจคนหนึ่งของวังเทียนฉือ…
“ร่างอวตารกฏของต้นไม้เทพสนหลิวหรือ…ช่างน่ารอดูชมจริงๆ”
จนถึงตอนนี้ต้วนหลิงเทียนก็ยังไม่เข้าใจว่าร่างอวตารกฏมันคืออะไรกันแน่ เพราะวารีเทพชำระโลกาก็ยังไม่ได้อธิบายให้เขาฟังมากมาย เพียงบอกว่าหลังเขาหลอมสารัตถะแล้วเสร็จ พอควบรวมพลังสร้างร่างอวตารกฏได้เขาก็จะเข้าใจเอง..
ดังนั้นเขาจึงบังเกิดความตั้งหน้าตั้งตารอดูชมร่างอวตารกฏที่ว่าพอสมควร แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นเขาต้องหลอมสารัตถะของต้นไม้เทพสนหลิวให้เป็นส่วนหนึ่งของเขาเสียก่อน
“พี่สาวสุ่ย ว่าแต่ในเมื่อข้าสร้างร่างอวตารกฏของต้นไม้เทพสนหลิวได้ เช่นนั้นข้าสามารถสร้างร่างอวตารกฏของพฤกษาเทพกำเนิดชีพได้หรือไม่?”
ต้วนหลิงเทียนเอ่ยถามวารีเทพชำระโลกาด้วยความสงสัย
เรื่องนี้อยู่ๆเขาก็นึกขึ้นมาได้
เพราะสุดท้ายพฤกษาเทพกำเนิดชีพก็ยอมรับเขาเป็นนายแล้ว ทั้งยังปักหลักอยู่ในโลกใบเล็กของเขาเรียบร้อย จึงไม่รู้ว่าจะสามารถหลอมมันเพื่อสร้างร่างอวตารกฏได้ด้วยรึเปล่า
“หากเจ้าคิดจะสร้างร่างอวตารกฏของพฤกษาเทพกำเนิดชีพ อันดับแรกเจ้าต้องหลอมสารัตถะของพฤกษาเทพกำเนิดชีพที่อยู่ในโลกใบเล็กของเจ้าเสียก่อน…เรื่องนี้พูดง่ายกว่าทำ! เพราะต่อให้เป็นตัวตนระดับผู้แข็งแกร่งที่สุด ก็ยากจะกระทำได้ สิ่งนี้เสมือนฝ่าฝืนกฏบางอย่างท่ามกลางสวรรค์และโลก”
วารีเทพชำระโลกากล่าวตอบออกมาเร็วไว “ดังนั้นเจ้าเลิกคิดถึงเรื่องนี้เสียจะดีกว่า…”
“ยิ่งไปกว่านั้น ต่อให้เจ้าสามารถหลอมสร้างร่างอวตารกฏของพฤกษาเทพกำเนิดชีพได้สำเร็จ แต่เจ้าจะกล้าใช้มันสุ่มสี่สุ่มห้าหรือ?”
“ต้องทราบด้วยว่าปกติแล้วพฤกษาเทพกำเนิดชีพทั้งต้นนั้น เป็นสิ่งที่ผู้แข็งแกร่งที่สุดเท่านั้นที่จะมีได้…ด้วยมีตัวตนระดับผู้แข็งแกร่งที่สุดสะกด ผู้ใดจะกล้าช่วงชิงง่ายๆ? แต่หากเจ้าใช้ร่างอวตารกฏของพฤกษาเทพกำเนิดชีพออกมา สิ่งนี้ไม่ต่างอะไรเจ้าเขียนประกาศแปะไว้กลางหน้าผากว่าเจ้ามีพฤกษาเทพกำเนิดชีพ…”
กล่าวถึงจุดนี้น้ำเสีงของวารีเทพชำระโลก็จริงจังไม่น้อย “เชื่อข้าเถอะ หากเรื่องนี้แพร่งพรายออกไปเมื่อไหร่ ตัวตนระดับเทพทั้งมวลไม่เว้นเหล่าผู้แข็งแกร่งที่สุดบางส่วน ต้องรีบวิ่งโร่มาหาเจ้าแน่! และหากพวกมันไม่หลอมเจ้าทั้งเป็นหรือฆ่าเจ้าเพื่อสกัดสารัตถะของพฤกษาเทพกำเนิดชีพ ก็อาจจะกลืนกินเจ้าโดยตรงเพื่อดูดซับพลัง…กล่าวไปขอแค่พวกมันกัดเจ้าได้สักคำ จะแขนจะขาเจ้าสักข้างก็ดี ล้วนมีค่ามากกว่ากิ่งพฤกษาเทพกำเนิดชีพแล้ว…”
วารีเทพชำระโลกาหยุดเล็กน้อย ค่อยยกล่าวอธิบายว่า “เนื่องเพราะพฤกษาเทพกำเนิดชีพมันแตกต่างจากต้นไม้อมตะและต้นไม้เทพอื่นๆ…ต้นไม้อมตะกับต้นไม้เทพอื่นๆนั้น หากเจ้าหลอมสารัตถะของมันเป็นส่วนหนึ่งของพลังเจ้าแล้ว ต่อให้คนอื่นฆ่าเจ้าไปก็ไม่อาจช่วงชิงไปจากเจ้าได้ เพราะมีโอกาสสูงมากที่สารัตถะดังกล่าวจะสลายหายไปทั้งหมดหลังเจ้าตาย…”
“อย่างไรก็ตามพฤกษาเทพกำเนิดชีพมีพลังชีวิตมหาศาลขนาดไหนกัน? ต่อให้เจ้าตายไปแต่มันก็มีโอกาสสูงที่จะยังอยู่…”
หลังได้ยินคำพูดของวารีเทพชำระโลกา ต้วนหลิงเทียนก็เงียบไปทันที…
ขณะเดียวกันเขาก็ไม่คิดจะพูดถึงเรื่องนี้อีกต่อไป
ล้อกันเล่นรึไง!
ไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่เขาคงไม่มีทางหลอมสารัตถะของพฤกษาเทพกำเนิดชีพได้สำเร็จ ต่อให้ทำได้จริงเขาก็ไม่คิดจะทำแน่…เพราะหลังจากที่ฟังวารีเทพชำระโลกาแล้ว หากเขาหลอมสารัตถะของพฤกษาเทพกำเนิดชีพได้ ไม่ใช่เขาจะกลายเป็น ‘พระถังซัมจั๋ง’ ในไซอิ๋ว ที่ใครๆก็อยากเฉือนเนื้อไปหม่ำสักชั่ง ดื่มเลือดสักชามก็ยังดีหรือไร?
‘ไม่รู้อีก 4 คนที่เหลือจะเป็นไงกันบ้าง’
ในขณะที่หลอมสารัตถะของต้นไม้เทพสนหลิว ต้วนหลิงเทียนก็สัมผัสได้ถึงแรงกดดันที่โถมเข้าร่างเขาทุกอณูชัดเจน
เขารู้ว่าป่านนี้ไม่พ้นอีก 4 คนที่เหลือรวมถึงเมิ่งห่าวซวนต้องกำลังหาทางออกจากพื้นที่ปิดทำนองนี้เป็นแน่
เพราะหากไม่อาจหาหนทางออกไปได้ทัน สุดท้ายก็ต้องถึงจุดที่ไม่อาจทานทนแรงกดดันได้ไหว ถูกแรงกดดันพลังโดยรอบป่นปี้จนแหลกเป็นซากเนื้อเลอะเลือนกองอยู่ที่นี่ไปตลอดกาล…
…
ณ อู๋หยาเทียน
วังเทียนฉือ
“ศิษย์พี่หานอวิ๋นจิ่น…”
ณ เขตที่อยู่อาศัยของของจักรพรรดิอมตะฟ้าลี้ลับ หานอวิ๋นจิ่นที่ออกจากการปิดด่านเพระถูกเรียก พอเดินออกไปนอกลานที่พักบ่มเพาะ ก็พบเจอร่างเหนือความคาดหมายหนึ่งรออยู่
“เหลยจวิ้น?”
เห็นร่างผู้มาเยือนคนนี้ หานอวิ๋นจิ่นอดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้วย่นเป็นปม
ผู้มาเยือนที่ว่า สำหรับมันก็ไม่ใช่คนแปลกหน้าอะไร เพราะอีกฝ่ายก็คือนายน้อยของตำหนักลองกระบี่ เหลยจวิ้น ศิษย์ลำดับที่ 2 รวมถึงลูกชายคนเดียวของจักรพรรดิอมตะไร้ใจเหลยอิงจ้าวตำหนักลองกระบี่!
อยู่ๆเหลยจวิ้นมาเคาะประตูบ้านมันแบบนี้ มันอดงุนงงไปไม่ได้…ด้วยมันไม่มีสัมพันธ์ใดๆกับเหลยจวิ้น แม้แต่สหายก็ไม่ใช่
กระทั่งศิษย์น้องหญิง 3 ของเหลยจวิ้นยังเป็นสตรีข้างกายต้วนหลิงเทียน คนที่จะต้องสู้กับมันให้ตายไปข้างในอีก 3 ปีหลังจากนี้ที่สังเวียนอัจฉริยะ
กล่าวไปในระดับหนึ่ง เหลยจวิ้นสมควรเป็นศัตรูของมันมากกว่า
“ศิษย์น้องเหลย มิทราบลมอันใดหอบเจ้ามาถึงบ้านข้าได้?”
หานอวิ๋นจิ่นมองเหลยจวิ้นด้วยสายตเฉยชา กล่าวถามออกไปด้วยน้ำเสียงไร้อารมณ์
“ศิษย์พี่หานอวิ๋นจิ่น นี่ท่านคงมิได้มองว่าข้า เหลยจวิ้น ผู้นี้เป็นศัตรูอยู่หรอกนะ?”
เหลยจวิ้นคลี่ยิ้มบางๆ
“หึ!”
หานอวิ๋นจิ่นพ่นลมสบถออกมาเสียงเย็น “ศิษย์น้องหญิง 3 ของเจ้าเป็นคนรักต้วนหลิงเทียนที่เป็นศัตรูของข้า…เจ้าในฐานะศิษย์พี่รองของนาง หรือจะบอกว่าไม่ใช่ศัตรูของข้า?”
“หรือเจ้าเหลยจวิ้นจะกล่าวอ้างว่า มิรู้ว่าข้า หานอวิ๋นจิ่น กำลังจักขึ้นประลองเป็นตายบนสังเวียนอัจฉริยะในรูปแบบไม่ตายไม่เลิกรากับต้วนหลิงเทียนในอีก 3 ปีหลังจากนี้?”
กล่าวถึงท้ายประโยคหานอวิ๋นจิ่นก็มองจ้องเหลยจวิ้นด้วยสายตาเยียบเย็น
“ศิษย์พี่หานอวิ๋นจิ่น ที่ข้ามาหาท่านถึงที่นี่ ทั้งหมดก็เพราะการประลองเป็นตายของท่านกับต้วนหลิงเทียนในอีก 3 ปีให้หลัง…”
เหลยจวิ้นคลี่ยิ้มบางๆ
และในขณะที่สีหน้าหานอวิ๋นจิ่นเริ่มมืดดำค้ำลง เหลยจวิ้นก็รีบกล่าวสืบต่อว่า “ศิษย์พี่หานอวิ๋นจิ่น การต่อสู้ในอีก 3 ปีให้หลัง กระทั่งตัวท่านเองก็คงไม่ได้มั่นใจว่าจะชนะแน่กระมัง?”
กล่าวถึงจุดนี้ เหลยจวิ้นก็หยีตาเพ่งมองสบตาหานอวิ๋นจิ่นเขม็ง ราวกับจะมองทะลุถึงจิตใจหานอวิ๋นจิ่นได้
“เหลวไหล!”
หานอวิ๋นจิ่นแค่นคำเย้ยเยาะ “ข้า หานอวิ๋นจิ่น 1 ใน 5 ศิษย์อัจฉริยะแห่งวังเทียนฉือ…หรือยังต้องกลัวเด็กน้อยขนอุยอายุไม่ถึง 300 ปีคนหนึ่ง?”
“ศิษย์พี่หานอวิ๋นจิ่น กับข้า ท่านไม่จำเป็นต้องพูดเรื่องพวกนี้หรอก…”
เหลยจวิ้นส่ายหัวไปมา “หากข้าเป็นท่าน ข้าเองก็ไม่กล้าพูดออกมาเต็มปากเหมือนกันว่ามั่นใจ นี่ก็เป็นปกติของผู้คน”
“เพราะสุดท้ายแล้วในเมื่อเจ้านั่นมันกล้าท้าประลองเป็นตายกับท่านในอีก 3 ปีให้หลังบนสังเวียนอัจฉริยะ ไม่ว่าจะทีเล่นทีจริงอะไรก็แล้วแต่…มันนับว่าไม่ธรรมดาจริงๆ”
“นอกจากนั้น จากที่ข้าติดตามดูต้วนหลิงเทียนผู้นี้มาแต่แรก ไม่แน่ว่าที่มันกระทำเช่นนี้เพียงเพื่อจะขู่ท่านอย่างเดียว…ดังนั้นท่านเองก็มีความเสี่ยงไม่ใช่น้อยๆ”
“ถึงข้าจะไม่รู้ว่าที่แท้ต้วนหลิงเทียนนั่นมันมีไพ่ตายอะไรซุกซ่อนไว้? หรือกลับกันต่อให้ข้าจะมั่นใจว่าสามารถฆ่ามันบนสังเวียนอัจฉริยะในอีก 3 ปีได้แน่ๆ…”
“ทว่าข้าก็ไม่คิดจะไม่ป้องกัน…กระทั่งข้ายังจะพยายามขจัดความเสี่ยงทั้งหมด!”
เหลยจวิ้นกล่าวถึงจุดนี้ ก็กล่าวคำแฝงความนัยออกมา “หากข้าเดาไม่ผิด…วันนั้นที่ศิษย์พี่หานอวิ๋นจิ่นตอบรับคำท้าประลองกับต้วนหลิงเทียนไป ก็คงไม่ต่างอะไรจากไล่เป็ดขึ้นคอน…”
เมื่อเห็นหานอวิ๋นจิ่นชักหน้าเคร่งคล้ายกำลังจะปฏิเสธออกมา เหลยจวิ้นก็รีบกล่าวต่อว่า “ศิษย์พี่หานอวิ๋นจิ่น ท่านอย่าได้ยืนกรานปฏิเสธเลย…ท่านวางใจเถอะ ที่ข้ามาที่นี่ทั้งหมดเพื่อช่วยท่านโดยเฉพาะ”
“มาช่วยข้าโดยเฉพาะ?”
หานอวิ๋นจิ่นขมวดคิ้ว ดวงตาฉายแววประหลาดใจให้เห็น “ที่เจ้าพูดหมายความว่าอะไร?”
“ข้ามาที่นี่ ทั้งหมดมีเรื่องเดียว…ร่วมมือกับท่านกำจัดต้วนหลิงเทียน!”
เหลยจวิ้นกล่าวออกมาตรงๆ จากนั้นในแววตาก็ฉายประกายเยียบเย็นวาบหนึ่ง สิ่งนี้บ่งบอกชัดว่าวาจาของมันหาได้แปลกปลอมไม่!
“โฮ่?”
ได้ยินคำพูดของเหลยจวิ้น หานอวิ๋นจิ่นก็บังเกิดความสนใจขึ้นมาทันที “ไฉนเจ้าถึงต้องการกำจัดต้วนหลิงเทียนด้วยเล่า? เท่าที่ข้ารู้เจ้านั่นมันก็พึ่งเข้าร่วมวังเทียนฉือได้ไม่นาน ทั้งเป็นชายคนรักของศิษย์น้องหญิง 3 ของเจ้า…มิทราบมันไปทำให้เจ้าเหลยจวิ้นขุ่นขึ้งตรงที่ใด ถึงขั้นทำให้เจ้าคิดจะกำจัดมันทิ้งไปได้?”
“มันไม่ได้ทำให้ข้าขุ่นขึ้งหมองเคืองตรงที่ใด…เหตุผลเดียวที่ข้าอยากกำจัดมันให้พ้นทาง เพราะข้าอยากได้ศิษย์น้อง 3 มาเป็นสตรีของข้า!”
ขณะกล่าวแววตาของเหลยจวิ้นก็เต็มไปด้วยความหื่นกระหาย เผยเจตนาอยากครอบครองชัดเจน!
หานอวิ๋นจิ่นมองตาเหลยจวิ้นพักหนึ่ง ก็สามารถยืนยันได้แน่ชัดว่า แววตาดังกล่าวของเหลยจวิ้นไม่มีทางปลอมแปลง…เพราะดวงตาเป็นดั่งหน้าต่างของหัวใจ ยากจะโกหกได้!
“จะว่าไปพอกล่าวถึงศิษย์น้องหญิง 3 ของเจ้า…ถึงแม้นางจะมีผ้าปิดหน้าอยู่ แต่ข้าก็บอกได้ทันทีว่านางเป็นโฉมงามไร้คู่เปรียบนางหนึ่ง…หากได้ร่วมรักกับนางสักคืนค่ำคงหฤหรรษ์ยิ่งนัก!”
หานอวิ๋นจิ่นคลี่ยิ้มแสยะกล่าวออกด้วยแววตาสามานย์ “นอกจากนั้นเพียงดูก็รู้ว่านางยังเป็นสตรีพรมจรรย์…ยากจักจินตนาการได้ออกจริงๆ ว่าต้วนหลิงเทียนผู้นั้น ทั้งๆที่มีโฉมงามปาบบุปผาข้างกายแต่ไฉนยังทนอยู่ได้?”
“ศิษย์พี่หานอวิ๋นจิ่น ขอท่านระวังปากสักหน่อย!”
แทบจะทันทีที่หานอวิ๋นจิ่นกล่าวจบคำ เหลยจวิ้นก็มองมันด้วยสายตาเย็นชา เอ่ยออกเสียงต่ำ “ข้ามาหาท่านด้วยความจริงใจ…หากท่านเป็นเช่นนี้ ก็อย่าได้โทษข้าที่หันหลังจากไป”
ตอนนี้เหลยจวิ้นได้ยึดถือศิษย์น้องหญิง 3 ฮ่วนเอ๋อเป็นดั่งสิ่งต้องห้ามของมัน พอได้ยินหานอวิ๋นจิ่นกล่าวแทะโลมฮ่วนเอ๋อต่อหน้า มันย่อมไม่ทน
“ฮ่าๆๆ…ข้าเพียงล้อเล่นเท่านั้น”
หานอวิ๋นจิ่นหัวเราะออกมาอย่างสนุกสนาน ในขณะเดียวกันมันก็ยืนยันได้ว่าเหลยจวิ้นหลงฮ่วนเอ๋อหัวปักหัวปำจริงๆ “ประเสริฐนัก…เมื่อก่อนนับว่าข้าไม่รู้จักเหลยจวิ้นเจ้าจริงๆ…มิคาดว่าเจ้าเหลยจวิ้นจักมีวันตกหลุมรักศิษย์น้องของตัวเองได้”
กล่าวถึงจุดนี้หานอวิ๋นจิ่นก็ยิงคำถามเปลี่ยนเรื่องออกมาทันที “แล้วพวกเราจะร่วมมือกันกำจัดต้วนหลิงเทียนอย่างไร”
“มิอยากมือเปื้อน จึงต้องให้ผู้อื่นลงมือ”
เหลยจวิ้นกล่าว
“ยังจะมีผู้ใดกล้าลงมือเล่า?”
หานอวิ๋นจิ่นกล่าว “นอกจากนั้นสารเลวน้อยนั่นก็มีจักรพรรดิอมตะทุ่งขจีคุ้มกะลาหัว…คิดฆ่ามันไหนเลยเป็นเรื่องราวอันง่ายดาย กระทั่งจักรพรรดิอมตะสมญานามลงมือเอง ยังไม่แน่ว่าจะทำได้ด้วยซ้ำ…”
“อาศัยจักรพรรดิอมตะสมญานามคนหนึ่งคิดฆ่ามันไม่ใช่เรื่องง่าย…แต่หากเป็นจักรพรรดิอมตะสมญานาม 2 คนเล่า?”
เหลยจวิ้นมองลึกลงไปในแววตาหานอวิ๋นจิ่น พลางถาม
“2 จักรพรรดิอมตะสมญานาม?”
ได้ยยินคำพูดของเหลยจวิ้น หานอวิ๋นจิ่นก็อึ้งไปก่อนใดอื่น จากนั้นลูกตามันก็หดเล็กลง สีหน้าฉายชัดถึงความตกตะลึง “เหลยจวิ้น…นี่เจ้าคงมิใช่ว่า…จะจ้างวานให้สองคนนั่นลงมือกระมัง?”
ในแดนอู๋หยาแห่งนี้ มีมือสังหารลือชื่อ 2 คน ที่ไม่ได้อยู่ในองค์กรมือสังหารใดๆ
อย่างไรก็ตามทั้งคู่ได้ชื่อว่าเป็นคู่มือสังหารที่แข็งแกร่งที่สุดของอู๋หยาเทียน ตราบใดที่ตอบรับภารกิจ ยังไม่เคยล้มเหลว!
มือสังหารคู่นี้ ไม่ว่าใครคนใหนก็ล้วนแล้วแต่เป็นจักรพรรดิอมตะสมญานาม!
แน่นอนว่าหากคิดจะจ้างตัวตนระดับนี้ลงมือ ราคาที่ต้องจ่ายก็มหาศาลนัก!