War sovereign Soaring The Heavens - ตอนที่ 3301
WSSTH ตอนที่ 3,301 : เหลยจวิ้น?
น้อยคนนักที่จะล่วงรู้ ว่าไผ่สรรค์แกร่งซึ่งเป็นร่างที่แท้จริงของตู๋กูหวู่ กับบุปผาร้อยสีร่างที่แท้จริงของตู๋กูเหวินนั้น…เติบโตขึ้นมาในสถานที่เดียวกัน!
ทั้งคู่สูดรับไอฟ้าดิน บำเพ็ญญตบะข้างกันนับแสนปีกว่าจะจำแลงกายเป็นมนุษย์ได้ จากนั้นก็คอยช่วยเหลือซึ่งกันและกันมาจนมีอย่างทุกวันนี้ กล่าวได้ว่าสายสัมพันธ์ของทั้งคู่แน่นแฟ้นยิ่งกว่าพี่น้องแท้ๆเสียอีก
แต่บัดนี้…ตู๋กูเหวินตกตายแล้ว
“อ๊าคคคค–!!”
พลังเซียนอมตะต้นกำเนิดระเบิดออกมาทั่วร่างตู๋กูหวู่อย่างเกรี้ยวกราด จากนั้นพลังแห่งกฏก็ถูกปลดปล่อยออกมาเต็มกำลัง คนเคลื่อนร่างตัดฟ้าด้วยคยวามเร็วสูงสุด บึ่งตรงไปยังตำแหน่งที่ตู๋กูเหวินกล่าวบอก…
อย่างไรก็ตาม พอตู๋กูหวู่ห้อตะบึงมาถึง ก็คงเหลือเพียงความวินาศสันตะโรจากการปะทะกันของพลังมหาศาลเท่านั้น ไร้แม้แต่เงาของผู้ใด…
กระทั่งลองแผ่สำนึกเทวะออกไปทุกทิศทางแล้ว ก็ไม่พบอะไรเลย ไม่มีแม้แต่ซากศพของตู๋กูเหวิน
“ต้วน หลิง เทียน!!”
ใบหน้าชราของตู๋กูหวู่แลดูน่ากลัวเหลือเกิน เส้นผมสีดอกเลาของมันเริ่มแผ่สยายลอยล่องไปปานอสรพิษแม้ไร้ลม
“น้องเหวินขอเจ้าอย่าได้กังวล…ข้าจะล้างแค้นให้เจ้าให้จงได้!!”
สองตาของตู๋กูหหวู่แผ่รังสีแห่งความเกลียดชังอาฆาตแค้นออกมาล้นปรี่
เป็นธรรมด่าวาแม้มันจะเกลียดชังทั้งอาฆาตแค้นต้วนหลิงเทียน แต่ใจยังอดไม่ได้ที่จะสั่นไหวไปเบาๆเพราะกลเม็ดของต้วนหลิงเทียน…อาศัยแค่จอมราชันอมตะสมญานามคนหนึ่ง ไฉนมีไพ่ตายและวิธีการมากมายนัก?
ใช่ผู้คนแน่หรือ?
“หากน้องเหวินไม่ได้กล่าวใดผิดพลาด…น่ากลัวว่าอุปกรณ์เทพของต้วนหลิงเทียน ต่อให้เป็นในระนาบเทพก็น่าจักเป็นยอดอุปกรณ์เทพที่อยู่เหนืออุปกรณ์เทพระดับสูงทั้งมวล…”
“หาไม่แล้วไฉนถึงมอบพลังมหาศาลถึงขั้นนั้นให้มันได้…”
ดวงตาของตู๋กูหวู่ตอนนี้ ปรากฏสีสันแห่งความโลภออกมาอย่างยากจะปกปิด!
ตู๋กูหวู่ก็ไม่ได้รู้เลยว่าก่อนที่ตู๋กูเหวินจะตกตาย ในห้วงเวลาที่แทงหอกหมายฆ่าต้วนหลิงเทียนให้ตายนั้น ไม่ใช่ว่ามันไม่คำนวณพลังของอุปกรณ์เทพที่ต้วนหลิงเทียนมี…แต่พอมันสัมผัสได้ถึงพลังของเทพเบญญจธาตุ มันจึงได้รู้ว่ามันคำนวณทุกสิ่งทุกอย่างผิดไปตั้งแต่แรก และมันประเมินอุปกรณ์เทพของต้วนหลิงเทียนสูงไป…
กระทั่งในห้วงเวลาสุดท้ายตู๋กูเหวินจึงตระหนักได้ว่า…
ไฉนร่างอวตารกฏของต้นไม้เทพสนหลิวที่ต้วนหลิงเทียนยควบสร้างขึ้นถึงได้แข็งแกร่งทรงพลังนัก ที่แท้ไม่ใช่เพราะอุปกรณ์เทพอะไร แต่ทั้งหมดเป็นเพราะพลังของเทพเบญจธาตุ!
เป็นธรรมดาว่าตู๋กูเหวินมารู้เรื่องนี้เอาตอนที่สายไปแล้ว
มันไม่มีเวลาส่งข้อความบอกตู๋กูหวู่
ดังนั้นตู๋กูหวู่จึงไม่รู้
“หึ! สารเลวน้อยต้วนหลิงเทียนนั่น หลังไปจากที่นี่สุดท้ายไม่พ้นต้องกลับวังเทียนฉือ! หากไปดักตามทางกลับวังเทียนฉือดู…ไม่อาจจะได้ตัวมัน!!”
ถึงแม้ตู๋กูเหวินจะตกตายด้วยน้ำมือของต้วนหลิงเทียน แต่ตู๋กูหวู่ก็ไม่ได้หวาดกลัวอะไร ยังเชื่อมั่นในพลังของตัวเองว่าเหนือกว่า
เพราะพลังของตู๋กูเหวิน ก็ไม่อาจเทียบมันได้
กระทั่งหากให้มันสู้กับตู๋กูเหวิน ขอเพียงมันไม่ออมมือ ตู๋กูเหวินได้ถูกมันฆ่าตายเร็วกว่าตอนสู้กับต้วนหลิงเทียนอีก!
…
หลังจากต้วนหลิงเทียนเร่งรุดออกจากสถานที่ปะทะกับตู๋กูเหวิน เขาก็เริ่มตีวงกว้างหมายกลับสู่วังเทียนฉือจากทิศทางตรงข้าม ไม่กล้าเดินทางกลับวังเทียนฉือตรงๆ
ด้วยเหตุนี้ทำให้เขาหลีกหนีการเผชิญหน้ากับบตู๋กูหวู่ได้พ้น
‘ผลึกสำนึกผู้แข็งแกร่งที่สุด แม้จะมีภาพฝันเกี่ยวกับการผสานรวมความลึกซึ้ง แต่เข้าทำอย่างไรก็ไม่เข้าใจ…ดูเหมือนเรื่องนี้จะเกี่ยวข้องกับด่านพลังฝึกปรือของข้าด้วย’
ต้วนหลิงเทียนลอบคาดเดา
เขายังจดจำได้เป็นอย่างดี ว่าในตอนที่เป็นราชาอมตะนั้น หลังจากเข้าใจความลึกซึ้งของกฏมิติถึงขั้นตอนความสำเร็จเล็กน้อยหมดแล้ว เขากลับไม่อาจพัฒนาได้อีก
กระทั่งมีผลึกสำนึกผู้แข็งแกร่งที่สุดแท้ๆ แต่ยังไม่อาจก้าวหน้า
จนเมื่อเขาทะลวงถึงขอบเขตจอมราชันอมตะได้สำเร็จ ด้วยความช่วยเหลือของผลึกสำนึกผู้แข็งแกร่งที่สุด เขาจึงเข้าใจความลึกซึ้งของกฏมิติทุกประการถึงขั้นตอนความสำเร็จยิ่งใหญ่ได้ในเวลาอันสั้น…
‘ในเมื่อมีกรณีตัวอย่างเหมือนตอนนั้น…บางทีหลังข้าทะลวงถึงขอบเขตจักรพรรดิอมตะ ด้วยมีความช่วยเหลือของผลึกสำนึกผู้แข็งแกร่งที่สุด ข้าก็อาจเข้าใจการผสานความลึกซึ้งของกฏมิติได้ในเวลาอันสั้น’
หลังจากคาดเดาไปทำนองดังกล่าว ต้วนหลิงเทียนก็ถามวารีเทพชำระโลกาเพื่อขอความเห็น
“สมควรเป็นเช่นนั้น”
และคำตอบของวารีเทพชำระโลกา ก็สรุปเอาง่ายๆ “อย่างน้อยๆ ข้าก็ไม่เคยเห็นใครต่ำกว่าขอบเขตจักรพรรดิอมตะสามารถผสานรวมความลึกซึ้งได้มาก่อน”
“บางที สิ่งนี้อาจเป็นข้อจำกัดของสวรรค์และโลก”
ข้อสรุปของวารีเทพชำระโลกา ก็เหมือนกับสิ่งที่ต้วนหลิงเทียนคาดเดาเอาไว้ไม่ผิดเพี้ยน
“เสี่ยวเทียนหลังจากนี้ก็ไม่ต้องเสียเวลากับกฏมิติแล้ว เจ้ามุ่งมั่นบ่มเพาะพลังให้เร็วที่สุดประเสริฐกว่า”
วารีเทพชำระโลกาเอ่ยแนะ
ต้วนหลิงเทียนก็พยักหน้าเห็นด้วย ถึงแม้เขาจะมีความก้าวหน้าอีกครั้งหลังออกจากอวี้หวงเทียน แต่อย่างไรก็แค่จอมราชันอมตะ 5 องค์ประกอบเท่านั้น
ยังเหลือหนทางอีกยาวไกล กว่าที่จอมราชันอมตะ 5 องค์ประกอบจะก้าวถึงขอบเขตจักรพรรดิอมตะ!
‘หลังกลับถึงวังเทียนฉือ ต้องหาหนทางเพิ่มพลังฝึกปรือโดยเร็ว…ข้าจะได้มีโอกาสเข้าใจการผสานรวมความลึกซึ้งของกฏเร็วๆ’
การปะทะกับตู๋กูเหวินครั้งนี้ ทำให้ต้วนหลิงเทียนรู้ซึ้งถึงพลังอำนาจจากการผสานรวมความลึกซึ้งของกฏชัดเจน ‘ที่ตู๋กูใช้ มันก็แค่การผสานรวมความลึกซึ้ง 3 ประการของกฏแห่งไม้เท่านั้น’
‘อย่างไรก็ตามเอาแค่การผสานรวมความลึกซึ้งของกฏแห่งไม้ 3 ประการ พลังอำนาจที่ปลดปล่อยได้ก็เหนือกว่าตอนมันใช้ความลึกซึ้งของกฏแห่งไม้ 7 ประการเสียอีก…’
ตอนนี้ต้วนหลิงเทียนบังเกิดความหลงใหลและปรารถนาอยากจะผสานรวมความลึกซึ้งกฏมิติของเขามาก…
ฉือหล่างนั้นใช้เวลาไม่นานนักก็กลับถึงวังเทียนฉือแล้ว กลับกันด้านต้วนหลิงเทียนที่ต้องระวังตู๋กูหวู่ก็ได้แต่เดินทางกลับวังเทียนฉือด้วยการอ้อมไปเสียไกล…
ทำให้กว่าจะกลับถึงละแวกใกล้เคียงกับวังเทียนฉือเขาก็ต้องใช้เวลาไปทั้งสิ้น 3 เดือน
และถึงแม้จะกลับมาอยู่ในละแวกใกล้เคียงวังเทียนฉือแล้ว เขายังไม่เลือกที่จะกลับเข้าวังด้วยตัวเองแต่เลือกจะติดต่อหาฉือหล่างให้ออกมารับ ด้านฉือหล่างก็ไม่ออกมารับคนเดียวแต่ไปชวนเหลยอิงให้มารับเขาด้วยกัน
ภายใต้สถานการณ์ปกติ ฉือหล่างคงไม่กล้าไปชวนเหลยอิงให้ออกมารับเขาแน่นอน
อย่างไรก็ตามด้วยความสัมพันธ์ระหว่างต้วนหลิงเทียนกับฮ่วนเอ๋อ แม้เหลยอิงจะไม่ให้หน้าฉือหล่าง แต่นางก็ไม่อาจไม่ไว้หน้าฮ่วนเอ๋อ! และที่สำคัญ ฐานะของฮ่วนเอ๋อในใจของนางตอนนี้ยังไม่ด้อยไปกว่าลูกชายแท้ๆของตัวเองเลย
ฮ่วนเอ๋อเป็นสัตว์เทพอย่างจิ้งจอกน้ำแข็งพันมายา ตราบใดที่ไม่ตกตายไปเสียกลางทาง วันหน้าต้องเติบโตก้าวหน้าครั้งใหญ่ มากล้นไปด้วยอาคตอันไร้จำกัด
เหลยอิงย่อมรู้ถึงผลประโยชน์จากการมีสัมพันธ์อันดีกับตัวตนเช่นนี้ดี
“ขอบคุณจ้าวตำหนักเหลยอิงมาก”
หลังกลับมาถึงวังเทียนฉือโดยสวัสดิภาพ ก่อนที่เหลยอิงจะขอตัวลา ต้วนหลิงเทียนก็ป้องมือประสานกล่าวคำขอบคุณเหลยอิงอย่างมีมารยาท
“เพียงเท่านี้ ไม่ต้องเกรงใจ”
เหลยอิงคลี่ยิ้มบางๆ “ต้วนหลิงเทียนหากเจ้าอยากเปลี่ยนบรรยากาศ ว่างๆก็พาฮ่วนเอ๋อไปบ่มเพาะที่จวนข้าก็ได้…สถาพแวดล้อมในการบ่มเพาะที่จวนข้าก็ไม่ได้ด้อยไปกว่ายอดเขาของฉือหล่างแต่อย่างใด”
“ได้”
ต้วนหลิงเทียนรีบตอบรับ
หลังเหลยอิงจากไปแล้ว ต้วนหลิงเทียนก็ตามฉือหล่างกลับไปยังเขตที่อยู่อาศัยด่านของฉือหล่างทันที และฉือหล่างยังพาเขาไปยังโถงรับรองในที่พักของฉือหล่างอีกด้วย
และในโถงที่พักบ่มเพาะของฉือหล่าง ต้วนหลิงเทียนก็พบว่าไม่ใช่แค่ฮ่วนเอ๋อเท่านั้น แต่ศิษย์พี่ศิษย์ชายและพี่หญิงของเขาก็มารวมตัวกันแล้ว
กระทั่งศิษย์พี่รองหลู่จี้ ที่ไม่ค่อยโผล่มาให้ใครเห็นก็มาด้วย
“พี่หลิงเทียน”
เมื่อเห็นต้วนหลิงเทียนกลับมาแล้ว ถึงแม้ฮ่วนเอ๋อจะรู้แต่แรก แต่ก็อดโผเข้าอ้อมกอดต้วนหลิงเทียนไม่ได้
ต้วนหลิงเทียนยเองก็กอดนางเอาไว้ ขณะเดียวกันก็ได้ยินเสียงหัวใจที่เต้นรัวของฮ่วนเอ๋อได้ชัดเจน “ยาโถวโง่งม ข้าสบายดีเห็นแล้วหรือไม่…”
ต้วนหลิงเทียนกล่าวปลอบบออกมาเสียงอ่อน พลางตบแผ่นหลังนางเบาๆ
จากนั้นเขาก็ค่อยผละร่างฮ่วนเอ๋อออกไปอย่างอ่อนโยน
และตอนนี้เขาก็พบว่าทุกสายตาในโถงกำลังมองมา ทำให้รู้สึกเขินอายอยู่บ้าง
“ก่อนที่เจ้าจะกลับมาถึง ข้าให้ทุกคนไปสืบดูแล้ว…”
ฉือหล่างเริ่มเปิดประเด็นก่อนใคร มองกล่าวกับต้วนหลิงเทียนด้วยสายตาจริงจังว่า “เมื่อไม่นานมานี้มีคนเห็นหานอวิ๋นจิ่นกับเหลยจวิ้นลูกชายของเหลยอิงเดินด้วยกัน”
“หากพวกมันสองคนร่วมหุ้นกันล่ะก็ นับว่ามีทุนรอนให้ตู๋กูเหวินกับตู๋กูหวู่สนใจได้”
ก่อนที่ต้วนหลิงเทียนจะกลับมา ไม่เพียงฉือเหล่ยจะไม่อยู่ว่าง ยังระดมคนรวมถึงเหล่าศิษย์ในสังกัดไปตรวจสอบเรื่องราว และมองหาเบาะแส
“เหลยจวิ้น?”
ต้วนหลิงเทียนขมวดคิ้วเบาๆ ก่อนจะหันไปมองฮ่วนเอ๋อโดยไม่รู้ตัว
เหลยจวิ้นเป็นลูกชายคนเดียวของเหลยอิง และเป็นศิษย์คนรองในสังกัดของเหลยอิง มีลำดับอาวุโสเหนือกว่าฮ่วนเอ๋อ ถือเป็นศิษย์พี่ของฮ่วนเอ๋อ
“ไม่ผิด”
ฉือหล่างพยักหน้า
ขณะเดียวกันหูเหมยก็กล่าวเสริมออกมาว่า “ศิษย์น้องเล็ก เรื่องนี้เจ้าอาจจะยังไม่รู้ ทว่าแต่ไหนแต่ไรเหลยจวิ้นกับหานอวิ๋นจิ่นนั้นไม่มีใครเคยได้ยินมาก่อนว่าพวกมันสนิทกัน และไม่เคยมีผู้ใดเห็นมันเดินด้วยกันมาก่อน”
“แต่ในช่วงเวลาที่พวกเราไปยังวิหารเฟิงฮ่าว พวกเราพบว่าพวกมันไปไหนมาไหนด้วยกัน…แน่นอนว่าสิ่งนี้แทบไม่มีใครพบเห็น หากไม่ใช่เพราะพวกเราตรวจสอบอย่างละเอียดโดยวิธีการบางอย่าง เกรงว่าคงยากที่จะล่วงรู้เรื่องนี้ได้”
หูเหมยกล่าว
“คนที่ไม่ค่อยสนิทกันและไม่เคยสุงสิงกันมาก่อน แต่กลับเดินด้วยกันในช่วงเวลาเกิดเรื่อง…ใต้หล้าไหนเลยมีเรื่องบังเอิญพรรค์นี้”
ต้วนหลิงเทียนพยักหน้ากล่าวอย่างเห็นด้วย เขาเองก็รู้สึกว่าสิ่งนี้ผิดวิสัยอยู่บ้าง
อย่างไรก็ตาม เท่าที่เขาจำได้ เขากับเหลยจวิ้นดูเหมือนจะไม่เคยมีเรื่องราวบาดหมางกันเลยไม่ใช่หรือไร?
“แต่ข้าไม่รู้จักเจ้าเหลยจวิ้นนั่น ทั้งไม่เคยมีเรื่องมีราวอะไรกัน…ว่ากันตามตรง มันไม่น่าจะไปร่วมมือกับหานอวิ๋นจิ่น เพื่อจ่ายราคามหาศาลมาฆ่าข้าได้เลย…”
ต้วนหลิงเทียนกล่าว
“ว่ากันตามปกติก็คงเป็นแบบนั้น”
ตอนนี้เองศิษย์พี่ 6 ของต้วนหลิงเทียน หงเฟย พลันกล่าวออกมาด้วยสองตาหยีๆบนใบหน้ามันยิ่งหรี่ลงจนไม่ต่างอะไรกับคนปิดตา “ศิษย์น้องเล็ก บางครั้งไม่ใช่เพราะเจ้ามีเรื่องกับมัน ถึงถูกมันคิดฆ่า….”
“คนเราจะเกลียดชังเคียดแค้นผู้อื่น มีเหตุผลมากมายเหลือเกิน…ตัวอย่างเช่น หากข้ารู้สึกอิจฉาที่เจ้าทั้งหล่อเหลาและเป็นที่นิยมของสาวๆ ก็ไม่แน่ว่าอยากจะให้เจ้าตายขึ้นมา…”
“แน่นอนว่าความอิจฉาเช่นนี้มักเกิดในสตรีมากกว่า”
หงเฟยกล่าว
“ศิษย์พี่ 6 ท่านคิดกล่าวอันใดกันแน่?”
ต้วนหลิงเทียนเอ่ยยถามตรงๆ
“ศิษย์น้องเล็กเจ้าอาจยังไม่รู้ แต่ตอนที่เจ้ายังไม่กลับมา ศิษย์พี่หญิง 4 ก็ไปเขตที่พักบ่มเพาะของจักรพรรดิอมตะไร้ใจเหลยอิงเป็นเพื่อนฮ่วนเอ๋อรับทรัพยากรบ่มเพาะอยู่หลายครั้ง…และได้เจอกับเหลยจวิ้น 2 ครั้ง”
กล่าวถึงจุดนี้หงเฟยก็หันไปมองเวิ่นหว่านเอ๋อ “และศิษย์พี่หญิง 4 ก็ตระหนักได้ถึงอะไรบางอย่าง…แม้เหลยจวิ้นจะพยายามทำตัวปกติ แต่นางกลับสังเกตเห็นเหลยจวิ้นลอบมองฮ่วนเอ๋ออยู่หลายครั้ง เจ้านั่น…ไม่พ้นต้องสนใจฮ่วนเอ๋อเป็นแน่!!”
“ตอนนี้เจ้าคงรู้กระมัง…ว่าข้าจะสื่ออะไร”
กล่าวถึงท้ายประโยค สองตาหงเฟยก็ฉายแววเยียบเย็นออกมาทันที
แน่นอนว่าแววตาเย็นชาดังกล่าว ไม่ได้มุ่งเป้าไปที่ต้วนหลิงเทียน แต่เป็นเหลยจวิ้น
“มีเรื่องแบบนี้ด้วย”
หลังได้ยินคำพูดของหงเฟย ลูกตาต้วนหลิงเทียนก็หรี่ลงเล็กน้อย ในแววตายังฉายประกายเย็นชาวูบวาบ
หากเหลยจวิ้นต้องตาพึงใจฮ่วนเอ๋อจริงๆ เช่นนั้นก็มีแรงจูงใจฆ่าเขาแล้ว
เพราะสุดท้ายฮ่วนเอ๋อก็ติดหนึบเขาเหมือนตังเม แลท่าทีก็เผยให้รู้ว่าจะอยู่เคียงข้างเขาไปตลอดชีวิต…หากเหลยจวิ้นสนใจฮ่วนเอ๋อจริงๆ ย่อมเป็นไปไม่ได้ที่จะปล่อยให้มีบุรุษคนไหนอยู่ข้างกายฮ่วนเอ๋อเป็นอุปสรรคขวากหนาม
จะอย่างไรก็เป็นผู้ชายเหมือนกัน แม้ต้วนหลิงเทียนจะไม่ใช่ผู้ชายประเภทนี้ แต่ก็รู้เช่นเห็นชาติผู้ชายประเภทนี้ดี