War sovereign Soaring The Heavens - ตอนที่ 3305
WSSTH ตอนที่ 3,305 : ข้อสันนิษฐานของอู๋ฉวน
3 ปีก่อน หลังต้วนหลิงเทียนกับหานอวิ๋นจิ่นได้ตกลงขึ้นสังเวียนอัจฉริยะเพื่อประลองเป็นตายในรูปแบบไม่ตายไม่เลิกรา ก็นับว่าสร้างความตื่นตาตื่นใจให้คนของวังเทียนฉือไม่น้อย
ยิ่งไปกว่านั้น หลายคนก็ตั้งหน้าตั้งตาเฝ้ารอวันนี้โดยเฉพาะ
เวลา 3 ปี สำหรับเซียนอมตะที่มีชีวิตนิรันดร์บนระนาบเทวโลกแล้ว ก็เสมือนห้วงเวลาสั้นๆห้วงหนึ่ง แค่ปิดด่านบ่มเพาะสักรอบก็ผ่านพ้นไปแล้ว…
วันนี้…การต่อสู้เป็นตายระหว่างต้วนหลิงเทียนกับหานอวิ๋นจิ่น ย่อมน่าจับตามองมากกว่าตอนที่ต้วนหลิงเทียนประลองกับฝานฉีเมื่อ 3 ปีก่อนเสียอีก!
เพราะผู้ที่จะขึ้นไปเข่นฆ่ากับต้วนหลิงเทียนวันนี้ไม่ใช่หมาแมวที่ไหน แต่มันเป็นถึง 1 ใน 5 ศิษย์อัจฉริยะแห่งวังเทียนฉือ ผู้ที่ได้รับการยอมรับวว่ามีพลังฝีมือสูงจนติดอยู่ใน 5 อันดับแรกของศิษย์วังเทียนฉือที่มีอายุไม่ถึง 1,000 ปี หานอวิ๋นจิ่น!
ที่ทำให้เรื่องราวการประลองวันนี้มันน่าสนใจมากขึ้นไปกว่านั้นก็คือ ผู้ที่หาญกล้าท้าหานอวิ๋นจิ่นให้ขึ้นไปเข่นฆ่าจนตกตายกันไปข้างนั้น…เป็นเพียงศิษย์ใหม่ที่พึ่งเข้าร่วมวังเทียนฉือไม่นานนัก!
ที่สำคัญศิษย์ใหม่ที่เข้าวังเทียนฉือไม่นานและหาญกล้าท้าหานอวิ๋นจิ่นสู้กันจนตายไปข้าง ก็ยังมีอายุไม่ถึง 300 ปีด้วยซ้ำ! เรียกว่าอายุน้อยกว่าครึ่งหนึ่งของอายุหานอวิ๋นจิ่นเสียอีก!!
“ศิษย์น้อง 6 เจ้ารับแทงมาได้เท่าไหร่แล้ว?”
โอวหยางฉีเฟยที่ลอยยร่างอยู่ข้างๆ มองถามหงเฟยที่หนึ่งมือจดชื่อกับเงินเดิมพัน อีกมือสะบัดเก็บผลึกอมตะที่เหล่าศิษย์วังเทียนฉือแห่กันมาลงเดิมพันไม่หยุด…แน่นอนว่ามันเปิดรับแทงแต่ข้างหานอวิ๋นจิ่นเท่านั้น!
“ก็เอาเรื่องอยู่…ตอนนี้ได้ผลึกอมตะระดับจอมราชันมา 5 แสนก้อนแล้ว”
หงเฟยคลี่ยิ้มสดใส
ตอนนี้มันรู้สึกว่าโชคดีนักที่ชักชวนศิษย์พี่ 5 ให้มาสังเวียนอัจฉริยะตั้งแต่ฟ้ายังไม่สว่างเพื่อเปิดโต๊ะพนัน…ไม่งั้นคงไม่มีศิษย์วังเทียนฉือมาแทงกับมันมากขนาดนี้!!
เพราะวันนี้ไม่ใช่มันคนเดียวที่เปิดโต๊ะเดิมพัน
อย่างไรก็ตาม ต่างจากโต๊ะเดิมพันโต๊ะอื่นอยู่บ้าง เพราะเจ้ามือโต๊ะเดิมพันอื่นเปิดให้แทงทั้ง 2 ฝ่าย แต่ของมันเพียงเปิดรับแทงแต่ข้างหานอวิ๋นจิ่นชนะคนเดียวเท่านั้น ใครคิดจะแทงข้างต้วนหลิงเทียนชนะมันจะไม่รับ
ยิ่งไปกว่านั้นอัตราเดิมพันว่าหานอวิ๋นจิ่นจะชนะของมันก็สูงกว่าโต๊ะอื่นเขา ใครมาแทงกับมันแล้วเกิดหานอวิ๋นจิ่นชนะ ก็จะได้เงินเดิมพันสูงสุด!
เช่นนั้นเรียกว่ามันสามารถปล้นลูกค้าจากโต๊ะเดิมพันโต๊ะอื่นมาไม่น้อย
“ตอนนี้ได้ผลึกอมตะระดับจอมราชัน 1,000,000 ก้อนแล้ว”
หลังผ่านไปอีกสักพัก หงเฟยก็รายงานตัวเลขผลึกอมตะระดับจอมราชันให้โอวหยางฉีเฟยฟังด้วยรอยยิ้มกว้าง
“ดีมาก ข้าจะเอา 2 ส่วน”
โอวหยางฉีเฟยกล่าวกับหงเฟยเบาๆผ่านพลัง
“เพ่ย! ศิษย์พี่ 5 หนังหน้าท่านสร้างจากฝาบ้านหรือไร ไฉนถึงได้หนานักเล่า!? ท่านไม่ได้ทำอะไรสักอย่างแต่มารีดไถข้าทีเดียว 2 ส่วนเนี่ยนะ!?”
หงเฟยโพล่งออกมาด้วยความฉุน
“ใครบอกเจ้าว่าข้าไม่ได้ทำอะไร ไม่ใช่ว่าตอนนี้ข้ากำลังคุ้มกันเจ้ากับผลึกอมตะอยู่รึไง?”
โอวหยางฉีเฟยกล่าวออกมาเสียงเรียบ
ได้ยินคำพูดหน้าตายของโอวหยางฉีเฟย หงเฟยก็รู้สึกหมดคำจะพูดอยู่บ้าง “ศิษย์พี่ 5 ไฉนก่อนหน้าข้าไม่รู้มาก่อนว่าท่านที่แท้ไร้ยางอายถึงเพียงนี้? ข้าขอบอกท่านไว้ตรงนี้เลย ผลึกอมตะเหล่านี้ข้าจักแบ่งให้ศิษย์น้องเล็กครึ่งหนึ่ง! หากท่านอยากได้ส่วนแบ่งก็ไปคุยกับศิษย์น้องเล็กเอาเอง”
“โฮ่ว? หายากนักที่เจ้าอ้วนแสนตระหนี่วันนี้จะใจกว้างดั่งมหาสมุทร…ในเมื่อเจ้าแบ่งให้ศิษย์น้องเล็ก 5 ส่วน เช่นนั้นข้าเอาแค่ 1 ส่วนก็พอ แน่นอนว่า 1 ส่วนที่ว่าเจ้าต้องชักออกมาจากส่วนของเจ้า”
โอวหยางฉีเฟยกล่าว “สำหรับส่วนของศิษย์น้องเล็ก ก็ให้ศิษย์น้องเล็กไปห้ามแตะ”
“ท่าน…”
หงเฟยได้แต่ยอมรับอย่างจำใจ ขณะเดียวกันก็เริ่มประกาศเสียงดังว่ารับแทงหานอวิ๋นจิ่น โดยเสนออัตราเดิมพันที่สูงขึ้นอีกหลายส่วน ทำให้ไม่นานนักยอดผลึกอมตะที่มาแทงกับมันก็ทะลุเป้า 2 ล้าน กระทั่งจำนวนยังไหลไปเรื่อยๆจนเข้าใกล้ผลึกอมตะจอมราชัน 3,000,000 ก้อนเข้าไปทุกขณะ
ขุมกำลังระดับสวรรค์ทุกขุมนั้น จะครอบครองสาแร่ผลึกอมตะระดับจอมราชันเอาไว้เป็นจำนวนมาก และก็จะแจกให้ศิษย์นำไปใช้บ่มเพาะทุกๆเดือนตามจำนวนที่เหมาะสมกับระดับ
แน่นอนว่าหากอยากได้รับผลึกอมตะระดับจอมราชันเพื่อบ่มเพาะมากขึ้นก็ไม่ใช่ว่าจะไม่ได้ แต่ต้องอาศัยยพลังฝีมือของตัวเอง ซึ่งทางวังเทียนฉือก็มีภารกิจมากมายให้ทำ งานเสริมเองก็มีประกาศรับสมัครไม่น้อย ใครที่ต้องการผลึกอมตะก็สามารถไปเลือกทำได้ตามอัธยาศัย
ตัวอย่างก็เช่นภารกิจตามล่าสัตว์อมตะเพื่อนำอวัยวะบางส่วนของมันมาขายให้ตำหนักโอสถ ตำหนักศาสตรา ตำหนักอาคม ฯลฯ
แน่นอนว่าแต่ละตำหนักก็จ้างงานจากเหล่าศิษย์เช่นกัน จะได้ผลึกอมตะมากน้อยก็แล้วแต่ความยากง่ายของงาน กระทั่งเหล่าศิษย์วังเทียนฉือยังสามารถไปค้าขายแลกเปลี่ยนกับศิษย์คนอื่นบริเวณจัตุรัสกลางที่เปิดให้ค้าขายแลกเปลี่ยนกันอย่างอิสระอีกด้วย
“นั่นมิใช่หงเฟยหรอกรึ? ศิษย์คนที่ 6 ในด่านของฉือหล่าง? มันดูเหมือนจะเป็นศิษย์พี่ของต้วนหลิงเทียนที่จะขึ้นประลองเป็นตายวันนี้มิใช่รึไง?”
“มันคิดจะทำอะไรกันแน่…มันไม่ยอมรับเดิมพันผู้ที่คิดแทงข้างต้วนหลิงเทียนชนะ แต่เลือกจะเปิดรับแทงแต่หานอวิ๋นจิ่น แถมอัตราเดิมพันยังสูงกว่าเจ้ามือคนอื่นอีกด้วย?”
“นี่มันมีความมั่นใจในตัวต้วนหลิงเทียนมากขนาดนี้เชียวหรือ? มันคิดว่าต้วนหลิงเทียนต้องชนะแน่ๆแล้ว?”
“มันคงไม่หน้ามืดตามัวทำไปเพื่อให้กำลังใจศิษย์น้องกระมัง?”
“ไม่รู้ล่ะมันจะทำเพื่ออะไรก็ตาม แต่สำหรับคนที่เชื่อว่าหานอวิ๋นจิ่นจะชนะ มาแทงกับมันก็จะได้รับผลตอบแทนมากที่สุด!”
“วันนี้กล่าวไปแทบไม่มีใครคิดว่าหานอวิ๋นจิ่นจะแพ้พ่ายกระมัง? อย่างไรก็ตามมันในฐานะศิษย์พี่ของต้วนหลิงเทียน มันก็สมควรเข้าใจดีกว่าใคร ว่าพลังฝีมือต้วนหลิงเทียนแข็งแกร่งแค่ไหน…หรือพวกเจ้าว่าต้วนหลิงเทียนจะเอาชนะได้จริงๆ?”
“ข้าเองก็ชักหวั่นๆแล้วสิ…หรือจะลองแทงสวนผู้อื่น แล้วลงข้างต้วนหลิงเทียนดูบ้างไหม?”
“ข้าว่าจะไปลองแทงต้วนหลิงเทียนเหมือนกัน”
…
เรียกว่าเมื่อหงเฟยได้รับแทงไปเป็นจำนวน 5,000,000 ผลึกอมตะจอมราชันแล้ว มันก็ได้รับความสนใจจากผู้คนโดยรอบไม่น้อย
“ศิษย์น้อง 6 เท่านี้ก็พอได้แล้วกระมัง…หากเจ้ายังรับแทงต่อไป เกิดหานอวิ๋นจิ่นมันกลัวจนไม่กล้าขึ้นสังเวียนอัจฉริยะกับศิษย์น้องเล็กขึ้นมาจะทำอย่างไรกัน?”
โอวหยางฉีเฟยส่งเสียงผ่านพลังไปหาหงเฟยด้วยยน้ำเสียงกังวล
“ฮี่ๆๆ”
หงเฟยหัวเราะออกมาอย่างชั่วร้าย แต่มันก็เลือกที่จะหยุดรับแทงทันที กล่าวผสานพลังกล่าวกับทุกคนโดยรอบเสียงดังฟังชัดว่า “ศิษย์พี่ศิษย์น้องทั้งหลาย ข้าปิดรับแทงไว้แต่เพียงเท่านี้ก่อน….อย่างไรเสียทุนรอนข้าก็มีจำกัด ตอนหานอวิ๋นจิ่นชนะ ประเดี๋ยวข้าจะมีผลึกอมตะไม่พอจ่ายเอา!”
ได้ยินคำพูดดังกล่าวของหงเฟย หลายคนที่พึ่งไปแทงต้วนหลิงเทียนกับเจ้าอื่นก็แทบกระอักเลือดออกมาด้วยโทสะ “บัดซบ หงเฟยนั่นไม่ใช่เพราะมั่นใจในตัวต้วนหลิงเทียนมากหรือไร ถึงได้เปิดโต๊ะรับแทงแบบนี้?”
“ไฉนข้ารู้สึกว่า สิ่งนี้มันทำเพื่อบอกให้ต้วนหลิงเทียนรู้โดยเฉพาะว่ามันเอาใจช่วยเต็มที่?”
“เอาใจช่วย? ผู้ใดจะเลือกให้กำลังใจผู้อื่นด้วยวิธีนี้ จากผลึกอมตะที่ผู้คนไปแทงกับมันด้วอัตราเดิมพันนั่น หากหานอวิ๋นจิ่นชนะขึ้นมา มันก็ต้องจ่ายผลึกอมตะระดับจอมราชันให้ผู้อื่นเป็นล้านมิใช่หรือไร?”
“เฮ่อ…เป็นล้านแล้วอย่างไร ข้าได้ยินมาว่าหงเฟยศิษย์คนที่ 6 ในด่านฉือหล่างผู้นี้ มาจากตระกูลหง แถมยังเป็นหลานชายคนเดียวของผู้นำตระกูลคนปัจจุบันอีก…เรียกว่าสำหรับมันแล้ว ปัญหาใดที่แก้ได้ด้วยผลึกอมตะ ล้วนไม่ใช่ปัญหา!!”
“กล่าวไปเหมือนข้าจะเคยได้ยินมาเช่นกัน ว่าที่ใต้เท้าฉือหล่างรับมันเป็นศิษย์ในตอนนั้นก็เพราะเห็นแก่หน้าปู่ของมัน หาไม่แล้วด้วยพรสวรรค์ของหงเฟย ใต้เท้าฉือหล่างคงไม่คิดสนใจมันแน่”
“เป็นผู้คนเหมือนกัน ไฉนต่างกันถึงขนาดนี้นะ…”
…
สำหรับการประลองเป็นตายที่จะเกิดขึ้นวันนี้ เรื่องของหงเฟยก็เป็นดั่งละครฉากหนึ่งเท่านั้น
เพราะการต่อสู้ที่จะเกิดขึ้นในวันนี้ ไม่มีใครรู้สึกว่าต้วนหลิงเทียนที่พึ่งจะเข้าร่วมวังเทียนฉือได้ไม่กี่ปี จะมีปัญญาต่อกรหานอวิ๋นจิ่นที่มีชื่อเสียงโด่งดังมาหลายปีได้เลย…
อย่างไรก็ตาม แม้จะเป็นละครฉากหนึ่ง แต่สุดท้ายกลับล่วงรู้ไปถึงหูหานอวิ๋นจิ่นที่ยังไม่ได้ไปสังเวียนอัจฉริยะจนได้
“ศิษย์พี่ใหญ่ หงเฟยศิษย์คนที่ 6 ของจักรพรรดิอมตะทุ่งขจีฉือหล่าง มันถึงกับเปิดรับแทงแต่ท่านฝ่ายเดียว โดยตั้งอัตราเดิมพันไว้สูงกว่าคนอื่น…ท่านว่าใช่เป็นเพราะมันมั่นใจว่าท่านจะสู้ต้วนหลิงเทียนไม่ได้หรือไม่?”
ศิษย์ของจักรพรรดิอมตะฟ้าลี้ลับนั้นไม่ได้มีแค่หานอวิ๋นจิ่นคนเดียว ยังมีอีกหลายคนที่เป็นศิษย์น้องของหานอวิ๋นจิ่น และในบรรดาศิษย์ทั้งหมด ศิษย์คนที่ 3 นับว่ามีความคิดอ่านรอบคอบที่สุด กระทั่งหานอวิ๋นจิ่นเองก็มักจะฟังคำแนะนำของศิษย์น้องคนนี้เสมอ
และตอนนี้ศิษย์คนที่ 3 ของจักรพรรดิอมตะฟ้าลี้ลับ อู๋ฉวน ก็กล่าวกับหานอวิ๋นจิ่นด้วยสีหน้าจริงจังเคร่งขรึมนัก “ศิษย์พี่ใหญ่ ถึงแม้ข้าคิดว่านี่อาจเป็นม่านควันที่หงเฟยจงใจก่อขึ้น เพื่อให้ท่านบังเกิดอาการกริ่งเกรงจนไม่กล้าขึ้นสังเวียนอัจฉริยะ กระทั่งหวังให้ท่านเลือกจะยอมแพ้โดยการไม่ไป…”
“แต่ข้ากลับรู้สึกว่าเรื่องราวมันมีอันใดทะแม่งๆพิกล…”
อู๋ฉวนกล่าว
แน่นอนว่าอู๋ฉวนนั้นได้รู้เรื่องราวที่เกิดขึ้นทั้งหมดแล้ว
ไม่ว่าจะเรื่องที่หานอวิ๋นจิ่นไปจ้างวานมือสังหารอย่างตู๋กูเหวินกับตู๋กูหวู่เพื่อฆ่าต้วนหลิงเทียน กระทั่งหานอวิ๋นจิ่นยังบอกมันอีกด้วยว่าถูกเหล่าศิษย์ของฉือหล่าง ผลัดกันมาเฝ้าอยู่ตลอดเวลา จนมันไม่อาจออกจากวังเทียนฉือไปหาตู๋กูหวู่เพื่อหารือเรื่องราวได้เลย
ด้วยเหตุนี้ทำให้อู๋ฉวนรู้สึกเอะใจขึ้นมาว่า ศิษย์ของฉือหล่างจะใช่คิดหาหลักฐานมัดตัวศิษย์พี่ใหญ่มันแน่หรือ? หากใช่ไฉนถึงมาเฝ้าจับตามองอย่างโจ่งแจ้งขนาดนี้ มิสู้ลอบใช้คนเพื่อจับตามองความเคลื่อนไหวอย่างลับๆแทน ทำราวกับมีจุดประสงค์กันไม่ให้หานอวิ๋นจิ่นออกไปหาตู๋กูหวู่มากกว่า!
หรือที่แท้พวกด่านฉือหล่างกังวลว่าศิษย์พี่ใหญ่ของมันจะไปหาตู๋กูหวู่ จนได้รู้อะไรบางอย่างกันแน่?
เป็นธรรมดาว่าทั้งหมดนั้เป็นแค่การคาดเดาของมัน และไม่ได้มั่นใจเต็มสิบส่วน
“อันใดกันศิษย์น้อง 3 นี่เจ้าไม่เชื่อมือศิษย์พี่ใหญ่คนนี้แล้วหรือ?”
หานอวิ๋นจิ่นกล่าวถามด้วยรอยยิ้ม
“ศิษย์พี่ใหญ่…ไม่ใช่ว่าข้าไม่มั่นใจในตัวท่าน แต่เรื่องนี้ข้าพบจุดที่ไม่สมเหตุสมผลมากเกินไป…ผิวเผินคนของด่านฉือหล่างทำเหมือนกับจะรอหาหลักฐานมัดตัวท่านตอนท่านไปติดต่อกับตู๋กูหวู่ แต่พอดูการกระทำที่เปิดเผยเกินไปของพวกมัน กลับทำให้ข้าคิดไปทำนองพวกมันพยายามกันท่าไม่ให้ท่านออกไปพบตู๋กูหวู่มากกว่า…”
อู๋ฉวนกล่าวถึงุจดที่มันกังวลที่สุดออกมา “หาไม่แล้วไฉนทุกคราที่ศิษย์พี่ใหญ่คิดออกไป ต้องพบว่าพวกมันกำลังเฝ้าจับตาดูท่านทุกครั้ง? หากคิดจะเฝ้าจับตาท่านจริง ไฉนถึงทำให้ท่านรู้ตัวได้ง่ายๆ?”
“ศิษย์น้อง 3 นี่เจ้าจะไม่ขี้ระแวงไปหน่อยหรือไร…ไฉนถึงได้สงสัยมันไปหมดทุกเรื่องเล่า?”
ศิษย์น้องรองของหานอวิ๋นจิ่น ศิษย์พี่รองของอู๋ฉวน ในรูปลักษณ์ชายหนุ่มสวมใส่ชุดคลุมสีเขียวเรียบร้อยคล้ายบัณฑิต ในมือถือไว้ด้วยพัดเล่มหนึ่ง ส่ายหน้าไปมาพลางกล่าวด้วยน้ำเสียงระอา “ศิษย์น้อง 3 เจ้าดีหมดทุกอย่าง…เสียแต่ขี้ระแวงเกินไป ชอบคิดเป็นตุเป็นตะไปเองอยู่เรื่อย…กี่ครั้งแล้วที่เจ้าคิดมากเกินไปจนเรื่องราวมันผิดพลาดไปคนละทาง?”
“คราวนี้ข้าว่าไม่พ้นเจ้าต้องคิดมากเกินไป จนตัดสินผิดพลาดเช่นกัน!”
“เจ้าต้วนหลิงเทียนผู้นั้น อายุไม่ถึง 300 ปี สิ่งนี้คือข้อเท็จจริงที่พิสูจน์ได้…แถมตื้นลึกหนาบางของมันไม่ว่าจะด่านพลังหรือคววามตระหนักรู้ในกฏ ทุกคนล้วนทราบกันดีอยู่แล้วว่าเป็นเช่นไร อาศัยพลังระดับมันเจ้าคิดว่าจะสู้กับศิษย์พี่ใหญ่ได้หรือ?”
“ที่สำคัญบนสังเวียนอัจฉริยะก็ห้ามใช้กำลังภายนอกทุกชนิด กระทั่งอุปกรณ์อมตะยังไม่อาจใช้ได้…เจ้ายังกังวลว่ามันจะซุกซ่อนอันใดไว้ได้อีก?”
กล่าวถึงท้ายประโยคชายหนุ่มชุดเขียวถือพัดแลดูคล้ายบัณฑิต ก็ส่ายหัวไปมาเบาๆอีกรอบ
ชายหนุ่มที่แลดูคล้ายบัณฑิตผู้นี้เรียกว่า จ้าวจี้เลี่ย มันเป็นศิษย์คนที่สองของจักรพรรดิอมตะฟ้าลี้ลับ และในด่านของจักรพรรดิอมตะฟ้าลี้ลับ พลังฝีมือของมันก็เป็นอันดับสองรองจากหานอวิ๋นจิ่นเท่านั้น
“ที่ท่านกล่าวก็ใช่…แต่ข้าว่าระวังไว้ก่อนย่อมดีกว่า”
อู๋ฉวนขมวดคิ้ว ก็จริงที่มันตัดสินผิดพลาดมาแล้วหลายต่อหลายครั้ง แต่คราวนี้เรื่องราวมันเกี่ยวพันถึงความเป็นตายของศิษย์พี่ใหญ่ทั้งคน มันรู้สึกว่าสมควรระวังไว้ก่อนจะดีกว่า
“ศิษย์น้อง 3”
หานอวิ๋นจิ่นยิ้มกล่าวว่า “ข้ารับรู้ถึงความกังวลของเจ้าดี…แต่เจ้าเองก็รู้ ว่าหากวันนี้ข้าไม่ขึ้นไปตัดสินเป็นตายกับต้วนหลิงเทียนบนสังเวียนอัจฉริยะ ต่อไปในวังเทียนฉือ ข้าคงไม่อาจเงยหน้ามองผู้ใดได้อีกแล้ว…”
“เว้นเสียแต่เจ้าจะมั่นใจเต็มสิบส่วน…หาไม่แล้วข้าไม่อาจเสี่ยงเอาชื่อเสียงของข้า ไปแลกกับความเป็นไปได้อันน้อยนิดของเจ้าได้…”
“และหากข้าเสื่อมเสียชื่อเสียงในวังเทียนฉือเพราะเหตุนี้ ต่อให้ข้าจะออกจากวังเทียนฉือเพื่อไปเข้าร่วมกับขุมกำลังระดับสวรรค์อื่นๆ เกรงว่าพวกมันคงไม่คิดเหลียวแลข้าอีก”
“ถึงแม้ข้าหานอวิ๋นจิ่น จะไม่ได้ถือว่าชื่อเสียงสำคัญกว่าชีวิต แต่ถ้าเรื่องราวยังมิใช่ว่าเสี่ยงมากเกินไป ข้าก็ยังเลือกจะขึ้นสังเวียนอัจฉริยะ และรับทราบถึงพลังฝีมือต้วนหลิงเทียนสักครา”
พูดถึงจุดนี้ สองตาหานอวิ๋นจิ่นก็ทอประกายเยียบเย็นออกมาวูบวาบ
“ศิษย์พี่ใหญ่…”
อู๋ฉวนถอนหายใจออกมาเฮือกหนึ่ง “ท่านตัดสินใจเองเถอะ…เรื่องนี้มันทำให้ข้าลำบากใจจริงๆ ข้าเองก็ไม่กล้าพูดว่าข้ามั่นใจมาก เพราะทั้งหมดก็เป็นแค่ข้อสันนิษฐานส่วนตัวข้าเท่านั้น…”
“ไปกันเถอะ! ไปสังเวียนอัจฉริยะ!!”
สองตาหานอวิ๋นจิ่นทอประกายเย็นชาเรืองขึ้นอีกวูบ จากนั้นก็เหินร่างนำออกไปก่อนใคร มุ่งหน้าไปยังทิศทางที่ตั้งสังเวียนอัจฉริยะ!