War sovereign Soaring The Heavens - ตอนที่ 3338
ตอนที่ 3.338 : ต้นกําเนิด ไซอิ๋ว?
ฟุ่บ! ฟุ่บ! ฟุ่บ! ฟุ่บ! ฟุ่บ!
…
สิ้นคําสั่งจ้าววังเทียนฉือโหยวเฟิงอวี้ เหล่าจักรพรรดิอมตะสมญานามของวังเทียนฉือแต่ละคน ก็โจนร่างทะยานออกไปยังเป้าหมายที่โหยวเฟิงอวี้กําหนดให้พวกมันทันที
ด้านกลุ่มต้วนหลิงเทียนนั้น นอกจากต้วนหลิงเทียน เผยหยวนจี๋ และเหลียนชิวที่ลอยร่างรวมกัน คนอื่นๆก็แยกย้ายออกไปรับมือคู่ต่อสู้ของตัวเองเช่นกัน
ทางจักรพรรดิอมตะไว้ใจ เหลยอิง กับจักรพรรดิอมตะฟ้าลี้ลับ หลี่เฉวียนเทียน ก็พากั นมุ่งหน้ามาทางต้วนหลิงเทียน
แน่นอนว่าเป้าหมายของเหลยอิงก็คือต้วนหลิงเทียน ส่วนเป้าหมายของหลี่เฉวียนเทียนก็คือเผยหยวนจี๋ เพียงแค่ทั้งคู่ลอยร่างอยู่รวมกัน พวกมันจึงวิ่งตรงเข้ามาแบบนี้
“มาได้ดี!”
และดูเหมือนเผยหยวนจี๋เองก็รู้ว่าเป้าหมายของเหลยอิงคือต้วนหลิงเทียน เช่นนั้นทันทีที่ลงมือ ก็อุบัติเสาศิลาสีกากีหลายสิบเสาขึ้นจากความว่างเปล่า พุ่งไปก่อตัวเป็นกรงขังล้อมกักเหลยอิงเอาไว้ในฉับพลัน!
จากนั้น ก็ซัดพลังอีกขุมเข้าใส่จักรพรรดิอมตะฟ้าลี้ลับที่เปิดฉากเข่นฆ่าสังหารเข้ามาเร็วไว แต่ต้นจนจบคนไม่ได้ขยับไปไหนแม้แต่ก้าวเดียว
“เผยหยวนจี๋ ลําพังตัวเจ้าเองวันนี้ยังเอาตัวไม่รอด ยังคิดจะช่วยต้วนหลิงเทียนอยู่อีกหรือ!?”
เหลยอิงกล่าวเย้ยเยาะ จากนั้นมวลสายฟ้าที่หมุนวนรอบกายก็พุ่งออกไปราวมังกรทะยานโผล่พ้นลําน้ํา ปลดปล่อยกระแสอัสนี้แปลบปลาบพุ่งทําลายไปยังกรงขังที่เผยหยวนจี๋ใช้กักร่างเอาไว้อย่างดุดัน!
อย่างไรก็ตามกรุงศิลาที่เผยหยวนจี๋ใช้ออก ใช่อะไรที่นางคิดทําลายก็ทําลายได้ง่ายๆหรือ?
สุดท้ายแล้วพลังของเผยหยวนจี๋ยังนับว่าเหนือกว่าจ้าววังเทียนฉือโหยวเฟิงอวี้เสียอีก แม้เผยหยวนที่จะต้านทานรับมือจักรพรรดิอมตะฟ้าลี้ลับ แต่ก็สามารถเจียดพลังมากักขังร่างจักรพรรดิอมตะไว้ใจเหลยอิงเอาไว้ได้อย่างไม่ยากเย็น!
ดังนั้นต่อให้เหลยอิงคิดทลายลูกกรงศิลาของเผยหยวนจี๋ที่กักขังร่างนางเอาไว้มากแค่ไหน แต่มังกรอัสนี้ของนางก็ทําได้แค่สร้างรอยขีดข่วนแก่ลูกกรุงศิลาแค่เล็กน้อยเท่านั้น
บางที หากนางซัดพลังทําลายต่อไปไม่หยุด ในที่สุดก็คงทําลายกรงขังนี้ได้
แต่นั่นมันก็ต้องใช้เวลาอยู่บ้าง
“หึ!”
หลังตระหนักเรื่องราว สีหน้าเหลยอิงก็กลายเป็นอัปลักษณ์อย่างไรก็ตามนางยังคงถ่าทอด พลังลงสู่ศาสตราอมตะคู่กาย ป้อนกระบวนท่าหมายทําลายลูกกรงไม่หยุด
ป่ง!!
เปรี้ยงงงง!!
…
เสียงฟ้าผ่าดังสนั่นลั่นขึ้นถี่ยิบ ประกายแสงสีม่วงก็สว่างวาบราวไฟกระพริบ กระบวนท่าแล้วกระบวนท่าเล่าถูกกระหน่ําซัดใส่ลูกกรงของเผยหยวนไม่หยุดยั้ง!
เห็นได้ชัดว่าเหลยอิงเองก็รีบร้อนจะทําลายกรงขังนี้ให้ได้ในเวลาที่สั้นที่สุด
ลูกกรงที่พี่ใหญ่เผยสร้างขึ้นมานั่นไม่ธรรมดาจริงๆ เป็นการผสานรวมความลึกซึ้งของกฏแห่งดิน 3 ประการถึง 2 ชุด!”
หลังได้เห็นการลงมือส่งๆของเผยหยวนจี๋แต่กลับสามารถขังร่างเหลยอิงไว้ได้ง่ายๆ ต้วนหลิงเทียนก็อดไม่ได้ที่จะเดาะลิ้นด้วยความทึ่ง ตอนนี้เขาไม่แปลกใจเลยที่ไฉนพี่ใหญ่เผยถึงเหนือกว่าโหยวเฟิงอวี้
เข้าใจการผสานรวมความลึกซึ้งของกฏได้ถึงระดับนี้ ให้กวาดตามองทั่วระนาบเทวโลก ก็นับว่าร้ายกาจอยู่ในระดับต้นๆของจักรพรรดิอมตะสมญานามส่วนใหญ่แล้ว!
กระทั่งระดับความเข้าใจยังไม่ต่างอะไรกับจักรพรรดิสวรรค์เลย! เพียงแค่จักรพรรดิสวรรค์ไม่ได้ใช้กฏแห่งดินก็เท่านั้น
เพียงแค่มีระดับความเข้าใจในกฎพอๆกัน แต่เป็นคนละกฏกัน เรื่องราวมันก็เลยแตกต่างกันคนละเรื่อง
ก็อย่างเช่นเผยหยวนจี๋ตอนนี้ ที่ใช้กฏแห่งดิน
สามารถเข้าใจการผสานรวมความลึกซึ้งของกฏแห่งดินได้ถึงระดับนี้ ในแง่ของการป้องกันแล้ว ให้กล่าวว่าอยู่ยงคงกระพันก็ไม่เกินเลย เพียงแค่จุดอ่อนที่ยิ่งใหญ่ที่สุดก็คือความเร็วกับพลังทําลาย
หากกฏที่เผยหยวนจี๋เลือกใช้เป็น 1 ใน 4 กฏสูงสุดล่ะก็ อาศัยความเข้าใจระดับนี้ก็มากพอจะทําให้เผยหยวนจี๋มีพลังรบเหนือกว่าจักรพรรดิสวรรค์ส่วนใหญ่แล้ว!
และต่อให้จะแทนที่ด้วยกฏอื่น ไม่ว่าจะเป็นกฏที่โดดเด่นในแง่พลังทําลายก็ดี หรือในแง่ความเร็วก็ดี เผยหยวนจี๋ก็จะไม่ด้อยไปกว่าจักรพรรดิสวรรค์ทั่วไป!
กระทั่งต่อให้เข้าใจกฏที่ค่อนข้างมีพลังสมดุลอย่างกฎแห่งน้ําหรือกฏแห่งไม้ ก็มากพอจะยกระดับพลังรบโดยรวมของเผยหยวนให้สูงไปกว่านี้อีกขั้น
ในแง่พลังรบโดยรวม กฏแห่งดินถือว่าอ่อนด้อยที่สุด…
ตูม! ตูม ตูม ตูม! ตูม ตูม!
จักรพรรดิอมตะฟ้าลี้ลับ หลี่เฉวียนเทียน ในฐานะที่มันได้รับการยอมรับว่าแข็งแกร่งเป็นอันดับสองรองจากจ้าววังเทียนฉือ ก็ย่อมมีพลังฝีมือพอตัวทีเดียว
และกฏที่มันเข้าใจก็คือกฏทําลายล้าง ยามลงมือปลดปล่อยพลังเซียนอมตะที่ผสานกับพลังธาตุทําลายล้าง ทั่วร่างจึงแผ่กลิ่นอายผลาญทําลายแรงกล้า ทุกกระบวนท่าที่ใช้ออกเรียกว่ารุกไม่มีรับ มุ่งเน้นการจู่โจมล้างผลาญถ่ายเดียว!
ปัง! ปัง! ปัง! ปัง! ปัง!
อย่างไรก็ตามแม้พลังจู่โจมของจักรพรรดิอมตะฟ้าลี้ลับจะรุนแรงดุดัน เพราะใช้กฏทําลายล้างที่จัดว่าเป็นกฏที่มุ่งเน้นในแง่การโจมตี แต่กระนั้นการป้องกันของเผยหยวนจี๋ที่กระทั่งจักรพรสวรรค์ยังจนปัญญา มีหรือมันจะบุกฝ่าทําลายได้ง่ายๆ?
เรียกว่าต่อให้เผยหยวนจี๋เจียดพลังไปกักขังเหลยอิง ทั้งแบ่งความสนใจไปจับตาดูความปลอดภัยของต้วนหลิงเทียน มันยังต้านทานรับมือจักรพรรดิอมตะฟ้าลี้ลับได้อย่างง่ายดาย
และในขณะที่มันต้านทานรับมือจักรพรรดิอมตะฟ้าลี้ลับ พอสัมผัสได้ว่าลูกกรงที่กักขังเหลยอิงไว้ ถูกเหลยอิงทําลายได้กว่า 3 ส่วนแล้ว คนก็สะบัดมืออย่างไร้เรื่องราว จ่ายพลังหนุนเนืองส่งเสริม ฟื้นฟลูกกรงที่แตกร้าวให้กลับมาอยู่ในสภาพเดิม ราวของใหม่แกะกล่อง!!
“เผยหยวนจี๋”
เห็นฉากดังกล่าว จักรพรรดิอมตะไว้ใจเหลยอิงก็แทบกระอักเลือดด้วยโทสะ เพราะสิ่งนี้ไม่ต่างอะไรจากนางต้องเริ่มต้นใหม่อีกครั้ง เร่งเร้าพลังเพื่อฝาทําลายกรงขังของเผยหยวนจี๋อีกรอบ
ให้ตายเถอะ ดูเหมือนข้ายังประเมินพลังของพี่ใหญ่เผยต่ําเกินไป
เมื่อเห็นเผยหยวนจี๋รับมือจักรพรรดิอมตะฟ้าลี้ลับได้ไม่ยากเย็น แถมยังเจียดสมาธิไปกักขัง เหลยอิงได้ชะงัด ที่สําคัญจากสายตานั่นเห็นชัดว่ายังกวาดตามองชมการปะทะของจักรพรรดิอม ตะสมญานามคู่อื่นๆ ไม่เว้นจับตาดูจักรพรรดิอมตะหอนฟ้าที่คุมเชิงอยู่วงนอกหมายฉกฉวยโอกาส ไม่วางตา ก็ทําให้ต้วนหลิงเทียนจําต้องเดาะลิ้นด้วยความที่งอีกรอบ
ทุกเรื่องราวที่เกิดขึ้นทั้งหมดแม้ฟังดูเนิ่นนาน แต่อันที่จริงมันปะทุขึ้นยังไม่ถึงสิบลมหายใจด้วย
เรียกว่าต้วนหลิงเทียนที่ชมดูการลงมือของพี่ใหญ่เผยเพลินๆ พอรู้สึกตัวอีกที่ดานจักรพรรดิ อมตะสมญานามคนอื่นก็สู้กันดุเดือดแล้ว ส่วนเพิ่งชวนกับจ้าววังเทียนฉือ ก็เพียงลอยร่างกลางหาว มองจ้องตากันไม่เปลี่ยน
ฮึง! ฮึง! ฮึง! ฮึง! ฮึง! ฮึง! ฮึง!
…
จักรพรรดิอมตะวิเวกเย็นเยือกเป็น 1 ใน 3 สตรีท่ามกลาง 9 จักรพรรดิอมตะสมญานามของวังเทียนฉือ และยังเป็นสตรีที่แข็งแกร่งที่สุด
นางมาในชุดคลุมสีดําสนิท เส้นผมดําขลับทอดยาวลงมามาปานน้ําตก ใบหน้าอ่อนวัยของนางเต็มไปด้วยความเย็นชา ทว่าสองตาแหลมคมปานมีดดาบยามลงมือ พลังที่กําจายออกมาจากร่างบาง ก็เสมือนจะกลบสีสันทั้งมวลในโลกหล้า!
“นั่นมัน…”
เห็นพลังทั่วร่างของจักรพรรดิอมตะวิเวกเย็นเยือก ลูกตาต้วนหลิงเทียนก็อดหรี่ลงไม่ได้ “เป็น…กฏแห่งความมืดนั้นหรือ?”
กฏนั้น นอกจากกฏสูงสุด 4 ประการ กับกฏแห่งธาตุทั้ง 5 แล้ว ก็ยังมีกฏที่ไม่เกี่ยวข้องกับกฏสูงสุดรวมถึงกฎแห่งธาตุอีกไม่กี่ประการ
และกฏแห่งความมืดก็เป็นหนึ่งในนั้น
นอกจากกฏแห่งความมืดแล้ว ก็ยังมีกฏแห่งแสงกับกฏทําลายล้าง
สําหรับกฏที่จักรพรรดิอมตะวิเวกเย็นเยือกใช้อยู่ก็คือกฏแห่งความมืด ยามซัดพลังจู่โจมแหวกฟ้าเข้าใส่จักรพรรดิอมตะน้ําแข็งทมิฬ ก็เสมือนนางกําลังจะแผ่ความมืดมิดให้ปกคลุมโลกหล้าอย่างไรอย่างนั้น
อย่างน้อยๆสําหรับจักรพรรดิอมตะน้ําแข็งทมิฬแล้ว ก็รู้สึกเสมือนความมืดกําลังปกคลุมโลกหล้าจริงๆ
และในสายตาของคนนอก จุดที่จักรพรรดิอมตะวิเวกเย็นเยือกกับจักรพรรดิอมตะน้ําแข็งทมิฬปะทะกัน ก็เสมือนถูกปกคลุมไปด้วยม่านแห่งความมืด
“ข้าได้ยินคําร่ําลือมานานแล้วว่าจักรพรรดิอมตะวิเวกเย็นเยือกแห่งวังเทียนฉือนั้นใช้กฏแห่งความมืดได้ชของกว่าใครในอู่หยาเทียน ทั้งยังสามารถผสานรวมความลึกซึ้งของกฏแห่งความมืดได้ หลายชุดวันนี้ได้เห็นกับตานับว่าสมคมคําร่ําลือจริงๆ”
ท่ามกลางความมืดมิด ได้ยินเสียงจักรพรรดิอมตะน้ําแข็งทมิฬดังขึ้น
จากนั้นก็เริ่มบังเกิดไอเย็นยะเยือกกําจายออกมาจากความมืด พร้อมกันกับเสียงปะทะของพลังดังลั่นออกมาไม่หยุด!
บ่งงง!!
ฟูมมมม!!
…
คลื่นกระแทกหอบไอหนาวพัดกวาดออกมาทั่วสารทิศ พาลให้อุณหภูมิในสภาพแวดล้อมโดยรอบลดต่ําลงทุกขณะ
“คืนร่างที่แท้จริงเถอะ!”
เสียงเย็นชาจักรพรรดิอมตะวิเวกเย็นเยือกดังขึ้น “หาไม่แล้ว เจ้าก็มิใช่คู่ต่อสู้ของข้า”
“ตามที่ขอ!”
เสียงจักรพรรดิอมตะน้ําแข็งทมิฬดังขึ้นตามติด
ในขณะที่จักรพรรดิอมตะวิเวกเย็นเยือกกับจักรพรรดิอมตะน้ําแข็งทมิฬเริ่มปะทะกันรุนแรงมากเข้า ด้านจักรพรรดิอมตะสมญานามคนอื่นๆก็ฉะกันดุเดือด หมู่เมฆบนฟ้าสลายหายไปหมดเพราะพลังสะท้อน คลื่นกระแทกวงแล้ววงเล่ากวาดมาปะทะส่งเสียงดังครืนๆไม่หยุด
ครูของต้วนหลิงเทียน จักรพรรดิอมตะทุ่งขจีถือหล่างที่เผชิญหน้ากับจักรพรรดิอมตะกวางขาวเคอไป๋ลู่ ก็ลงมือได้ดุดันไม่ใช่ชั่ว
ช่วงแรกทั้งคู่ก็แลดูสูสีกัน
อย่างไรก็ตามยิ่งสู้ไปนานเข้าถือหล่างก็เริ่มเป็นฝ่ายมีเปรียบ กลายเป็นรุกไล่อยู่ฝ่ายเดียว
อย่างไรก็ตามแม้ซื้อหล่างจะมีเปรียบ แต่ด้านเคอไป๋ลู่ที่รู้ตัวว่าแลกกระบวนท่าด้วยไม่ไหว ก็ล้มเลิกการโจมตีและหันมาป้องกันตัวถ่ายเดียว และด้วยอาศัยกฏแห่งดินที่เชี่ยวชาญ มันก็ต้านทานรับทุกกระบวนท่าของฉือหล่างได้อย่างง่ายดาย
เหตุไฉนที่จักรพรรดิอมตะกวางขาว เคอไป๋ลู่ ถูกจับมาขังคุกหมื่นพันธนาการ ก็เป็นเพราะต่อให้เป็นจ้าววังเทียนฉือเองก็ไม่มีปัญญาทําลายการป้องกันและฆ่ามันได้นั่นเอง
“เฮ้อ–”
เมื่อเห็นว่าถือหล่างกับเคอไป๋ลู่ ตกอยู่ในสถานการณ์ท่านรุกข้ารับโดยที่ไม่มีใครทําอะไรใครได้ ต้วนหลิงเทียนก็ระบายลมหายใจออกมาอย่างโล่งอก
ขณะเดียวกันต้วนหลิงเทียนก็หันมองไปยังการปะทะของจักรพรรดิอมตะสมญานามคู่อื่น และพบว่าจักรพรรดิอมตะอัสนีกัมปนาท เถิงฉงป้า เองก็แลกหมัดกับจักรพรรดิอมตะมังกรบู๊กู้ฉางเจียงอย่างไม่มีใครยอมใคร กระทั่งดูเหมือนเถิงฉงป้าจะเริ่มมีเปรียบทีละนิด สองตาเขาก็ลุกวาวขึ้นมาอยู่บ้าง
ส่วนด้านจักรพรรดิอมตะกาทองกับจักรพรรดิอมตะคลื่นหมอกนั้นค่อนข้างสูสี ทําอะไรกันไม่ได้มากนัก
ฟุ่บ!
แต่ในขณะที่ต้วนหลิงเทียนหันมองการประมือของจักรพรรดิอมตะผกาทองกับจักรพรรดิอมตะคลื่นหมอกนั้นเอง ประกายแสงหนึ่งก็แล่นวาบผ่านตาเขา พอหันไปมองดูก็พบร่างคนในกลุ่มก้อนเปลวเพลิงลูกเขื่อง กําลังพุ่งทะยานข้ามฟ้าไปปานดาวตก เข้าแทรกแซงการประมือระหว่างจักรพรรดิอมตะมังกรกู้ฉางเจียงกับจักรพรรดิอมตะอัสนีกัมปนาทหน้าตาเฉย!
เมื่อมีมือที่ 3 เข้ามาแทรก เถิงฉงป้าก็ได้แต่เปลี่ยนจากไล่ต้อนกู้ฉางเจียงมาสร้างปราการป้องกันถ่ายเดียว สามารถต้านทานรับการลงมือของจักรพรรดิอมตะสมญานามทั้ง 2 ได้อย่างไม่มีทีท่าว่าจะเพลี่ยงพล้ํา!
“จักรพรรดิอมตะหอนฟ้า…หยางเชี่ยวเทียน?”
ถึงแม้ต้วนหลิงเทียนจะไม่เคยเห็นหน้าค่าตาจักรพรรดิอมตะหอนฟ้าแห่งวังเทียนฉือมาก่อน แต่ตัดคนที่พบเจอไปหมดแล้ว และดูจากการลงมืออันเนเอกลักษณ์ของคนอื่นๆ เขาก็คาดเดาได้ทันที
ว่าร่างที่พึ่งสอดมือเบื้องหน้าที่แท้เป็นใคร
“ออกมา”
เพียงหนึ่งห้วงคิด ต้วนหลิงเทียนก็เรียกมังกรชั่วร้ายทั้ง 2 ออกมาจากโลกใบเล็กออกมาช่วยเหลือจักรพรรดิอมตะอัสนีกัมปนาททันที
กระทั่งตัวเขาเองก็ยังชักกระบวูบร่างเข้าไปหนุนเสริมตามติด!
คงเหลือแต่เหลียนชิวเท่านั้นที่ลอยร่างอยู่ไม่ห่างเผยหยวนจี๋ด้วยรอยยิ้มขื่นขม เพราะถึงความแข็งแกร่งของมันใกล้จะทัดเทียมจักรพรรดิอมตะสมญานามแล้ว แต่ถ้าจะให้มันสอดมือเข้าไปยุ่งการปะทะกันจักรพรรดิอมตะสมญานามเบื้องหน้า มันยังไม่มีปัญญาสามารถพอ
“ต้วนหลิงเทียน ข้าได้ยินจากเจ้าหนูชุนชิงมาว่าเจ้าเองก็เป็นคนที่ขึ้นสวรรค์มาจากระนาบเหยียนหวง กระทั่งเจ้ายังมีพื้นเพมาจากดาวเหยียนหวงอีกด้วยรึ?”
เมื่อต้วนหลิงเทียนเรียกมังกรชั่วร้ายทั้ง 2 มาช่วยคลี่คลาสถานการณ์ของจักรพรรดิอมตะอัสนีกัมปนาท จนทําให้อีกฝ่ายเริ่มลงมือตอบโต้ได้อีกครั้ง เสียงผ่านพลังหนึ่งก็ส่งตรงถึงหูต้วนหลิงเทียนอย่างประจวบเหมาะ
จากนั้นต้วนหลิงเทียนก็พบว่าการลงมือของจักรพรรดิอมตะหอนฟ้า หยางเซี่ยวเทียนเริ่มช้าลง สุดท้ายก็ผละออกไปไม่ทําอะไร เขาจึงหยุดมือลงเช่นกัน และหันไปมองต้นเสียงทันที
หลังส่งเสียงตอบกลับไปแล้ว ต้วนหลิงเทียนก็มองจ้องหยางเซี่ยวเทียนด้วยความสนใจ “ผู้อาวุโสเซียวเทียน…ท่านรู้จักสุดยอดวรรณกรรมจีนอย่าง ไซอิ๋วรึเปล่า?”
“หืม? ไซอิ๋ว!?”
ได้ยินคําถามผ่านพลังดังกล่าวของต้วนหลิงเทียน หยางเซียวเทียนก็อึ้งไปพักหนึ่ง ค่อยยิ้มกล่าวสืบต่อ “ข้าได้ยินซุนชิงบอกว่าเจ้าเกิดที่ดาวเหยียนหวงหลังจากมันราวๆ 500 กว่าปี..หรือเรื่อง ไซอิ๋วยังสืบสานมาถึงยุคสมัยของเจ้าด้วย?”
“ท่านผู้อาวุโส…นี่ท่านรู้จักเรื่องไซอิ๋วจริงๆรึ?”
ต้วนหลิงเทียนอึ้งไปไม่น้อย เดิมทีที่เขาเปิดคําถามนี้ออกมา ก็หมายให้อีกฝ่ายสงสัยและถามต่อ เขาจะได้เล่าเรื่องราวให้ฟังรวมถึงบอกว่าในนั้นมีท่านอยู่ด้วย แต่ไม่คิดว่าหยางเซียวเทียนดันรู้
จักจริงๆ
“ข้าย่อมรู้เป็นธรรมดา..เพราะไอ้เรื่องไซอิ๋วที่เจ้าว่าน่ะ กล่าวไปก็มีต้นกําเนิดมาจากข้านี่ล่ะ!”
สองตาหยางเซี่ยวเทียนทอประกายเรื่องขึ้นวาบหนึ่ง จากนั้นก็เริ่มฉายแววหวนรําลึกให้เห็น “ที่เรื่องไซอิ๋วเกิดขึ้นได้ทั้งหมดเป็นเพราะบันทึกเรื่องราวส่วนหนึ่ง ที่ข้าเหลือทิ้งไว้ในมรดกสถานที่ข้าสร้างไว้ให้ชนรุ่นหลัง”
“ มรดกสถานทั้ง แห่ง”