War sovereign Soaring The Heavens - ตอนที่ 3355
ตอนที่ 3355 : ค่ายกลหมื่นลักษณ์
ฟั่ฟฟฟ!!
อย่างไรก็ตาม แม้ชายวัยกลางคนจะทุ่มพลังทั้งหมดในการลงมือ อนิจจาข่ายพลังดาบไฟปานข่ายฟ้าแหสวรรค์ที่ผสานไว้ด้วยพลังของกฏแห่งไฟทั้งหมดที่มันเข้าใจ รวมถึงพลังของเพลิงเทพโกลาหลขั้น 5 นั้น…
พอเผชิญหน้ากับต้นตอของเสียงหอนแหวกฟ้าฉับไว อันเป็นรังสีกระบี่หลากสีสัน พลังทั้งหมดของชายวัยกลางคนก็ไม่ต่างอะไรจากกระดาษเปื่อยเปียกน้ำ ถูกผ่าเข้ามาได้ง่ายดาย! รังสีกระบี่หลากสีสันนั่นราวกับเป็นพลังที่อยู่คนละมิติกับพลังของมันก็ไม่ปาน!!
กระทั่งคลื่นพลังไล่หลังที่ตามติดรังสีกระบี่หลากสีสัน ยังเสมือนอสูรร้ายหิวกระหายกลืนกินทุกอณูพลังของมันไปหมดสิ้น!
“ถล่มมารดามัน!!”
“ในร่างเจ้านี่มิเพียงแต่จักมีเพลิงเทพโกลาหลขั้นที่ 6 เท่านั้น! แต่มันยังมีทองเทพสุดลี้ลับขั้นที่ 6 ปฐพีเทพแรกกําเนิดฟ้าดินขั้นที่ 6 พฤกษาเทพครอสวรรค์ขั้นที่ 6 ไม่เว้นวารีเทพชําระโลกาขั้นที่ 6”
“สารเลวนี่มันเป็นผีห่าซาตานจากนรกขุมใดกันแน่!?”
“จบสิ้นกัน! ชีวิตข้าจบสิ้นกันแล้ว!!”
ในขณะที่ชายวัยกลางคนตระหนักว่าพลังกระบวนท่าของมันถูกผ่าทําลายเข้ามาง่ายดายด้วยพลังอํานาจที่เหนือชั้นกว่าโดยสิ้นเชิง เสียงตื่นตระหนกเหลือเชื่อระคนสิ้นหวังของเพลิงเทพโกลาหลขั้นที่ 5 ในร่างก็โพล่งดังขึ้นมาอย่างเสียขวัญ พาลให้ชายวัยกลางคนตะลึงลานไปแล้วจริงๆ
ชายเบื้องหน้ามันถึงกับมีเทพเบญจธาตุในร่างครบทุกธาตุ?
ยิ่งไปกว่าเทพเบญจธาตุทั้งหมดในร่างอีกฝ่ายยังบรรลุขั้นที่ 6
“ไม่–”
จนเมื่อประกายแสงของรังสีกระบี่หลากสีสันสะท้อนในแววตา ชายวัยกลางคนก็พลันฟื้นคืนสติ วินาทีนี้มันบังเกิดความหวาดกลัวจับใจ พยามเร่งเร้าพลังชั่วชีวิตเพื่อป้องกันตัวเองอย่างสิ้นหวัง ขณะเดียวกันก็ร่ำร้องขอความช่วยเหลือเพลิงเทพโกลาหลในร่างอย่างลนลาน “สหายเพลิงช่วยข้า! ช่วยข้าเร็วเข้า!!”
อนิจจาเสียงร้องขอความช่วยเหลือของมัน กลับไม่ได้รับการตอบรับใดๆทั้งสิ้น เนื่องเพราะบัดนี้เพลิงเทพโกลาหลขั้นที่ 5 ในร่างมัน ถูกเพลิงเทพโกลาหลขั้นที่ 6 ของต้วนหลิงเทียนครอบงําแล้ว
รังสีกระบี่สีรุ้งปนเทาที่ต้วนหลิงเทียนตวัดกระบี่ซัดมารอบนี้ ไม่ได้มีพลังของเพลิงเทพโกลาหลรวมอยู่ด้วยแต่อย่างไร เพราะในพริบตาเดียวกันกับที่ต้วนหลิงเทียนลงมือ เพลิงเทพโกลาหลได้พวยพุ่งออกมาจากร่างเขา ก่อนจะมุดหายเข้าไปในร่างชายวัยกลางคนเพื่อกลืนกินเพลิงเทพโกลาหลขั้นที่ 5 ของอีกฝ่ายแต่แรกแน่นอนว่าด้วยความที่อีกฝ่ายอ่อนด้อยกว่ามันขั้นหนึ่ง เช่นนั้นก็ไม่จําเป็นต้องได้รับความช่วยเหลือจากใคร
ฉัวะ!! ปงงง!!
ร่างชายวัยกลางคนถูกรังสีกระบี่หลากสีสันเสือกทะลวงเข้าหว่างคิ้วป่นปี้ดวงจิตวิญญาณสลาย ก่อนจะถูกคลื่นพลังมิติล้างผลาญไล่หลังระเบิดร่างเป็นหมอกโลหิต สาบสูญไปจากสวรรค์และโลกในพริบตา
ย้อนกลับไปในเสี้ยวพริบตาก่อนที่ร่างชายวัยกลางคนจะถูกคลื่นพลังมิติจากรังสีกระบี่ป่นปี้ทําลาย เพลิงเทพโกลาหลสีเทา ก็ลอยล่องกลับมาหาต้วนหลิงเทียนก่อนจะมุดเข้าไปในโลกใบเล็กภายในกายเขาเร็วไว…เห็นชัดว่าการกลืนกินของมันจบลงในเวลาเพียงเสี้ยวพริบตาเท่านั้น
“ว้าวว!!”
หลังจากที่ต้วนหลิงเทียนฆ่าชายวัยกลางคนไปแล้ว เสียงตื่นเต้นของเสี่ยวจินก็โพล่งดึงขึ้นมาทันที “พี่ใหญ่ๆๆ ตอนนี้ท่านติดอยู่ใน 700 อันดับแรกแล้วล่ะ! ตอนนี้ท่านถือว่าเป็นนายกองคนหนึ่งแล้ว ไม่คิดเลยว่าคนที่ท่านพึ่งฆ่าไปที่แท้จะเป็นนายกองคนหนึ่ง!!”
ในสมรภูมิอเวจี ตราบใดที่มีแต้มยศรบติดอยู่ใน 1,100 อันดับแรก ก็จะได้รับยศที่สอดคล้องกัน
ยศที่ว่า หากติดอยู่ใน 100 อันดับแรกจะเรียกว่าแม่ทัพ ส่วนตั้งแต่อันดับที่ 101 ถึง 1,100 จะเรียกว่านายกอง
หลังจากที่ต้วนหลิงเทียนฆ่าชายวัยกลางคนไป เมื่อได้รับแต้มรบจากอีกฝ่าย เขาก็ติดอยู่ใน 700 อันดับแรกทันที และในตารางจัดอันดับ ชื่อ “เซี่ยเฟยหวู่” ของต้วนหลิงเทียนก็ปรากฏขึ้นบนตารางเป็นที่เรียบร้อย
เป็นธรรมดาว่าในสมรภูมิอเวจี ผู้คนมักใช้นามแฝงกัน ทําให้การปรากฏขึ้นอย่างกะทันหันของด้วนหลิงเทียน ก็ไม่ได้กระตุ้นความสนใจของผู้คนมากมายอะไร
อีกทั้งท้ายที่สุดแล้วนี่มันก็เป็นแค่ 700 อันดับแรกเท่านั้น
วันหนึ่ง ถึงตอนที่ต้วนหลิงเทียนติดอยู่ใน 100 อันดับแรกเมื่อไหร่ ถึงตอนนั้นคนย่อมให้ความสนใจเขามากขึ้นเป็นธรรมดา
ท้ายที่สุดแล้วสมรภูมิแห่งนี้ ก็มีแม่ทัพอยู่ด้วยกันทั้งสิ้น 100 คน
ส่วนนายกองมีเป็นพัน ความสําคัญย่อมเทียบกันไม่ติด
“จะว่าไป ดูจากพลังของเจ้านั่นเมื่อครู่ หากปล่อยให้มันอยู่ในสมรภูมิอเวจีนานกว่านี้ คงไม่ใช่แค่นายกองธรรมดาๆแน่ต้องโทษที่มันดวงกุดเกินไป เจอใครไม่เจอดันมาเจอเข้ากับพี่ใหญ่หลิงเทียนซะได้”
เมื่อครู่เสี่ยวจินเองก็ได้เห็นพลังของชาวัยกลางคนชัดเจน จึงรู้ว่าพลังของอีกฝ่ายไม่ใช่ชนชั้นต่ำทรามแม้แต่น้อย หากปล่อยให้อีกฝ่ายโลดแล่นในสมรภูมินานเข้า อย่าว่าแต่นายกองระดับต้นๆ ไม่ใช่เรื่องเป็นไปไม่ได้ที่อีกฝ่ายจะกลายเป็นแม่ทัพด้วยซ้ำ!
น่าเสียดายที่อีกฝ่ายมาเจอเข้ากับพี่ใหญ่หลิงเทียนของนางเสียก่อน จึงจบเห่ลงแต่เพียงเท่านี้
“พี่ใหญ่หลิงเทียน ตอนนี้แต้มรบท่านก็มี 800 กว่าแต้ม….ท่านสามารถใช้มันแลกเปลี่ยนกับโอกาสเข้าสู่แดนลับได้แล้วล่ะ”
เสี่ยวจินหันไปยิ้มกล่าวกับต้วนหลิงเทียน “ยิ่งไปกว่านั้นถึงท่านจะใช้แต้มรบไป แต่แต้มยศรบท่านก็จะไม่ลดลง ทําให้ไม่ส่งผลต่ออันดับของท่านในตาราง”
ได้ยินคําเตือนของเสี่ยวจิน ต้วนหลิงเทียนก็เริ่มคิดว่าจะเอาอย่างไรดี เพราะแดนลับที่สามารถใช้แต้มรบซื้อโอกาสเข้าได้นั้นมันมีหลายแบบ ค่าใช้จ่ายก็แตกต่างกัน
โดยเฉพาะแดนลับที่สามารถเข้าได้หลายคน ยิ่งเปิดให้คนเข้าไปได้มากเท่าไหร่ แต้มรบที่ต้องใช้ก็จะน้อยลงเท่านั้น
กลับกัน หากแดนลับที่มีคนเข้าไปได้น้อยมากเท่าไหร่ ก็จะยิ่งใช้แต้มรบมากขึ้น
“แดนลับที่เข้าไปได้คนเดียว…ต้องใช้แต้มรบครั้งละ 500 เชียว?”
ต้วนหลิงเทียนอดเดาะลิ้นไม่ได้
เรียกว่าทันทีที่ต้วนหลิงเทียนคิดในใจถึงแดนลับต่างๆที่ใช้แต้มรบซื้อได้ในใจเขาก็ปรากฏหัวข้อให้เลือก แถมยังมีรูปแบบคล้ายๆหน้าจอแสดงผลในเกมเมื่อชาติก่อนสิ่งนี้ทําให้เขายืนยันได้ชัดถนัดใจ ว่าผู้แข็งแกร่งที่สุดสร้างสมรภูมิรบขึ้นเพื่อความบันเทิงจริงๆ
“เห? ถึงจะเป็นแดนลับส่วนตัว แต่ถ้าผู้ซื้อเต็มใจ ก็สามารถให้คนอื่นเข้าไปด้วยได้งั้นหรือ?”
ไม่นานต้วนหลิงเทียนก็สังเกตเห็นเรื่องนี้
หากเขาอยู่ด้านนอกสมรภูมิอเวจี แล้วมีตัวเลือกให้เข้าแดนลับส่วนตัวแบบนี้เขาคงไม่ลังเลและตัดสินใจเข้าไปทันทีแน่
แต่ตอนนี้ด้วยมีฮ่วนเอ๋อกับเสี่ยวจินมาด้วย เขาย่อมไม่อาจเข้าไปในแดนลับเพียงลําพังและปล่อยให้ทั้ง 2 คนรออยู่ด้านนอกได้…พอเห็นว่าแดนลับส่วนตัวราคา 500 แต้มรบสามารถพาคนเข้าไปได้ด้วย เขาก็ย่อมโล่งใจเป็นธรรมดา
“ฮ่วนเอ๋อ เสี่ยวจิน ข้าจะแลกแต้มรบเป็นโอกาสเข้าสู่แดนลับส่วนตัว พวกเราจะเข้าไปด้วยกัน”
ต้วนหลิงเทียนหันไปกล่าวบอกฮ่วนเอ๋อกับเสี่ยวจินผ่านพลังก่อน
หลังจากนั้นต้วนหลิงเทียนก็ทําการแลกเปลี่ยน
“แลกแต้มรบเป็นแดนลับส่วนตัว”
หลังจากที่ต้วนหลิงเทียนคิดจบ เขาก็พบว่าแต้มรบของเขาหายไป 500 แต้มในพริบตา และเห็นว่าแต้มรบเขาเหลือติดตัวเท่าไหร่ ส่วนแต้มยศรบ ยังคงไม่เปลี่ยนแปลง
และหลังจากแต้มรบ 500 แต้มถูกหักไปแล้ว เขาก็สัมผัสได้ถึงเจตจํานงลี้ลับบางอย่างชี้นําเขาทันที ชี้นําให้เดินทางไปยังที่ไหนสักแห่ง
“ไปทางนั้น”
ต้วนหลิงเทียนพาฮ่วนเอ๋อกับเสี่ยวจินไปตามทางที่เจตจํานงลึกลับชี้นํา สุดท้ายก็ออกจากพื้นที่อเวจีหมื่นแปลง ผ่านพ้นฉากต่างๆมากมายหลายพื้นที่ มุ่งตรงไปตามคําชี้นําอย่างระแวดระวัง
ราวๆ หนึ่งวันหนึ่งคืนต่อมา ในที่สุดต้วนหลิงเทียนก็หยุดร่างลงกลางหาว “ที่นี่ล่ะ”
และตอนนี้เอง พวกต้วนหลิงเทียนทั้ง 3 ก็ได้ปรากฏตัวอยู่ในทะเลทรายอันกว้างใหญ่แห่งหนึ่งเรียกว่าเป็นทะเลทรายที่กว้างใหญ่สุดลูกหูลูกตานัก และผืนดินเบื้องล่างก็เต็มไปด้วยซากปรักหักพังโทรมๆ หลังกวาดตามองสํารวจซากปรักหักพังเบื้องล่าง ต้วนหลิงเทียนก็พบร่องรอยแห่งการผ่านพ้นวันเวลามาเนิ่นนานสุดจะนับ เก่าแก่ทรุดโทรมเสียจนราวแค่แตะก็จะสลายเป็นธุลีทราย..
“พี่ใหญ่หลิงเทียนแดนลับที่ว่าอยู่ใต้ซากเนี่ยเหรอ?”
เสียวจนเอ่ยถามผ่านพลัง
“เปล่า”
ต้วนหลิงเทียนส่ายหัว “ทางเข้าสมควรอยู่ในซากปรักหักพังพวกนี้ ไม่ใช่ใต้ผืนทราย…พวกเราต้องลงไปหาทางเข้าในซากข้างล่างเอาน่ะ”
หลังจากนั้นต้วนหลิงเทียนก็โรยตัวนําฮ่วนเอ๋อกับเสี่ยวจินลงไปยังซากปรักหักพังเบื้องล่าง จากนั้นก็เดินเข้าไปในอาคารเก่าๆที่ฟังไม่มีชิ้นดีแห่งหนึ่ง
เมื่อเข้ามาแล้ว ต้วนหลิงเทียนก็พบว่ามีช่องทางเดินหนึ่ง ที่ยังมีสภาพดี คล้ายตั้งใจไว้ในซากอาคารหลังนี้โดยเฉพาะ
แม้จะมีเศษซากสิ่งของเก่าๆบังขวาง แต่ก็ไม่อาจขัดขวางทั้ง 3 ได้ และหลังลุยฝ่ามาได้สักพัก ในที่สุดพวกต้วนหลิงเทียนก็หยุดลง
“เอ๊า ไหงเป็นทางตันอ่าพี่ใหญ่…”
เสี่ยวจินพอเห็นว่าทางหน้าเป็นผนังกําแพง ก็โอดครวญออกมา
“พี่ใหญ่หลิงเทียน ข้าสัมผัสได้ว่าด้านหลังกําแพงเบื้องหน้า ดูเหมือนจะมีกลิ่นอายค่ายกลมายา”
ฮ่วนเอ๋อที่ไม่ค่อยพูด กล่าวขึ้น
“ใช่”
ต้วนหลิงเทียนพยักหน้า “หลังข้าจ่ายแต้มรบไปแล้ว ไม่เพียงแต่มันจะชี้นําข้ามาที่นี่ข้ายังได้รับวิธีฝ่าค่ายกลอีกด้วย”
พอกล่าวจบคํา ต้วนหลิงเทียนก็เรียกกระบี่หลิงหลง 7 เปลี่ยนออกมาฟันกําแพงเบื้องหน้าทันที ไม่นานกําแพงก็ถูกฟันทําลาย หนทางตีบตันจึงเปิดออก แน่นอนว่าไม่ได้กินเรี่ยวแรงสักเท่าไหร่
หลังเปิดทางแล้ว พวกต้วนหลิงเทียนทั้ง 3 ก็เดินเข้าไปหยุดเบื้องหน้าค่ายกลทันที
และค่ายกลดังกล่าว ฮ่วนเอ๋อก็ไม่มีปัญญาทําอะไรมันได้ “พี่หลิงเทียน…ค่ายกลนี่ทรงพลังมาก ฮ่วนเอ๋อมองไม่ออก แถมฮ่วนเอ๋อยังรู้สึกอีกว่า…ต่อให้ทะลวงถึงจักรพรรดิอมตะและได้รับความทรงจําสืบทอดเพิ่ม ก็ยังไม่อาจมองผ่านค่ายกลนี้ได้อยู่ดี”
ฮวนเอ๋อกล่าว
“เป็นเรื่องปกติ”
ต้วนหลิงเทียนคลี่ยิ้มพลางกล่าว “สมรภูมิอเวจีถูกสร้างขึ้นโดยฝีมือของผู้แข็งแกร่งที่สุด…ค่ายกลที่เป็นอุปสรรคขัดขวางไม่ให้ใครเข้าไปง่ายๆ ย่อมไม่อาจทําลายได้ด้วยวิธีการทั่วไปทั้งหมดเพื่อกันไม่ให้ผู้ที่ผ่านมาโดยบังเอิญพบเจอแล้วเข้าไป”
หลังจากนั้น ต้วนหลิงเทียนก็เริ่มทําตามวิธีที่เขาได้รับมาตอนซื้อแดนลับส่วนตัว เพื่อทําลายค่ายกลมายาเบื้องหน้าทันที จากนั้นก็พาฮ่วนเอ๋อกับเสี่ยวจินเดินเข้าไป ไม่นานนักพวกเขาก็เข้าสู่พื้นที่อันกว้างใหญ่ไพศาลแห่งหนึ่ง
“พระราชวัง…”
เมื่อปรากฏในพื้นที่แห่งใหม่แล้ว พระราชวังหลังใหญ่ที่ตั้งตระหง่านอยู่เบื้องหน้า ก็เข้าสู่ครรลองสายตาต้วนหลิงเทียนกับพวกทันที
พระราชวังหลังนี้กล่าวไปยังตั้งอยู่ไกลไม่ใช่เล่น อีกทั้งถนนที่ทอดยาวสู่พระราชวัง ทั้ง 2 ฟากฝั่ง ก็เต็มไปด้วยรูปปั้นตั้งอยู่รูปปั้นเหล่านี้มีทั้งรูปปั้นเด็กคนหนุ่มจวบจนผู้ชรา เรียกว่ามีทุกเพศทุกวัย
นอกจากรูปปั้นลักษณะผู้คนแล้ว ยังมีรูปปั้นสัตว์อมตะอีกด้วย
สัตว์อมตะนั้น มีบางชนิดที่ต้วนหลิงเทียนคุ้นเคยอย่างมังกรพยัคฆ์อะไรทํานองนั้น ส่วนที่ไม่คุ้นต้วนหลิงเทียนก็บอกไม่ได้ว่าเป็นตัวอะไร
“ถึงแล้วล่ะ”
ต้วนหลิงเทียนเอ่ยขึ้นกับฮ่วนเอ๋อและเสี่ยวจิน “พระราชวังที่ตั้งอยู่ตรงหน้าพวกเราก็คือแดนลับส่วนตัว ปลายทางการเดินทางของพวกเรา ถ้าพูดให้ชัด ตั้งแต่ที่พวกเราปรากฏตัวขึ้นมาเหยียบอิฐก้อนแรก พวกเราก็อยู่ในแดนลับแล้ว”
ตอนนี้ภายในใจของต้วนหลิงเทียน เจตจํานงที่คอยชี้นําก็ได้หายไปแล้ว
นอกจากนั้นต่อให้ไม่มีใครบอก ต้วนหลิงเทียนก็รู้สึกอย่างแรงกล้า
ว่ารูปปั้น 2 ข้างทางที่ทอดยาวเป็นตับนี่ สิบในสิบสมควรเป็นบททดสอบของแดนลับแห่งนี้
“พวกเจ้าคอยตามข้ามาด้านหลัง ระวังตัวด้วย”
พร้อมๆกับที่สองตาต้วนหลิงเทียนทอประกายสว่างวาบ กระบี่หลิงหลง 7 เปลี่ยนก็ปรากฏขึ้นมาหมุนวนรอบกาย หลังชวนฮ่วนเอ๋อกับเสี่ยวจินแล้ว ต้วนหลิงเทียนก็ไม่ลืมติดต่อวารีเทพชําระโลกาในโลกใบเล็กของเขา “พี่สาวสู่ย…รูปปั้นพวกนี้ ท่านเห็นอะไรเป็นพิเศษไหม?”
แทบจะทันทีที่ต้วนหลิงเทียนกล่าวถามจบคํา เสียงวารีเทพชําระโลกาก็ดังขึ้น “มันคือค่ายกลหมื่นลักษณ์”
“ค่ายกลหมื่นลักษณ์”
ต้วนหลิงเทียนชักหน้าเข้ม
“ตอนนี้เจ้าอยู่ในค่ายกลหมื่นลักษณ์ที่ว่าแล้ว ในค่ายกลแห่งนี้พร้อมพรั่งไปทั้งรุกและรับ ไม่เว้นภาพมายา…หากคิดจะผ่านมันไป ก็มีแต่ต้องฝ่าไปตรงๆ และทําลายทุกสิ่งที่ขวางให้หมด ถึงจะถือว่าผ่านค่ายกลหมื่นลักษณ์ และมีแต่ทําลายทุกสิ่งแล้วเท่านั้นค่ายกลหมื่นลักษณ์จึงจะถือว่าถูกทําลาย”
วารีเทพชําระโลกากล่าวเสริม