War sovereign Soaring The Heavens - ตอนที่ 3377 : เตรียมออกค้นหาครอบครัว
ตอนที่ 3,377 : เตรียมออกค้นหาครอบครัว
ในระนาบเทวโลกนั้น ระดับของขุมกําลังใดๆ ก็ล้วนอิงจากพลังรบสูงสุดของขุมกําลังนั้นๆ
ตัวอย่างเช่น หากเป็นขุมกําลังระดับ 4 ไม่ว่าจะเป็นนิกายระดับ 4 ตระกูลระดับ 4 หรือพรรคสํานักระดับ 4 ใดๆก็แล้วแต่ อย่างน้อยๆภายในขุมกําลังดังกล่าว ก็ต้องมีตัวตนระดับจอมราชันอมตะสมญานามคอยค้ำจุนอยู่ 1 คน หาไม่แล้วเกรงว่าคงไม่อาจปกป้องรากฐานของขุมกําลังได้
และต่อให้มีจอมราชันอมตะ 10 ทิศมากแค่ไหน แต่ถ้าไร้จอมราชันอมตะสมญานามแม้แต่คนเดียว ก็จะไม่ถือว่าเป็นขุมกําลังงระดับ 4!
ดุจเดียวกับขุมกําลังที่ต้วนหลิงเทียนเคยพบเจอในแดนสวรรค์ใต้ของหลิงหลัวเทียน ไม่ว่านิกายหรือ 10 ตระกูลใหญ่ที่ทรงพลังที่สุดของแดนสวรรค์ใต้ ล้วนแล้วแต่เป็นขุมกําลังระดับ 5 ทั้งสิ้น
นั่นเพราะถึงแม้พวกมันจะมีจอมราชันอมตะมากมาย แต่ในบรรดาจอมราชันอมตะเหล่านั้นไม่มีตัวตนระดับจอมราชันอมตะสมญานามแม้แต่คนเดียว
กระทั่งให้กวาดตามองไปทั่วทั้งแดนสวรรค์ใต้ ก็มีจอมราชันอมตะสมญานามอยู่แค่คนเดียวเท่านั้น และนั่นก็คือจอมราชันอมตะสวรรค์ใต้ที่ควบคุมดูแลทั้งแดนสวรรค์ใต้นั่นเอง
“ท่านประมุข!!”
“ท่านผู้อาวุโสสูงสุด!!”
เหล่าผู้อาวุโสหลายคนของนิกายกระบี่เมฆรุ้ง เร่งรุดไปดักหน้าโหยวไป๋เฟิ่งกับอวี่เหวินชิงที่ยังไม่ทันได้ใช้ความเร็วสูงสุดเอาไว้ได้ทันท่วงที ก่อนจะพร้อมใจคุกเข่าลงกลางหาว หยุดร่างทั้งคู่เอาไว้
และพออวี่เหวินชิงกับโหยวไป๋เฟิ่งถูกหยุด เหล่าอาวุโสและเหล่าศิษย์ที่เร่งรุดเดินตามมาด้านหลัง ก็รีบแจ้นมาคุกเข่าลงกลางหาวเบื้องหน้าทั้งคู่เช่นกัน
“ท่านประมุข ข้ารู้ว่าท่านมีโทสะกับเรื่องเมื่อครู่ แต่ท่านลองคิดดูเถอะ ชีวิตของคน 1 คนกับชีวิตของผู้คนทั้งนิกาย สิ่งใดมีน้ำหนักมากกว่ากัน…พวกเราไม่อาจไม่เลือกทางนั้น!”
“ท่านผู้อาวุโสสูงสุด นิกายกระบี่เมฆรุ่งเราไม่อาจอยู่ได้หากไม่มีพวกท่าน!”
ด้านพวกต้วนหลิงเทียนกับคนอื่นๆที่เหินร่างออกมาก่อน แน่นอนว่าไม่ทราบสถานการณ์ที่อวี่เหวินชิงกับโหยวไป๋เฟิ่งกําลังเผชิญอยู่ด้านหลัง
อย่างไรก็ตาม ต้วนซือหลิง ที่เหินร่างอยู่ข้างๆต้วนหลิงเทียนอดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้ว พลางกล่าวอย่างทอดถอนใจ “เฮ่อ…เมื่อครู่ท่านอาจารย์ได้ลั่นวาจาว่าจะออกจากนิกายกระบี่เมฆรุ้งไปแล้ว เช่นนั้นพวกเราจะทําอย่างไรกันดี เพราะนิสัยของอาจารย์เมื่อพูดไปแล้วนางย่อมไม่คิดคืนคําแน่…”
“ซือหลิง เรื่องนี้เจ้าไม่ต้องห่วงหรอก”
พอเฟิงเทียนหวู่ได้ยิน นางก็ส่ายหัวไปมา กล่าวชี้แจงว่า “ถึงแม้ศิษย์พี่กับท่านอาจารย์จะลั่นวาจาไปแล้ว และไม่คิดกลับคําพูด แต่เชื่อข้าเถอะ นิกายกระบี่เมฆรุ้งไม่ยอมให้ทั้งคู่จากไปไหนแน่”
ศิษย์พี่ข้าก็คงไม่อาจหักใจตัดไมตรีอะไรได้หรอก”
“ท่านอาจารย์เองก็เหมือนกัน”
กล่าวจบคํา เฟิ่งเทียนหวู่ก็คลี่ยิ้มบางๆ
เพราะให้เทียบกับต้วนซือหลิงแล้ว เฟิ่งเทียนหวู่นั้นมองเรื่องราวอะไรได้กระจ่างกว่ามาก “เจ้ารู้หรือไม่เล่า ว่าไฉนนิกายกระบี่เมฆรุ้งถึงได้เป็นขุมกําลังระดับ 4 อย่างทุกวันนี้? ทั้งหมดเป็นเพราะนิกายกระบี่เมฆรุ้งมีท่านอาจารย์คอยค้ำจุน…กล่าวได้ว่าเพราะมีท่านอาจารย์ที่เป็นจอมราชันอมตะสมญานามคอยปกปักษ์ นิกายกระบี่เมฆรุ้งจึงถือว่าเป็นขุมกําลังระดับ 4 จึงยากจะมีใครกล้ามาตอแยง่ายๆ”
“อีกทั้งโดยปกติแล้วหากเป็นขุมกําลังระดับ 4 นั้น มักจะตั้งรกรากอยู่บนสายแร่ผลึกอมตะระดับราชา…ส่วนนิกายกระบี่เมฆรุ้งที่ตั้งรกรากอยู่บนสายแร่ผลึกอมตะระดับขุนนาง ย่อมไม่ได้อยู่ในสายตาของจอมราชันอมตะสมญานามคนอื่นเลย ทําให้นิกายกระบีเมฆรุ้งไม่โดนขุมกําลังระดับ 4 รุกรานถึงวันนี้อย่างไรเล่า”
“ทว่าตราบใดที่ศิษย์พี่ถอนตัวออกจากนิกาย ท่านอาจารย์เองก็คงไม่คิดรั้งอยู่และต้องไปพร้อมกับศิษย์พี่ ถึงตอนนั้นด้วยไร้ศิษย์พี่กับท่านอาจารย์ค้ำจุน นิกายกระบี่เมฆรุ้งก็จะตกไปเป็นนิกายระดับ 5 แล้ว”
“เพราะเหตุนี้ หัวเด็ดตีนขาดผู้อาวุโสเหล่านั้นก็ไม่มีทางปล่อยให้ศิษย์พี่กับท่านอาจารย์จากไปได้หรอก…ปานนี้ไม่พ้นต้องพากันคุกเข่าเพื่อรั้งตัวศิษย์พี่กับอาจารย์และเกลี้ยกล่อมกันแล้วล่ะ”
เฟิ่งเทียนหวู่กล่าว
และไม่ทันที่ต้วนซือหลิงจะได้พูดอะไร ก็เป็นเสี่ยวจินที่ขมวดคิ้วเป็นปมกล่าวออกมาก่อน “เอ้า พวกมันจะไม่ไร้ยางอายเกินไปหน่อยหรือไร ก่อนหน้าไม่ใช่ยังบีบคั้นให้อาจารย์ของซือหลิงกับพี่สาวเทียนหวู่ออกจากนิกายกระบี่เมฆรุ้งอยู่เลยไม่ใช่รึ?”
“ที่ตอนนั้นข้าไม่เห็นว่าจะมีใครคิดรั้งอาจารย์ของซือหลิงกับพี่สาวเทียนหวู่สักคน…พอวิกฤตผ่านพ้น เรื่องราวพลิกผันก็เปลี่ยนท่าที่ซะงั้น แบบนี้จะไม่หน้าด้านเกินไปหน่อยรึไง พวกยายเฒ่านั่นไม่มีศักดิ์ศรีกันบ้างหรือ?”
เสี่ยวจินอดไม่ได้ที่จะงุนงงอยู่บ้าง โลกในสายตาของนางมีแค่สีดํากับขาว ไม่มีสีเทา
แต่เป็นธรรมดาว่า หากเพื่อพี่ใหญ่หลิงเทียนกับผู้คนรอบๆกายพี่ใหญ่หลิงเทียนแล้ว ต่อให้จะเป็นสีดํา นางก็พร้อมจะย้อมตัวให้เปสีดําและคอยติดตามไปจนสุดทาง ไม่คิดเสียใจภายหลังแน่นอน
“ก็ใช่..”
เฟิงเทียนหวู่ถอนหายใจออกมาเยือกหนึ่ง “แต่ข้าก็ไม่คิดโทษใครหรอก…เพราะไม่ว่าจะเป็นใคร หากต้องให้เลือกระหว่างคนๆเดียวกับผู้คนทั้งกลุ่ม ก็คงยากจะทําใจเลือกได้ ข้าจะไปกล้าตําหนิคนพวกนั้นได้อย่างไร”
“อื้อ ซือหลิงก็เข้าใจทุกคนเหมือนกัน”
ต้วนซือหลิงก็พยักหน้าเห็นด้วย
และไม่นานนัก พวกต้วนหลิงเทียนที่เหินร่างติดตามเหลยเจิ้นซานมา ในที่สุดก็บรรลุถึงสถานที่ตั้งนิกายอมตะทะเลเยือกแข็ง
เหลยเจิ้นซานก็ไม่พูดไม่จา เหินร่างนําเข้าไปทันที
ชิ้ง! ชิ้ง! ชิ้ง! ชิ้ง! ชิ้ง! ชิ้ง!
และในขณะที่เหลยเจิ้นซานเหินร่างนําหน้าไป รอบกายมันก็ปรากฎกระบี่พลังไร้สภาพพุ่งยิงออกไปเล่นแล้วเล่มเล่า จบชีวิตเหล่าศิษย์ลาดตระเวนที่กําลังจะเข้ามาทักทิ้งทั้งหมด
ด้านศิษย์ลาดตระเวนที่ถูกฆ่า จวบจนตกตายพวกมันก็ไม่อาจเข้าใจได้จริงๆ
ว่าไฉนเหลยเจิ้นซานที่เป็นถึงชนชั้นผู้อาวุโสระดับสูง ตัวตนที่พวกมันเคารพนับถือ ไม่พูดไม่จา อยู่ๆก็ลงมือเข่นฆ่าพวกมันด้วยอํามหิตเช่นนี้
เหลยเจิ้นซานที่เหินร่างนํามาพลางเข่นฆ่าผู้คนที่พบเจอทั้งหมดนั้น สีหน้าก็ไม่ค่อยจะสู้ดีสักเท่าไหร่
ถึงแม้มันจะชิงชังหลานเหิง แต่ไม่ได้หมายความว่ามันจะชิงชังไปทั้งนิกายอมตะทะเลเยือกแข็ง สาเหตุที่มันฆ่าคนของนิกายอมตะทะเลเยือกแข็งอย่างเลือดเย็น ก็มีเหตุผลเพียงหนึ่งเดียวเท่านั้นเพื่อรักษาชีวิตตัวเอง!
เพราะจนบัดนี้มันยังไม่รู้แน่ชัด ว่าชายหนุ่มชุดม่วงที่ตามมาด้านหลังจะไว้ชีวิตมันหรือไม่
มันก็เลยพยายามทําตัวให้มีประโยชน์มากที่สุด เอาใจผู้อื่นมากที่สุด ด้วยหวังได้รับความเมตตาจากอีกฝ่าย และสามารถมีชีวิตรอดต่อไป
“เหลยเจิ้นซาน! เจ้าเสียสติไปแล้วรึ! นี่เจ้าทําบ้าอะไรของเจ้ากันหา!?”
การสังหารหมู่ของเหลยเจิ้นซาน ไม่นานก็ดึงดูดความสนใจของผู้อาวุโสนิกายอมตะทะเลเยือกแข็ง และบัดนี้ประมุขนิกายอมตะทะเลเยือกแข็ง หลานข่งเชวียน ที่รับทราบเรื่องราว ก็เร่งรุดพาเหล่าอาวุโสระดับสูงออกมาสกัดเหลยเจิ้นซานด้วยตัวเอง!
หลานข่งเชวียน มีรูปลักษณ์เป็นชายวัยกลางคนมาในชุดคลุมสีน้ำเงิน เค้าโครงใบหน้าละม้ายคล้ายหลานเหิงกับหลานขี้เหนียนหลายส่วน และบัดนี้หว่างคิ้วที่ปกติมักแผ่อํานาจบารมีของเจ้าคนนายคนก็ยู่ยนเป็นปม มองเหลยเจิ้นซานด้วยสีหน้ามืดมน!
“หลานข่งเชวียน ตอนนี้ลูกชายตัวดีของเจ้า หลานจี้เหนียน รวมถึงบิดาของเจ้า หลานเหิง ได้ตกตายไปทั้งคู่แล้ว…เจ้าก็รีบตามพวกมันไปเถอะ อย่าได้คิดดิ้นรนต่อต้านเสียให้เหนื่อยเลย…”
เหลยเจิ้นซานกล่าวด้วยน้ำเสียงทอดถอน
และพอเหลยเจิ้นซานลั่นวาจาดังกล่าวออกมา สีหน้าของเหล่าอาวุโสระดับสูงด้านหลังหลานข่งเชวียน ก็เปลี่ยนไปทันที
แว่บแรกที่ได้ยินวาจาเมื่อครู่ของเหลยเจิ้นซาน พวกมันไม่อาจทําใจเชื่อได้ลงคอจริงๆ แต่พอเห็นคนแปลกหน้าที่ติดตามมาด้านหลังเหลยเจิ้นซาน ในใจของพวกมันก็บังเกิดสังหรณ์อัปมงคลขึ้นมาทันที
“เจ้า…เจ้าคือเฟิงเทียนหวู่ ลูกศิษย์ของอาวุโสสูงสุดนิกายกระบี่เมฆรุ้ง โหยวไป๋เฟิ่ง ใช่หรือไม่?”
อาวุโสระดับสูงของนิกายอมตะทะเลเยือกแข็งบางคนก็จดจําเฟิงเทียนหวู่ได้
“ส่วนนั่นดูเหมือนจะเป็นต้วนซือหลิง ศิษย์ปิดสํานักของอวี่เหวินชิงประมุขนิกายกระบี่เมฆรุ้งมิใช่รึ ? แล้ววันนี้มิใช่ว่าเหลยเจิ้นซานก็ติดตามอาวุโสหลานเหิงกับหลานขี้เหนียนไปสู่ขอนางมิใช่หรือไร ที่แท้มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่?”
ไม่นานนักก็มีอาวุโสของนิกายอมตะทะเลเยือกแข็งบางคนจดจําต้วนซือหลิงได้
“พล่ามอะไรเยอะแยะนักฮะ?!”
และในขณะที่สีหน้าของหลานข่งเชวียนเปลี่ยนเป็นไม่ค่อยจะสู้ดี เสียงใสไม่สบอารมณ์หนึ่งก็โพล่งดังขึ้น เป็นสตรีในชุดทองพลันย่ำเท้าเหยียบอากาศเบาๆ จากนั้นคนก็คล้ายกลับกลายเป็นเงาเลือนรางสีทองสายหนึ่ง!
พริบตาต่อมา
“จี๊ดดด !!”
เสียงคํารามหวีดแหลมดังปานจะสะท้านแดนดินหนึ่งพลันสนั่นศึกก้องไปทั่วฟ้า จากนั้นร่างสตรีสีทองที่วูบมาดั่งเงาเลือนก็อันตรธานหายไป แทนที่ด้วยบางสิ่งที่มีขนาดมหึมาปานขุนเขาย่อมๆ!
เป็นหนูสีทองตัวเขื่องที่มีดวงเนตรทั้งคู่เป็นสีแดงฉานปานก้อนเลือด!
หนูยักษ์มีขนาดมหึมาแลดูเทอะทะมาก แต่ความเคลื่อนไหวกับรวดเร็วปานเส้นสายอัสนี! พริบตาก็บรรลุถึงเบื้องหน้าเหล่าตัวตนระดับสูงของนิกายอมตะทะเลเยือกแข็งที่นําโดยหลานข่งเชวียน!
ปงงงง!!
หนูยักษ์ตะปบกรงเล็งฟาดลงฉับไว บังเกิดคลื่นพลังมหาประลัยขุมหนึ่งแผ่พุ่งกวาดฟ้า นอกจากหลานข่งเชวียนกับอาวุโสอีก 2 คนของนิกายอมตะทะเลเยือกแข็งที่ไหวตัวทัน ฉากหลบออกไปได้อย่างเฉียดฉิวแล้ว อาวุโสคนอื่นๆล้วนถูกคลื่นพลังมหาประลัยกลืนร่างไปทันที!
ร่างของพวกมันยังระเบิดเป็นหมอกโลหิตในพริบตา!
“ฮิฮิ หลังจากข้าทะลวงถึงขอบเขตจักรพรรดิอมตะก็ไม่ได้ยืดเส้นยืดสายที่ไหนเลย วันนี้ให้ข้าเล่นกับพวกเจ้าสามคนให้หายอยากหน่อยนะ!”
หนูยักษ์ตัวเขื่องคลี่ยิ้ม แม้มันจะเป็นหนูตัวโตเท่าขุนเขาแต่เสียงกลับเล็กแหลมดั่งเสียงของหญิงสาว ถ้อยคํายังฟังแล้วซุกซนพิกล
“เสี่ยวจิน”
เฟิงเทียนหวู่ถึงกับอึ้ง ถึงแม้นี่จะไม่ใช่ครั้งแรกที่นางพบเจอเสี่ยวจิน แต่นี่เป็นครั้งแรกที่ได้เห็นเสี่ยวจินลงมือหลังได้พบกันอีกครั้ง!
และเสี่ยวจินพูดจบคําไม่ทันไร ร่างเขื่องก็วูบไปตบซ้ายทีขวาที หลานข่งเชวียนกับอาวุโสอีก 2 คนของนิกายอมตะทะเลเยือกแข็งก็ถูกตบฟาดจนปลิว กระอักโลหิตออกเป็นสาย พาลให้เหล่าศิษย์และอาวุโสทั่วไปของนิกายอมตะทะเลเยือกแข็งที่พึ่งเหินร่างติดตามมาถึงหน้าเสียไปเป็นแถบ!
“โอยน่าเบื่อจริง พวกเจ้ามันอ่อนแอเกินไป..”
หนูยยักษ์เอ่ยคําด้วยน้ำเสียงเบื่อหน่าย ก่อนจะตบฟาดออกไปอีก 3 กรงเล็บ จากนั้นหลานข่งเชวียนและอาวุโสอีก 2 คนก็ถูกพลังซัดทําร้ายจนร่างแหลกสลายกลายเป็นหมอกโลหิต กระทั่งคลื่นพลัง 3 สายยังไม่สิ้นพลังสภาวะ เข่นฆ่าลุกลามไปถึงกลุ่มศิษย์และอาวุโสทั่วไปของนิกายอมตะทะเลเยือกแข็งเบื้องหลัง จนคร่าชีวิตพวกมันไปในบัดดล!
เหลยเจิ้นซานที่ยืนอยู่ข้างๆ ได้แต่ชมดูเรื่องราวด้วยความสยองขวัญ
หนูยักษ์ตัวนี้ ยังทรงพลังกล้าแข็งเหนือกว่ามันอีก!
“นับตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป จักไม่มีนิกายอมตะทะเลเยือกแข็งอยู่อีก…หากพวกเจ้าไม่อยากตายก็รีบไสหัวไปให้หมด!!”
หลังระเบิดพลังสังหารโหดแล้ว ร่างหนูยักษ์สีทองตัวเขื่องก็เรื่องแสงสว่างขึ้นมาวาบหนึ่ง ก่อนจะกลับกลายเป็นสตรีในชุดคลุมทองอีกครั้ง นางยังกล่าวผสานพลังประกาศถ้อยคําให้ดังก้องไปทั่วถิ่นที่อยู่นิกายอมตะทะเลเยือกแข็งทันที
ตอนแรกก็มีเหล่าศิษย์ของนิกายอมตะทะเลเยือกแข็งที่ยังไม่ทราบสถานการ
อย่างไรก็ตามหลังมีศิษย์ที่พลังฝีมือสูงเข้าหน่อยติดตามไปทันได้เห็นเรื่องราวสังหารโหดเมื่อครู่เร่งกระจายเรื่องราวออกมา ก็ทําให้เหล่าศิษย์ทั้งหมดทยอยกันรับทราบสถานการณ์กันถ้วนหน้า จึงรู้ได้ทันทีว่านิกายกําลังเผชิญกับหายนะล่มสลาย! กระทั่งตัวตนระดับสูงยังตกตายกันหมดแล้ว!!
และในเวลาไม่ถึงครึ่งชั่วยาม คนของนิกายอมตะทะเลเยือกแข็งก็เร่งรุดเหินร่างขึ้นฟ้า แยกย้ายกันหลบหนีจากไปดั่งผึ้งแตกรัง!
หลังจากนั้นสักพัก เหล่าศิษย์และผู้อาวุโสของนิกายกระบี่เมฆรุ้งที่นํามาโดยอวี่เหวินชิงกับโหยวไป๋เฟิ่งก็เดินทางมาถึง
“ประมุขอวี่เหวิน ตอนนี้นิกายอมตะทะเลเยือกแข็งไม่มีผู้ใดอยู่แล้ว…สถานที่แห่งนี้เป็นของขวัญที่ข้ามอบให้ท่าน”
ต้วนหลิงเทียนหันไปกล่าวกับอวี่เหวินชิงด้วยรอยยิ้ม จากนั้นก็หันไปมองกล่าวกับโหยวไป๋เฟิ่งว่า “อาวุโสโหยว นับจากนี้ต่อไป หากเกิดเรื่องอะไรขึ้นพวกท่านสามารถแจ้งซือหลิงหรือเทียนหวู่ได้ทันที หากข้าสามารถมาช่วยได้ ข้าจะรีบมา”
“อีกทั้งหากท่านมีเวลาว่าง ท่านก็สามารถแวะมาหาซือหลิงกับเทียนหวู่ที่พระราชวังจักรพรรดิสวรรค์จี้เมี่ยเทียนได้ทุกเมื่อ”
เหล่าศิษย์และผู้อาวุโสของนิกายกระบี่เมฆรุ้งนั้น ถึงแม้จะได้เห็นพลังฝีมืออันร้ายกาจของต้วนหลิงเทียนแล้ว และตระหนักได้ชัดเจนว่าต้วนหลิงเทียนต้องมีความเป็นมายิ่งใหญ่ไม่ธรรมดาแน่…
อย่างไรก็ตาม พอมาได้ยินวาจาดังกล่าวของต้วนหลิงเทียน ทั้งหมดก็พร้อมใจกันตัวแข็งนิ่งค้างกลางหาวไปด้วยความตกใจ!
พระราชวังจักรพรรดิสววรรค์จี้เมี่ยเทียน!?
บิดาของต้วนซือหลิงเป็นคนของพระราชวังจักรพรรดสววรรค์จ์เมี่ยเทียนเชียวหรือ!?
“ย่อมได้”
อวี่เหวินชิงกับโหยวไป๋เฟิ่งเร่งพยักหน้ารับคําด้วยรอยยิ้ม กระทั่งหากสังเกตดีๆร่างทั้งคู่ยังสั่นไปเบาๆแววตาฉายชัดถึงความตื่นเต้นยินดีอย่างยากจะปกปิด!
เนื่องเพราะพวกนางได้รู้ถึงตัวตนของต้วนหลิงเทียนจากเทียนหวู่มาคร่าวๆแล้วเมื่อจักรพรรดิสวรรค์แห่งจี้เมียเทียน ฟงชิงหยาง กลับมา อีกฝ่ายก็จะรับต้วนหลิงเทียนเป็นศิษย์อย่างเป็นทางการ!
ตัวตนระดับนี้ ปกติแล้วพวกนางได้แต่แหงนหน้ามองจากไกลๆเท่านั้น เป็นตัวตนที่ชั่วชีวิตพวกนางไม่อาจเอื้อมจริงๆ
ทว่าตอนนี้พวกนางกลับได้รับพรประเสริฐจากศิษย์โดยไม่รู้ตัว เป็นดั่งโชควาสนาครั้งยิ่งใหญ่ในชีวิต!!
“ซือหลิง เทียนหวู่ พวกเจ้าไปสนทนาเล่าความหลัง ทั้งร่ำลาอาจารย์เถอะ….หลังจากพวกเจ้าคุยกันเสร็จแล้ว พวกเราจะได้กลับพระราชวังจักรพรรดิสวรรค์ไปหารือกัน ว่าจะตามหาพวกเฟยเอ๋อกับเนี่ยนเทียนอย่างไร”
ตอนนี้ต้วนหลิงเทียนก็ได้รับทราบเป็นที่เรียบร้อย
ว่าไม่เพียงแต่ลูกสาวเขาอย่างต้วนซือหลิงกับสตรีคนรักอย่างเฟิ่งเทียน ได้ถูกช่วยออกจากดินแดนการล่มสลายแห่งทวยเทพเท่านั้น
แต่ภรรยาของเขา ลี่เฟย ลูกชายของเขา ต้วนเนี่ยนเทียน อีกทั้งบิดามารดาเขา ต้วนหรูเฟิง กับ ลี่หลัว รวมถึงสหายคนอื่นๆ ก็ได้ถูกอาสามของเค่อเอ๋อ เซี่ยเจี๋ย ช่วยส่งตัวให้หลบหนีออกจากดินแดนการล่มสลายแห่งทวยเทพได้ทั้งหมด!
แต่เป็นธรรมดาว่าตอนนี้เขาไม่รู้เลยว่าทุกคนไปอยู่แห่งหนใด
ในมือของเฟิงเทียนหวู่กับต้วนซือหลิงก็มีลูกแก้ววิญญาณของลี่เฟย ต้วนเนี่ยนเทียน ต้วนหรูเฟิง ลี่หลัว เฟิ่งหวู่เต้าเก็บไว้ อย่างไรก็ตามพวกนางเคยใช้ยันต์อมตะสื่อสารทางวิญญาณโดยอาศัยลูกแก้ววิญญาณของทุกคนเป็นสื่อ แต่กลับไม่ได้รับการตอบรับใดๆกลับมา
ไม่ทราบว่าทุกคนได้ยันต์อมตะสื่อสารทางวิญญาณ หรือไม่ได้อยู่ในจี้เมี่ยเทียนกันแน่