War sovereign Soaring The Heavens - ตอนที่ 3403
ตอนที่ 3403 : จักรพรรดิสวรรค์สือฉีเทียน
ได้ยินคําถามด้วยความสงสัยของซือปั๋วนู่ ต้วนหลิงเทียนก็เล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นกับมารดาเขาให้อีกฝ่ายฟังคร่าวๆ
ด้านซือปั๋วนู่พอได้ทราบเรื่องแล้ว ก็แลดูมีโมโหขึ้นมาทันที “นิกายวิถีอีกาช่างสารเลวชั่วชาตินัก! หากนิกายอื่นๆในสือฉีเทียนเราเป็นเช่นเดียวกับพวกมัน สือฉี่เทียนไม่กลายเป็นรังโจรไปแล้วรึไร?”
“กับนิกายชั่วร้ายพรรค์นี้ ไม่สมควรมีอยู่ในโลก!”
“นายน้อยหลังข้าได้ยินท่านเล่าแล้ว มิสู้ให้ข้าลบนิกายวิถีอีกานี้ให้หายไปในบัดดลเลยเถอะ!”
ซือปั๋วนู่กล่าวออกด้วยน้ําเสียงดุร้าย
“จะฆ่าไกใยต้องใช้มีดฆ่าโคด้วยเล่า…ท่านแม่ข้าจัดการพวกมันได้”
ต้วนหลิงเทียนคลี่ยิ้มบางๆพลางกล่าว
หลังจากรออีกหนึ่งวันกับหนึ่งคืน ต้วนหลิงเทียนก็เห็นมารดาเขาหลัวกับส่วนเอ๋อเห็นร่างตีคู่กันมา ทว่าสีหน้าของลี่หลัวไม่ค่อยจะสู้ดีนัก
เห็นได้ชัดว่าถึงแม้จะทําลายนิกายวิถีอีกาไปแล้ว แต่นางก็ไม่ได้รู้สึกยินดีมีสุขอะไรเลย
และด้านหลังทั้งคู่ ก็ปรากฏร่างสตรีกลุ่มใหญ่กลุ่มหนึ่งตามมา มีทั้งอ่อนวัย กลางคน และผู้ชรา ส่วนใหญ่แล้วสองตายังแดงรื้น คล้ายพึ่งได้รับความอยุติธรรมหรือความเจ็บปวดมา ชวนให้น่าเวทนาสงสารอย่างยิ่ง
“เทียนเอ๋อ”
ลี่หลัวที่เหินร่างมากับส่วนเอ๋อ พอมาถึงเบื้องหน้าตัวนหลิงเทียน ก็เอ่ยออกด้วยน้ําเสียงเศร้าๆ “ข้าอยากจะพาพวกนางกลับไปส่งที่นิกายฉวินซิ่วก่อน แล้วค่อยไปกับพวกเจ้า”
“เทียนเอ๋อ…ลูกพอจะมีวิธีให้ความคุ้มครองทุกคนหรือไม่?”
“ตอนนี้ยอดฝีมือที่เป็นขุมพลังหลักของนิกายยฉวินซิ่วตกตายไปแทบหมดสิ้นแล้ว อาศัยคนที่เหลืออคิดประคับประคองนิกายให้ดํารงอยู่เกรงว่าคงไม่ไหว แม่เองก็ไม่อาจทําได้”
ลี่หลัวกล่าว
“อาวุโสลี่หลัว!”
ไม่ทันที่ต้วนหลิงเทียนจะทันได้กล่าวตอบคํามารดา เหล่าศิษย์นิกายฉวินซิ่ววที่รอดชีวิตและ เหินลอยตามมาด้านหลัง ก็พร้อมใจกันคุกเข่าลงกลางหาว กล่าวคําออกมาด้วยน้ําเสียงวิงวอน “พวกเราขอเชิญท่านกับแม่นางฮ่วนเอ๋อมาควบคุมสถานการณ์ของนิกายฉวินซิ่วด้วยเถอะ”
ลี่หลัวนั้น อาจไม่มีพลังมากพอจะค้ําจุนทุกคน
อย่างไรก็ตามศิษย์และอาวุโสของนิกายฉวินซิ่วเหล่านี้ ได้เห็นถึงพลังอันน่าสะพรึงกลัวของฮ่วนเอ๋อแล้ว หากได้ยอดฝีมือระดับนี้มาเป็นเสาหลักล่ะก็ นิกายฉวินซิ่วของพวกนางก็จะยกระดับไปครั้งยิ่งใหญ่!
“ข้ากล่าวบอกต่อพวกเจ้าไปแล้ว ว่าเรื่องนี้ข้าไม่อาจทําได้และไม่อยากเอ่ยถึงอีก…วันหน้าข้าไม่อาจรั้งอยู่นิกายฉวินซิ่วได้ ยิ่งฮ่วนเอ๋อยิ่งเป็นไปไม่ได้เลย”
ลี่หลัวขมวดคิ้วเอ่ยออกเสียงหนัก “แต่ขอให้พวกเจ้าวางใจเถอะ ข้าจะจัดการทุกอย่างก่อนที่จะจากไป พวกเจ้าจะไม่โดนผู้ใดรังแกง่ายๆอีก”
ได้ยินน้ําเสียงเด็ดขาดไม่เหลือพื้นที่ให้เจรจาต่อรองของลี่หลัว เหล่าศิษย์นิกายฉวินซิ่วทั้งหลายก็ได้แต่เม้มปากเงียบ ไม่กล้าพูดอะไรอีก
พวกนางรู้ดี
ว่าพวกนางไม่อาจเปลี่ยนการตัดสินใจของลี่หลัวได้
ถึงแม้ว่าในหมู่พวกนางจะมีอาวุโสที่พลังฝีมือสูงกว่าสี่หลัว แต่สตรีที่อยู่ข้างกายลี่หลัวก็ทรงพลังเหนือจินตนาการนัก ไหเลยจะใช้กําลังบีบคั้นไม่ให้คนไม่ไปได้อีก
ประมุขนิกายวิถีอีกา ตัวตนขอบเขตจอมราชันอมตะ เมื่ออยู่ต่อหน้านาง…กระทั่งท่าเดียวก็ไม่อาจต้านทานรับไหว! ถูกฆ่าทิ้งทันที!
“ข้าทราบดี ท่านแม่”
ต้วนหลิงเทียนกล่าวกับลี่หลัวด้วยรอยยิ้ม
หลังจากนั้นเขาก็นําหลัวรวมถึงศิษย์และผู้อาวุโสของนิกายฉวินซิ่วที่ยังเหลือรอดกลับไปยังสถานที่ตั้งนิกายฉวินซิ่ว และต้วนหลิงเทียนก็พาลี่หลัวเหินห่างจากมาภายใต้สายตาอาลัยอาวรณ์ของเหล่าคนนิกายฉวินซิ่วทันที
“เทียนเอ๋อ แล้วพวกนาง…”
ลี่หลัวเผยท่าที่ลังเลอยู่บ้าง ด้วยไม่รู้จะพูดดีหรือไม่ สุดท้ายต้วนหลิงเทียนก็ไม่ได้บอกนาง เลยว่าจะทําอย่างไรเพื่อไม่ให้นิกายฉวินซิ่วโดนใครมาปล้นชิงตอนไฟไหม้บ้าน เพียงบอกว่าเดี๋ยวจะจัดการเรื่องนี้ให้เอง
“ท่านแม่ ท่านไม่ต้องกังวลไป เดี๋ยวพวกเราติดตามอาวุโสชื่อนิ้วนไปเยือนพระราชวังจักรพรรดิสวรรค์สือฉีเทียนกันก่อนถึงตอนนั้นข้าค่อยจัดการเรื่องให้ความคุ้มครองนิกายฉวินซิ่ว”
ต้วนหลิงเทียนที่เห็นมารดาจะพูดดีไม่พูดดี ก็ส่งเสียงผ่านพลังไปบอกว่าเขาคิดจะทําอย่างไร “ท่านแม่…ข้าคิดจะไปพบจักรพรรดิสวรรค์แห่งสือฉีเทียน และขอให้มันดูแลนิกายฉวินซิ่ว”
“ข้ารู้ดีว่าตอนนี้ท่านห่วงสถานการณ์ของนิกายฉวินซิ่ว แต่เรื่องนี้ท่านไม่ต้องห่วงเลย ข้าจะไม่ปล่อยให้ทุกคนตกอยู่ในอันตรายอีกต่อไป”
ต้วนหลิงเทียนตอบ
อย่าว่าแต่มารดาเขาไม่ยอมเลย เขาเองก็ไม่มีทางปลอยให้มารดาเขากับส่วนเอื้อมารั้งอยู่ในนิกายฉวินซิ่วหรอก เพราะอยู่ไปก็ไม่เกิดประโยชน์อะไร ทั้งยังต้องวุ่นวายกับเรื่องเล็กๆน้อยๆอีก
แต่เป็นธรรมดาว่าในเมื่อนิกายฉวินซิ่วคอยดูแลแม่เขามานานหลายปี เขาเองก็รู้สึกขอบคุณนิกายฉวินซิ่วไม่น้อย เช่นนั้นก่อนจะจากไป เขาก็ต้องหาทางให้นิกายพลิกฟื้นกลับมา และเติบโตได้อย่างปลอดภัย
ที่ไฉนเขาไม่ปฏิเสธคําชวนไปเป็นแขกที่พระราชวังจักรพรรดิสวรรค์ของชื่อนิ้วนแต่แรกก็เป็นเพราะสาเหตุนี้
หาไม่แล้ว เขาคงบอกปัดซือปั๋วนู่ไปแล้ว
ต้องทราบด้วยว่าตอนที่เขาตอบตกลงจะไปเป็นแขก กระทั่งผู้เฒ่าหัวยังแปลกใจด้วยซ้ํา
จะอย่างไรที่นี่ก็คือสือฉีเทียน ไม่ใช่เมี่ยเทียน…ต่อให้ข้าออกประกาศไปว่านิกายฉวินซิ่วอยู่ภายใต้การคุ้มครองของเขา ก็ไม่สู้ให้จักรพรรดิสวรรค์ของสือฉีเทียนออกปากสักคํา
ต้วนหลิงเทียนรู้ดีว่าน้ําไกลไม่อาจดับไฟใกล้ จึงตัดสินใจแบบนี้แต่แรก
“พี่ใหญ่ ข้าขอตัวก่อน”
หลังซือปั๋วนู่นําพาพวกต้วนหลิงเทียนใช้งานค่ายกลเคลื่อนย้ายข้ามระนาบเทวโลก จนบรรลุ ถึงสถานที่ใกล้พระราชวังจักรพรรดิสวรรค์สื่อฉีเทียนที่สุดแล้ว ชือปั่วผิงก็กล่าวคําลาซือปั๋วนู่ ก่อนนร่างชราจะเหินลับฟ้าหายไปจากสายตาทุกคนเร็วไว
และในขณะที่มันเห็นร่างจากมา สองตาของมันกลับฉายชัดถึงสีสันแห่งความโลภนัก!
ทว่าไม่มีผู้ใดสังเกตเห็น
พระราชวังจักรพรรดิสวรรค์แห่งสือฉีเทียนนั้น ตั้งถิ่นฐานอยู่ในเขตพื้นที่ราบทุ่งหญ้าแห่งหนึ่ง และไม่ได้ตั้งบนผืนดินโดยตรง แต่เป็นเกาะลอยฟ้ามหึมาที่ลอยล่องอยู่เหนือหมู่เมฆ มองไกลๆ ไม่ ต่างอะไรจากอสูรกายตัวเขื่องโผบิน
“ใต้เท้านู่!”
พอมาถึงเบื้องหน้าประตูใหญ่ของพระราชววังจักรพรรดิสวรรค์สือฉีเทียน หน่วยลาดตระเวณรวมถึงผู้เฝ้าประตูก็เร่งกล่าวคําทักทายชื่อป่วนว่า “ใต้เท้านู่” ด้วยน้ําเสียงท่าที่ดูเคารพนับถือมันเป็นที่สุด
ซือปั๋วนู่ ในฐานะที่เป็นถึงจักรพรรดิอมตะสมญานามที่แข็งแกร่งเป็นอันดับสองรอง จากจักรพรรดิสวรรค์สื่อฉีเทียน ศักดิ์ฐานะในพระราชวังจักรพรรดิสวรรค์สือฉีเทียนของมัน ก็ไม่ต่างอะไรจากฐานะของเมิ่งหลัวในพระราชวังจักรพรรดิสววรรค์แห่งจี้เมียเทียนเลย
เมื่อจักรพรรดิสวรรค์ไม่อยู่ ซือปั๋วนู่ก็มีอํานาจในการตัดสินใจเรื่องราวสําคัญๆแทนจักรพรรดิสวรรค์ได้
“ใต้เท้าจักรพรรดิสวรรค์เรา อาศัยอยู่ในหุบเขาเบื้องหน้า”
เกาะลอยฟ้าอันเป็นสถานที่ตั้งพระราชวังจักรพรรดิสวรรค์สือฉีเทียนนั้น ใหญ่โตประหนึ่งทวีปเลยก็ว่าได้ และตอนนี้ชื่อป่วนูก็พาพวกต้วนหลิงเทียนมายังหุบเขาแห่งหนึ่งที่เต็มไปด้วยต้นท้อ
ในปัจจุบันไม่ว่วาจะเป็นส่วนเอ๋อ ต้วนหรูเฟิง หรือสี่หลัว ก็ได้เข้าไปพักอยู่ในโลกใบเล็กภายในร่างต้วนหลิงเทียนหมดแล้ว
มีก็แต่ต้วนหลิงเทียนกับผู้เฒ่าหัวเท่านั้น ที่ติดตามชื่อป่วนุ่มายังสถานที่พักบ่มเพาะของจักรพรรดิสวรรค์สือฉีเทียน
“ฮ่าๆๆๆ…ผู้เฒ่าหั่ว นานแล้วมิได้พบกัน!”
หลังจากเข้ามายังหุบเขาได้ไม่ทันไร ต้วนหลิงเทียนก็เห็นร่างสูงใหญ่หนึ่งยืนอยู่ในลานบ้านที่มี เพียงแห่งเดียวภายในหุบเขาอีกฝ่ายยังกล่าวทักทายผู้เฒ่าหัวที่ลอยร่างอยู่ข้างกายต้วนหลิงเทียนอย่างมากอัธยาศัย
อีกฝ่ายเป็นชายชราที่มีความสูง หนึ่งหมเก้า เส้นผมขนคิ้วล้วนเป็นสีดอกเลา แต่แววตากระจ่างใส ใบหน้าเปื้อนยิ้ม แก้มอมชมพูแลดูสุขภาพดี ปานมหาเศรษฐีใจบุญบนโลกเก่าเมื่อชาติก่อนของต้วนหลิงเทียน
‘นี่น่ะเหรอจักรพรรดิสวรรค์สือฉีเทียน จักรพรรดิอมตะมหาบ่อเกิด ถ่าถู’
ระหว่างเดินทางมาที่นี่ ต้วนหลิงเทียนก็ได้ฟังข้อมูลของจักรพรรดิสวรรค์แห่งสือฉีเทียนจากผู้เฒ่าหัวเรียบร้อย
“ใต้เท้าถ่าถู”
เมื่อเผชิญหน้ากับตัวตนระดับจักรพรรดิสวรรค์ ผู้เฒ่าหัวก็ประสานมือโค้งคารวะอย่างมาก มารยาทจากนั้นก็เริ่มผายมือแนะนําต้วนหลิงเทียนให้อีกฝ่ายรู้จัก ก่อนจะกล่าวแนะนําอีกฝ่ายให้ต้วนหลิงเทียนรู้จัก
“ยินดีที่ได้พบจักรพรรดิสวรรค์ถ่าถู”
ต้วนหลิงเทียนก็ป้องมือประสานเป็นการคารวะด้วยรอยยิ้ม
“ฮ่าๆๆ…หลานชายเจ้าไม่ต้องสุภาพนักหรอก เจ้าเป็นถึงศิษย์ที่แท้จริงของจักรกพรรดิ สวรรค์ฟงชิงหยางหากจะนับตามลําดับอาวุโสแล้ว เจ้าก็เป็นดั่งศิษย์หลานของข้า ต่อไปก็เรียกข้าว่าอาจารย์ลุงก็ได้”
ถ่าอู่หัวเราะอย่างอารมณ์ดี
ถึงแม้วนหลิงเทียนจะรู้ว่าถ่าถูกําลัง ‘ติดทองบนหน้าตัว’ อย่างไรก็ตามในเมื่อผู้อื่นมาแบบนี้ ตัวนหลิงเทียนก็ไม่ขัดข้อง “อาจารย์ลุง”
*ติดทองบนหน้าตัว = ยกย่องตัวเอง,พูดเอาดีเข้าตัว
“ศิษย์หลานต้วน ในเมื่อนี่เป็นการพบกันครั้งแรก เช่นนั้นข้าก็สมควรมอบของขวัญแรกพบให้เจ้า…แต่พอนึกได้ว่าเจ้าเป็นถึงศิษย์ที่แท้จริงของจักรพรรดิสวรรค์ฟงชิงหยาง เจ้าเองก็สมควรมีทุกสิ่งที่ต้องการอยู่แล้ว กระทั่งเผลอๆอาจจะร่ํารวยกว่าข้าเสียอีก เช่นนั้นข้าก็ไม่คิดทําให้ตัวเองขายหน้า…”
ถ่าถูกล่าวกับต้วนหลิงเทียนด้วยรอยยิ้ม “เช่นนั้น ให้ข้ารับปากกับเจ้าเรื่องหนึ่งเถอะ…”
“วันหน้า ขอเพียงเจ้ามีสิ่งใดให้ข้าช่วยเหลือ หากไม่เกินกําลังสามารถของข้า เช่นนั้นขาไม่มีวันปฏิเสธแน่นอน”
พอพูด ถ่าถู ก็ให้คํามั่นดังกล่าวออกมาทันที
ด้านซือปั๋วนู่ก็ตกใจกับคําสัญญาของถ่าถูไม่น้อย ด้วยไม่คิดเลยว่าใต้เท้าจักรพรรดิสวรรค์ของตัวเองจะใจกว้างถึงขนาดรับปากอะไรแบบนี้ออกมาได้
หากคําพูดดังกล่าว ออกมาจากปากคนธรรมดาคงไม่ถือว่ามีราคาอะไร
ทว่าผู้ที่เอ่ยยคําสัญญาดังกล่าวออกมาก็คือ ถ่าถู จักรพรรดิสวรรค์แห่งสือฉีเทียน ตัวตนที่อยู่เหนือสุดและควบคุมทุกสิ่งในแดนสวรรค์สือฉีเทียนแห่งนี้!
ได้ยินวาจาดังกล่าวของถ่าถู สองตาต้วนหลิงเทียนก็เป็นประกายทันที เช่นนั้นเขาก็ไม่รอช้าเร่งดีชิงตามไฟกล่าวออกไปเร็วไว “ดีเลยอาจารย์ลุงถ่าถู เพราะข้าบังเอิญมีเรื่องคิดขอความช่วยเหลือจากท่านพอดี”
“หือ?”
ถ่าถูอึ้ง มันไม่คิดเลยว่ามันพึ่งให้คําสัญญาว่าจะช่วยต้วนหลิงเทียนไปได้ไม่ทันไร ต้วนหลิง เทียนก็เอ่ยปากคิดขอความช่วยเหลือนั้นทันที ทําให้มันอดคลี่ยิ้มเงื่อนๆพลางถามออกมาไม่ได้ “ศิษย์หลานต้วน ความแข็งแกร่งของข้าถ่าถูย่อมไม่อาจเทียบกับจักรพรรดิสวรรค์ฟงชิงหยางได้ แต่อย่างไรก็ตามคําสัญญาของข้าก็นับว่ามีค่าไม่น้อย เจ้าคิดจะใช้มันอย่างขอไปที่งั้นหรือ?”
“อาจารย์ลุงถ่าถู ขอท่านอย่าได้เข้าใจผิดไป…”
ต้วนหลิงเทียนส่ายหัวไปมาพลางกล่าวด้วยน้ําเสียงจริงจัง “ข้าไม่คิดว่าคําสัญญาของท่านไม่มีค่า กล่าวตามตรงสําหรับข้าแล้วคําสัญญาของท่านมีน้ําหนักมาก และมีบางเรื่องที่ข้าจําเป็นต้องพึ่งความช่วยเหลือจากท่านจริงๆ เพราะคนอื่นคงไม่มีใครจัดการเรื่องนี้ได้ดีเท่าท่านอีกแล้ว”
กล่าวถึงท้ายประโยค น้ําเสียงของต้วนหลิงเทียนก็เพิ่วความจริงจังไม่น้อย
“โอ้?”
ถ่าถมองต้วนหลิงเทียนด้วยสายตาสงสัย “ศิษย์หลานต้วน ดูเหมือนเป็นข้าเข้าใจเจ้าผิดไปจริงๆว่ามาเถอะ ที่แท้เจ้ามีเรื่องสําคัญอันใดที่คิดให้ข้าช่วยเหลือ
“อาจารย์ลุงถ่าถู เรื่องนี้เป็นเรื่องสําคัญอย่างยิ่งยวดสําหรับมารดาข้า…ฯลฯ”
หลังจากนั้นภายใต้สายตามองถามด้วยสวงสัยของถ่าถ จักรพรรดิสวรรค์สือฉีเทียน ต้วนหลิงเทียนก็กล่าวเล่าเรื่องราวของนิกายฉวินซิ่วออกไปทันที “ถึงแม้ว่านิกายฉวินซิ่วจะเป็นเพียงขุมกําลังระดับ 7…แต่ก็เป็นนิกายที่ช่วยชีวิตมารดาของข้าเอาไว้ และยังคอยดูแลปกป้องมารดาของข้ามาตลอดอีกที่สําคัญท่านแม่ของข้าเองก็ผูกพันกับที่นั่นยิ่ง”
“ตอนนี้เหล่าศิษย์และอาวุโสที่หลงเหลืออยู่ในนิกายฉวินซิ่ว ไม่มีกําลังมากพอจะคุ้มครองตัวเองแล้ว…กระทั่งไม่อาจถือว่าเป็นขุมกําลังระดับ 7 ได้ด้วยซ้ํา”
“ดังนั้นข้าก็เลยอยากขอความช่วยเหลือจากอาจารย์ลุงถ่าถู เพียงท่านเอ่ยปากสักคําสองคํา และไม่จําเป็นต้องให้นิกายฉวินซิ่วได้รับผลประโยชน์อะไร อย่างยกระดับไปเป็นนิกายระดับ 6 อะไรทํานองนั้น เพียงแค่ให้สามารถรักษารากฐานของนิกายเอาไว้ได้อย่างปลอดภัยก็พอ”
ต้วนหลิงเทียนกล่าว
ถึงแม้เขาจะเดินทางไปกล่าวประกาศและเตือนขุมกําลังที่อยู่รอบๆนิกายฉวินซิ่ว กระทั่งไปคุย กับจ้าวผู้ปกครองดินแดนแห่งนั้นได้โดยตรงอาศัยพลังและฐานะบีบให้พวกมันเชื่อฟัง หวังให้พวกมันคอยปกปักดูแลนิกายฉวินซิ่ว
อย่างไรก็ตาม อาศัยคําพูดของเขา ไม่อาจทําให้พวกมันเชื่อฟังไปได้ตลอดกาล
เพราะสําหรับสือฉีเทียนแห่งนี้ เขาเป็นแค่คนนอก…
แต่ทว่าหากเป็นคําพูดของจักรพรรดิสวรรค์แห่งสือฉีเทียนอย่างถ่าถู เรื่องราวมัน จะแปรเปลี่ยนกลับกลายไปอย่างสิ้นเชิง และขอเพียงถ่าถูยังดํารงตําแหน่งจักรพรรดิสวรรค์ของสือ ฉีเทียน นิกายฉวินซิ่วก็เสมือนมียันต์คุ้มภัยให้อยู่รอดปลอดภัยไร้กังวล
“เรื่องเท่านี้?”
เดิมที่ถ่าถูคิดว่าเรื่องที่ต้วนหลิงเทียนขอให้ช่วยจะต้องไม่ธรรมดาเป็นแน่ แต่พอได้ฟังเรื่องราวทั้งหมดจนจบ มันก็ยืนอึ้งไป แลดูพูดไม่ออกอยู่บ้าง “ศิษย์หลานต้วน เจ้าเหลวไหลใหญ่แล้ว…กับเรื่องไม่เป็นเรื่องเช่นนี้ เจ้าต้องใช้คําสัญญาที่ข้าให้ไว้เชียวหรือ!?”