War sovereign Soaring The Heavens - ตอนที่ 3406
ตอนที่ 3406 : ถูกยึดร่าง
มู่อีอีนั้นเป็นผู้สืบทอดทวาราเที่ยงแท้ลําดับที่ 2 ความลับสวรรค์และเป็นผู้ฝึกเต๋ท้าทายสวรรค์
ตอนแรกนางก็ถูกจับตัวไปพร้อมครอบครัวของต้วนหลิงเทียน และถูกอขึ้นชิงเหยียนคุมขังไว้ในดินแดนการล่มสลายแห่งทวยเทพ ต่อมาภายหลังก็ได้รับความช่วยเหลือจากเซี่ยเจี้ยนาย 3 แห่งตระกูลเซียจนถูกส่งตัวมายังระนาบโลกียะ
เป็นธรรมดาว่าระนาบโลกียะที่อีอีถูกส่งมาไม่ใช่ระนาบเซียน เป็นระนาบโลกียะแห่งอื่น
ด้วยพลังของนางกอปรทั้งพรสวรรค์ที่ได้รับการขัดเกลาชําระของดินแดนการล่มสลายแห่งทวยเทพมู่อีอีก็สามารถฝึกปรือในระนาบโลกียะดังกล่าวได้อย่างราบรื่น และในที่สุดก็ทะยานขึ้นสู่ลั่วสุ่ยเทียน
มู่อีอีที่ทะยานขึ้นมายังลั่วสุ่ยเทียนก็ไต่เต้าก้าวหน้าขึ้นมาด้วยยความเร็ว และไม่ว่าไปที่ใดนางก็คืออัจฉริยะหญิงที่ยากพานพบ
ในปัจจุบัน นางก็ได้กลายเป็นศิษย์อัจฉริยะของนิกายตั๋วสุ่ยเรียบร้อย
นิกายตั๋วสุ่ยเป็นขุมกําลังระดับสววรรค์ ขณะเดียวกันก็เป็นขุมกําลังที่แข็งแกร่งเป็นอันดับ1ในลั่วสุ่ยเทียนแห่งนี้อีกด้วย เพราะจักรพรรดิสวรรค์ของลัวสุ่ยเทียน ก็เป็นคนของนิกายตั๋วสุ่ยเช่นกัน ยังเป็นถึงประมุขนิกาย!
มรดกของนิกายตั๋วสุ่ยนั้น เกี่ยวพันกับพระราชวังจักรพรรดิสวรรค์แห่งลั่วสุ่ยเทียนอย่างแยกไม่ออก
ประมุขแต่ละรุ่นของนิกายตั๋วสุ่ยล้วนแล้วแต่เป็นจักรพรรดิสวรรค์ของถั่วสู่ยเทียนทั้งสิ้นและมันก็เป็นเช่นนี้มาโดยตลอด
ด้วยเหตุนี้เองสถาที่ตั้งของนิกายตั๋วสุ่ยกับพระราชวังจักรพรรดิสวรรค์แห่งถั่วสุ่ยเทียนก็เป็นที่เดียวกัน
ฐานะของนิกายตั๋วสุ่ยสําหรับตั๋วสุ่ยเทียนแล้ว ก็คล้ายๆกับเผ่ากิเลนในว่านโช่วเทียน…หากจะ ถามว่าเผ่ากิเลนของว่านโซ่วเทียนแตกต่างจากนิกายลั่วสู่ยอย่างไรก็ต้องบอกว่ามีสถานที่ตั้งถิ่นฐานแยกออกจากพระราชวังจักรพรรดิสวรรค์ของว่านโช่วเทียน
ทว่านิกายลั่วสุยกับพระราชวังจักรพรรดิสวรรค์ของถั่วสุ่ยเทียนเป็นหนึ่งเดียวกัน
“ศิษย์น้องหญิงอีอี”
ในปัจจุบันมู่อีอีกเป็นจอมราชันอมตะ 4 รูปแล้ว และนางยังถูกธิดาเทพของนิกายตั๋วสุ่ยที่เป็นลูกสาวแท้ๆของประมุขนิกายถั่วสู่ยอันพ่วงตําแหน่งจักรพรรดินีสวรรค์แห่งลัวสุ่ยเทียนรับไปเป็นศิษย์อีกด้วย
พอได้พบเจอม่อีอีอีกครั้ง ต้วนหลิงเทียนก็จําม่อีอีแทบไม่ได้
“ศิษย์พี่ต้วน”
ตอนนี้ม่อีอีมาในชุดสีขาวราวหิมะให้ความรู้สึกเย็นชา ปานจะผลักไสผู้คนให้ล่าถอยออกไปนับพันลี้ สิ่งนี้ก็ทําให้ต้วนหลิงเทียนรู้สึกแปลกๆราวกับเบื้องหน้าไม่ใช่ม่อีอี แต่เป็นคนอื่น
ยิ่งไปกว่านั้นตอนกล่าวทักท้วนหลิงเทียนน้ําเสียงของมู่อีอีก็เต็มไปด้วยความเย็นชาไม่แยแสไร้ซึ่งการยกย่องเห็นได้ชัดว่าต่างจากมู่อีอีคนก่อนจากหน้ามือเป็นหลังมือ!
ถึงแม้ม่อีอีจะไม่ได้แลดูยกย่องเคารพต้วนหลิงเทียนเหมือนเมื่อก่อนแต่อย่างไรก็ตามต่อหน้าต้วนหลิงเทียนนางก็ยังทําตัวดี
“ดูเหมือนวันเวลากว่า 300 ปีที่ผ่าน จะทําให้นางเปลี่ยนไปมาก”
ตัวนหลิงเทียนลอบกล่าวในใจ
“ศิษย์น้องหญิงอีอี ที่ข้ามาที่นี่ก็เพื่อ…”
ต้วนหลิงเทียนคิดจะบอกมู่อีอีว่าที่เขามาหานางเพราะคิดจะพานางกลับไปยังพระราชวังจักรพรรดิสวรรค์ขี้เมียเทียนและมอบสถานที่พักบ่มเพาะที่มีสภาพแวดล้อมที่ดีที่สุดให้นางถึงแม้ท่าที่มู่อีอีจะแลดูเปลี่ยนไปแต่เขาเชื่อว่านางก็ยังคงเป็นมู่อีอีคนเดิมที่เชื่อฟังเขา
เป็นธรรมดาว่าถึงเขาจะเชื่อในตัวมู่อีอี แต่เขาก็ไม่คิดจะส่งนางเข้าไปบ่มเพาะพลังในโลกใบเล็กของเขาทันที
เพราะในโลกใบเล็กของเขา ไม่เพียงแต่จะมีพฤกษาเทพกําเนิดชีพเท่านั้นแต่ยังมีกระทั่งเทพเบญจธาตุรวมถึงพลังวิญญาณฟ้าดินของระนาบเทพอีกด้วย
หากทั้งหมดถูกเปิดเผยออกมา ไม่ต้องสงสัยเลยว่าจะนําหายนะครั้งยิ่งใหญ่ขนาดไหนมาสู่ เขา..
หากเป็นมู่อีอีในอดีต ต้วนหลิงเทียนอาจจะแค่ไม่ไว้ใจมู่อีอีแต่มู่อีอีในปัจจุบันทําให้ต้วนหลิงเทียนรู้สึกระแวงขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก
“ศิษย์พี่ใหญ่ต้วน นี่ใครหรือ?”
ทว่าไม่ทันที่ต้วนหลิงเทียนจะได้กล่าวจบคําอะไรมู่อีอีก็เอ่ยแทรกขึ้นมาเสียก่อน สายตาของนางจับจ้องไปยังผู้เฒ่าหัวด้านหลังต้วนหลิงเทียนเขม็ง
“นี่คือผู้เฒ่าหัว”
ต้วนหลิงเทียนที่ถูกขัดคําก็ไม่ได้ว่าอะไร เพียงผายมือแนะนําผู้เฒ่าทั่วให้นางรู้จัก
ผู้เฒ่าหัวเหลือบมองมู่อีอีปราดหนึ่ง หว่างคิ้วก็ขดยนเป็นปมจากนั้นก็เร่งส่งเสียงผ่านพลังไป หาตัวนหลิงเทียนเร็วไว “นายน้อยศิษย์น้องหญิงของท่านมีบางอย่างผิดปกติในร่างของนางกลับมีกลิ่นอายวิญญาณ 2 ดวง”
“กลิ่นอายวิญญาณ 2 ดวง?”
ใจต้วนหลิงเทียนสั่นไปทันทีที่ได้ยิน เร่งส่งเสียงผ่านพลังเอ่ยถาม “ผู้เฒ่าหัวท่านหมายความว่าอะไรกันแน่?”
“ดูเหมือนการชิงร่างจะยังไม่เสร็จสิ้น”
ผู้เฒ่าหัวกล่าวเข้าประเด็นสําคัญทันที
“ชิงร่าง!?”
ลูกตาต้วนหลิงเทียนหดเล็กลงเร็วไว
เรื่องชิงร่างนั้น ต้องบอกเลยว่าเขาคุ้นเคยกับมันดีกระทั่งหลังจากที่เขาตกตายในโลกเก่าจนวิญญาณข้ามโลกมาปรากฏในระนาบเซียนอย่างลี้ลับได้ไม่ทันไรเขาก็พบเจอกับประ สบการณ์ชิงร่างมากับตัวและตอนนั้นก็เป็นวิญญาณของจักรพรรดิกลับชาติมาเกิดที่หมายปองร่างเขา!
ในเวลานั้น เพราะความที่วิญญาณของเขาไม่ได้มีต้นกําเนิดในระนาบเซียนทําให้ได้รับ การปกป้องจากกฏเกณฑ์ฟ้าดินจักรพรรดิกลับชาติมาเกิดจึงประหนึ่งคิดขโมยไก่ไม่สําเร็จยังต้องเสียข้าวสารไปอีกกํามือ…กลายเป็นเขาได้รับผลประโยชน์ครั้งยิ่งใหญ่
เพราะเขาได้รับความทรงจําทั้งหมดของมันมาทําให้เส้นทางการบ่มเพาะฝึกปรือของเขาในระนาบเซียนราบรื่นอย่างมาก
ถึงแม้ในภายหลังความทรงจําของจักรพรรดิกลับชาติมาเกิดจะไม่ได้มีค่าอะไรมากมายอีกต่อไปแต่ไม่อาจไม่พูดว่าเป็นเพราะความทรงจําของงจักรพรรดิกลับชาติมาเกิดนั้นมีส่วนทําให้ต้วนหลิงเทียนเป็นอย่างทุกวันนี้
เพราะความทรงจําของจักรพรรดิกลับชาติมาเกิด ได้วางรากฐานอย่างแน่นหนาให้กับตัวนหลิงเทียน
ในระนาบเทวโลก การที่เซียนอมตะอีกคนจะช่วงชิงร่างเซียนอมตะอีกคนคงไม่ได้ทํากันง่ายๆกระมังอีกทั้งต่อให้มีเซียนอมตะที่แข็งแกร่งคิดจะช่วงชิงร่างของผู้อ่อนแอจริง แต่ฝ่ายหลังก็มีเว ลาทําลายร่างกายหรือสลายดวงจิตของตัวให้ดับสูญก่อนไม่ใช่รึไร?”
“ยิ่งไปกว่านั้นยังได้ยินมาว่า ถึงแม้การชิงร่างในระนาบเทวโลกจะทําได้แต่ลือกันว่าด่านพลังฝึกปรือจะหยุดนิ่งอยู่กับที่เช่นนั้นเว้นเสียแต่จะมีเหตุจําเป็นจริงๆไม่มีผู้ใดคิด จะละทิ้งร่างกายตัวเองไปชิงร่างผู้อื่นแน่นอนเพราะแค่เสียเวลาสร้างร่างใหม่ก็จบ
ต้วนหลิงเทียนลอบกล่าวในใจด้วยความสงสัย
“สมควรเป็นเช่นนั้นไม่ผิดแน่”
ผู้เฒ่าหัวยืนยันด้วยความมั่นใจ “เพราะสถานการณ์ของนางข้าไม่อาจมองเป็นอื่นได้จริงๆ”
“เทียนหวู ทําไมเจ้าไม่ออกมาเล่า?”
ตอนนี้เอง ต้วนหลิงเทียนพลันฉุกคิดอะไรได้…เพิ่งเทียนหวี่เป็นผู้ติดต่อกับมู่อีอีแต่แรก มู่อีอีจึง ออกมารอเขาที่หน้าประตูใหญ่นิกายตั๋วสุ่ยแบบนี้
ทว่าตอนนี้เพิ่งเทียนหวี่กลับไม่คิดจะออกมาพบหน้านาง
“พี่ใหญ่ต้วน ข้าเองก็ไม่รู้ว่าข้าคิดไปเองรึเปล่า แต่ข้ารู้สึกว่าศิษย์พี่หญิงอีอีต่างไปจากเดิม น้ํา เสียงที่นางใช้ตอนส่งข้อความติดต่อกับข้า มันหมางเมินเหินห่างราวนางเป็นคนละคนกับ กาลก่อน”
เพิ่งเทียนหวี่กล่าว
นี่เป็นเหตุผลที่ทําให้เพิ่งเทียนหวูไม่สนใจจะออกมาพบเจอกับมู่อีอีเพราะมู่อีอีทําราวกับนางเป็นคนแปลกหน้าไปแล้ว
มู่อีอีคนปัจจุบัน ทําให้นางรู้สึกเสมือนเป็นคนแปลกหน้า
ความรู้สึกห่างเหินดังกล่าว ทําให้เพิ่งเทียนหวูไม่คิดจะพบเจอกับนางอีกต่อไปเลือกจะใช้เวลาบ่มเพาะพลังในโลกใบเล็กของต้วนหลิงเทียนประเสริฐกว่า
ต้วนหลิงเทียนเองที่มองสํารวจมู่อีอีอยู่ก็บอกได้ไม่ยากว่าสายตาที่มู่อีอีใช้มองเขา ไม่ใช่สายตาของคนที่มีความสุขความยินดีหลังได้พบเจอสหายเก่าอย่างเขาหรือเทียนหวี่ที่ไม่พบกันนาน
ทันใดนั้นใจต้วนหลิงเทียนก็จมลงทันที
หรือศิษย์น้องหญิงมู่อีอีของเขากําลังถูกผู้อื่นพยายามชิงร่างจริงๆ?
“นายน้อย ข้าแนะนําให้จับตัวนางกลับไปก่อน…ข้าสัมผัสได้ว่ากลิ่นอายพลังวิญญาณที่อ่อนแอเจียนดับสูญในร่างเต็มที่สมควรเป็นวิญญาณของศิษย์น้องหญิงท่าน และที่ไฉนวิญญาณของนางอ่อนแอก็เพราะกําลังถูกหลอมกลืน”
ผู้เฒ่าหัวกล่าว
“ถูกหลอมกลืนงั้นเหรอ?”
ต้วนหลิงเทียนขมวดคิ้ว
“ไม่ผิด! เป็นการหลอมกลืน!”
ผู้เฒ่าหัวพยักหน้า “การหลอมกลืนแตกต่างจากการทําลายวิญญาณอีกฝ่ายเพื่อชิงร่างมาก เพราะมันจะค่อยๆหลอมกลืนวิญญาณของเจ้าร่างให้กลายเป็นส่วนหนึ่งของวิญญาณตัวเองช้าๆ ความทรงจําทั้งมวลและทุกสิ่งทุกอย่างของวิญญาณที่ถูกหลอมกลืนจะตกเป็นของผู้ลงมือ!และการหลอมกลืนวิญญาณเช่นนี้ แตกต่างจากการใช้กําลังบุกรุกยึดร่างมากเพราะจะทําให้ช่วงชิงร่าง กายได้อย่างสมบูรณ์ไร้ซึ่งผลข้างเคียงใดๆเฉกเช่นการใช้กําลังเข้าครอบครอง”
“อย่างไรก็ตาม วิธีหลอมกลืนวิญญาณเช่นนี้เป็นศาสตร์ชั้นสูงยิ่งมิใช่สิ่งที่คนธรรมดาๆจักเรียนรู้ได้”
“กระทั่งในบรรดาจักรพรรดิอมตะสมญานามเอง ก็หาผู้ที่ใช้วิธีเช่นนี้เป็นยากมาก”
ขณะที่ผู้เฒ่าหัวเอ่ยน้ําเสียงของมันยังจริงจังไม่น้อย
“เช่นนั้นก็พาตัวนางไปก่อนค่อยว่ากัน”
ต้วนหลิงเทียนเอ่ยออกเสียงหนัก
เพราะพิจารณาจากสถานการณ์ในปัจจุบันแล้ว ศิษย์น้องหญิงมู่อีอีในตอนนี้ยังไม่เป็นอันตรายถึงตายแต่หากสุดท้ายนางถูกหลอมกลืนวิญญาณไปจริงๆก็ไม่ใช่เรื่องเล่นๆแล้ว!
“ได้”
ผู้เฒ่าหัวขานรับสั้นๆ จากนั้นก็ใช้พลังสะกดร่างม่อีอีก่อนจะหอบหิวม่อีอีพร้อมต้วนหลิงเทียนเห็นร่างวูบหายไปจากหน้าประตูใหญ่นิกายตั๋วสุ่ยทันที
ฉากเรื่องราวดังกล่าวยังทําให้ผู้ติดตามม่อีอีไม่เว้นเหล่าศิษย์เฝ้าประตูรวมถึงหน่วยลาดตระ เวนของนิกายลั่วสู่ยอึ้งไปเป็นแถบพอรู้สึกตัวอีกที่แต่ละคนก็หน้าเปลี่ยนสีกันใหญ่เร่งร่ําร้องผสานพลังออกมาเสียงดังลั่น “แย่แล้ว ศิษย์น้องม่อีอีถูกผู้คนลักพาตัวไปแล้ว!!”
“มารดามัน! รีบไปแจ้งท่านผู้อาวุโสเร็ว!”
“เร็วเข้า! ให้ผู้อาวุโสนําเรื่องนี้ไปรายงานต่อท่านธิดาเทพโดยด่วน!หากเกิดอะไรขึ้นกับศิษย์น้องม่อีอีพวกเรามีหวังได้ตายเพราะโทสะของธิดาเทพแน่!”
ในขณะที่นิกายตั๋วสุ่ยกําลังตกอยู่ในความโกลาหลต้วนหลิงเทียนกับผู้เฒ่าหัวก็ได้ใช้ค่ายกลเคลื่อนย้ายข้ามระนาบเทวโลกเพื่อเคลื่อนย้ายออกจากถั่วสุ่ยเทียนทันที
และเพื่อความปลอดภัย เขาก็ได้ย้อนกลับมาจี้เมียเทียน และกลับมาตั้งหลักยังพระราชววังจักรพรรดิสวรรค์แห่งจี้เมียเทียน
“ศิษย์พี่ใหญ่ต้วน ท่านคิดจะทําอะไรกันแน่!?”
หลังกลับมาถึงพระราชวังจักรพรรดิสวรรค์เมี่ยเทียนแล้ว ผู้เฒ่าหัวก็ถอนริ้งพลังสะกดม่อีอีบางส่วนค่อยปล่อยนางลงบนเตียง และเพราะระหว่างเดินทางนางถูกพลังสะกดจนสลบไสลไม่ได้สติจึงไม่รู้เลยว่าตัวเองถูกพามาต่อไหนถึงไหนแล้ว
อย่างไรก็ตามเมื่อสัมผัสได้ถึงสภาพแวดล้อมที่ไม่คุ้นเคย นางก็เดาได้เป็นธรรมดาว่าอีกฝ่ายพาตัวนางออกจากนิกายตั๋วสุ่ยกระทั่งอาจจะออกจากลั่วสุ่ยเทียนไปแล้วด้วยซ้ํา
“เจ้าเป็นใครกันแน่ ไฉนถึงคิดชิงร่างศิษย์น้องหญิงอีอี?”
ต้วนหลิงเทียนมองมู่อีอีด้วยสายตาเย็นชา เอ่ยถามออกมาเสียงหนัก
“ศิษย์พี่ใหญ่ต้วน นี่ท่านกําลังพูดถึงเรื่องอันใดกัน แล้วนี่ท่านจับข้ามาทําไม?”
ม่อีอีผงะไปเล็กน้อย ค่อยขมวดคิ้วกล่าวถามออกมาด้วยสีหน้างุนงง อย่างไรก็ตามเมื่อครู่ลึกลงไปในแววตาของนางกลับฉายให้เห็นถึงความตื่นตระหนกวูบหนึ่ง
ถึงแม้อาการแตกตื่นดังกล่าวจะปรากฏขึ้นแค่เสี้ยวพริบตาก่อนจะหายไป แต่ต้วนหลิงเทียนที่จับจ้องแต่แรกก็พบเห็นได้ไม่ยาก
“ผู้เฒ่าหัว แล้วพวกเราจะแก้ไขสถานการณ์ในร่างศิษย์น้องหญิงของข้าอย่างไรดี?”
ต้วนหลิงเทียนหันไปเอ่ยถามผู้เฒ่าหัว เพราะในเมื่อผู้เฒ่าหัวแนะนําให้ลักพาตัวนางกลับมาก่อนก็สมควรมีความคิดแต่แรกว่าต้องจัดการอย่างไร
“ข้าได้ให้คนไปตามจักรพรรดิอมตะวิญญาณพิศวงแล้ว มันเชี่ยวชาญเรื่องทักษะวิญญาณและอํานาจจิตเป็นที่สุดย่อมมีวิธีจัดการเรื่องนี้แน่”
ผู้เฒ่าหัวกล่าว
และผู้เฒ่าหัวกล่าวจบคําไม่ทันไร ก็ปรากฏร่างชายวัยกลางคนที่มีรูปร่างสมส่วน เส้นผมดําขลับไว้ทรงเดทร็อคเหินตัดฟ้ามาแต่ไกล
“จักรพรรดิอมตะวิญญญาณพิศวง โม่เหอ ขอคารววะนายน้อย”
ชายวัยกลางคนพอมาถึงก็เร่งประสานมือโค้งคารวะตัวนหลิงเทียนยด้วยความสุภาพทันที
ด้านต้วนหลิงเทียนก็ถึงกับเหม่อมองทรงผมอีกฝ่ายที่แลคล้ายอสรพิษฝูงใหญ่อย่างอึ้งๆพักหนึ่ง กว่าจะดึงสติกลับมาได้
“ผู้อาวุโสโม่เหอ”
ตัวนหลิงเทียนเร่งขานคําทักทายตอบกลับ จากนั้นก็เอ่ยถามออกไปทันทีว่า “ผู้เฒ่าหัวคงเล่าสถานการณ์ให้ท่านฟังคร่าวๆแล้วกระมัง”
“มิผิด”
โม่เหอพยักหน้ารับ จากนั้นก็หันไปมองมู่อีอีที่ถูกผู้เฒ่าหัวใช้พลังผนึกความเคลื่อนไหวทันทีสองตาของมันยังเปล่งแสงสีเขียวออกมาเรื่องๆ จากนั้นพลังวิญญาณอันทรงพลังพร้อมสํานึกเทวะก็แผ่พุ่งออกมาเข้าสู่ร่างมู่อีอีทันที
“ข้าไม่สนว่าพวกเจ้าที่แท้เป็นใครกันแน่! แต่หากพวกเจ้ากล้ายุ่งวุ่นวายเรื่องข้า…ท่านแม่ของข้าไม่มีวันปล่อยพวกเจ้าไปแน่!”
เมื่อม่อีอีพบว่ามีพลังวิญญาณอันร้ายกาจขุมหนึ่งชําแรกเข้ามายังดวงจิต ปกคลุมไปทั่วทะเลวิญญาณ นางก็ไม่อาจสงบสติได้อีกต่อไป เร่งโพล่งโวยวายออกมาอย่างเสียอาการจากนั้นก็มองจ้องโม่เหอด้วยสายตาเอาเรื่องกล่าวขู่เสียงหนัก “ท่านแม่ของข้าก็คือประมุขนิกายลั่วสุ่ย อีกทั้งยังเป็นจักรพรรดิสวรรค์แห่งลั่วสุ่ยเทียน!”
ประมุขนิกายตั๋วสุ่ย จักรพรรดิสวรรค์ลั่วสุ่ยเทียน?
แม่ของนาง?
ต้องกล่าวเลยว่าคําพูดของมู่อีอี ทําให้ไม่เหอหวาดกลัวไม่น้อย ถึงขั้นหยุดมือลง จากนั้นก็หันไปมองต้วนหลิงเทียนกับผู้เฒ่าหัวด้วยท่าทางลังเลด้วยไม่ทราบจะเอาอย่างไรต่อดี
“ที! ในที่สุดเจ้าก็ยอมรับแล้วสินะ?”
ต้วนหลิงเทียนมองจ้องไปยังมู่อีอีด้วยสายตาแหลมคม กล่าวให้ชัดก็คือมองจ้องผู้ที่คิ ดหลอมกลืนวิญญาณชิงรางม่อีอีด้วยใบหน้าเย้ยหยัน!