War sovereign Soaring The Heavens - ตอนที่ 3420
ตอนที่ 3420 : 2 ปีผ่านไป
ไม่เพียงแต่เพราะคําสั่งของอาจารย์ผู้เป็นจักรพรรดิสวรรค์ยูโหย่วเทียน แต่ด้วยความที่รักคนในบ้านยังลามไปถึงนกที่เกาะหลังคาบ้าน จักรพรรดิอมตะหนามม่วงได้จัดที่พักให้ต้วนหลิงเทียนกับผู้เฒ่าหั่วอย่างดี เป็นบ้านลาน 2 หลังอันเงียบสงบในส่วนลึกของหุบเขา
บ้านผู้เฒ่าหั่วก็อยู่ข้างๆบ้านของต้วนหลิงเทียน โดยหันหน้าเข้าหากัน ทําให้คิดจะไปมาหาสู่หรือดูแลอํานวยความสะดวกอะไรก็ง่ายดาย
และวันเวลา 2 ปีสําหรับผู้เฒ่าหั่วแล้ว เสมือนชั่วพริบตาเดียว
สําหรับต้วนหลิงเทียน แม้จะไม่ได้เนิ่นนานอะไร แต่ก็พอให้เขาได้ทําอะไรหลายสิ่งหลายอย่างสามารถยกระดับพลังฝึกปรือได้บางส่วน
“ตัวเลวร้ายปกติบ้านลานก็มีค่ายกลจัดตั้งไว้ทั้งด้านนอกลานและในตัวบ้านแล้วนี่ ไฉนเจ้าถึงได้จัดตั้งค่ายกลอีกตั้ง 2-3 ค่ายเล่า ยังให้น้องหญิงฮ่วนเอ๋อเสริมด้วยค่ายกลมายาอีก 3 ค่ายจนแลดูซับซ้อนวุ่นวายเช่นนี้อีก”
ลี่เฟยที่ยืนอยู่ในลาน หันไปมองถามต้วนหลิงเทียนด้วยความงุนงง
ข้างๆต้วนหลิงเทียนตอนนี้กก็มีสตรีในชุดขาวราวหิมะยืนอยู่เคียงข้าง ด้วยรูปโฉมอันงดงามพิลาศล้ำไร้คู่เปรียบของนาง พาลให้สรรพสิ่งโดยรอบแลดูหมองลงถนัดตา
และนางก็คือฮ่วนเอ๋อ ที่ค่อยจัดตั้งค่ายกลมายาตามคําขอของต้วนหลิงเทียนนั่นเอง
ด้วยร่างที่แท้จริงของฮ่วนเอ๋อเป็นถึงจิ้งจอกน้ำแข็งพันมายา พรสวรรค์แต่กําเนิดของนางไม่เพียงแต่จะมองทะลุภาพมายาทั้งมวล ยังเชี่ยวชาญการจัดตั้งค่ายกลมายาทั้งหลายอีกด้วย แม้ความแข็งแกร่งของนางจะยังไม่อาจเทียบได้กับจักรพรรดิอมตะสมญานาม แต่อย่างไรก็ทะลวงถึงขอบเขตจักรพรรดิอมตะแล้ว เช่นนั้นค่ายกลที่นางสร้างก็ยากจะแลเห็นเบาะแสได้จากด้านนอก
เว้นเสียแต่จะมีความสามารถต่อต้านภาพมายา หาไม่แล้วก็จําต้องบุกเข้ามาทําลายค่ายกลจากด้านในเท่านั้น
ไม่อย่างนั้น ก็ไม่มีทางรู้ได้เลยว่าที่นี่ถูกปกคลุมไปด้วยค่ายกลมายา
“เดี๋ยวเจ้าก็รู้”
ได้ยินคําถามของลี่เฟย ต้วนหลิงเทียนก็คลี่ยิ้มลี้ลับ และหันไปกล่าวกับฮ่วนเอ๋อว่า “ฮ่วนเอ๋อ เดี๋ยวพอเสี่ยวเฟยเอ๋อเข้าไปในโลกใบเล็กภายในกายของข้า เจ้าก็อธิบายสถานการณ์ภายในโลกใบเล็กของข้าให้นางฟังคร่าวๆ”
“อื้อ”
ฮ่วนเอ๋อพยักหน้ารับอย่างเชื่อฟัง
“โลกใบเล็กภายในร่างเจ้า? ตัวเลวร้ายโลกใบเล็กของเจ้ามีอะไรแปลกไปงั้นหรือ?”
ลี่เฟยเอ่ยถามด้วยสงสัย
จนเมื่อลี่เฟยติดตามฮ่วนเอ๋อเข้าสู่โลกใบเล็กภายในกายของต้วนหลิงเทียน นางจึงพบว่าสถานการณ์ภายในโลกใบเล็กของสามีนาง มันแตกต่างจากผู้อื่นโดยสิ้นเชิง!
ที่นี่มันแทบจะเป็นระนาบเทพขนาดย่อมแล้ว!
ไอพลังวิญญาณฟ้าดินที่อัดแน่นอยู่ภายในนี้ ไม่ใช่อะไรที่ห้องบ่มเพาะที่ดีที่สุดในพระราชวังจักรพรรดิสวรรค์จะเทียบได้เลย กระทั่งให้กวาดตามองทั่วทั้งระนาบเทวโลกก็คงไม่อาจหาที่ไหน มีสภาพแวดล้อมระดับนี้ได้
“พลังวิญญาณฟ้าดินนี้มัน…หรือว่า…”
ลี่เฟยตื่นตระหนกตกใจไม่น้อย และในขณะที่ปากกล่าวพึมพําอย่างอื้ออึง ก็อดไม่ได้ที่จะยกมือขึ้นมาป้องปาก ทําตาโตด้วยความไม่อยากจะเชื่อ
จังหวะนี้ยังรู้สึกสงสัย ว่าใช่ตัวเองกําลังฝันอยู่หรือไม่ “ข้าข้าคงไม่ได้ฝันไปหรอกนะ?”
“เฟยเอ๋อ…”
ตอนนี้เองลี่หลัวพลันเดินเข้ามาหาลู่เฟย พลางกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “เจ้าไม่ได้สัมผัสผิดพลาดและไม่ได้ฝันไป..ไอพลังวิญญาณฟ้าดินที่อัดแน่นในบรรยากาศภายในโลกใบเล็กของเทียนเอ๋อเป็นพลังวิญญาณฟ้าดินของระนาบเทพจริงๆ”
พอได้ยินเสียงของลี่หลัว ลี่เฟยก็ลอบหยิกต้นขาตัววเองไปที่ เมื่อความเจ็บจี๊ดแล่นขึ้นสมองนางก็ตระหนักได้ว่าตัวเองไม่ได้ฝันไป
“พี่สาวเฟยเอ๋อ”
ตอนนี้เอง ฮ่วนเอ๋อก็กล่าวแนะนําออกมาพอดี “พลังวิญญาณฟ้าดินที่อยู่ที่นี่ เป็นพี่หลิงเทียนดูดซับมาจากซากปรักหักพังของระนาบเทพ…พลังวิญญาณฟ้าดินของที่นี่จึงไม่แตกต่างอะไรกับพลังวิญญาณฟ้าดินในระนาบเทพ”
“ซากปรักหักพังของระนาบเทพ?!”
ลี่เฟยจะอย่างไรก็เป็นศิษย์ของจักรพรรดิอมตะหนามม่วง และตัวจักรพรรดิอมตะหนามม่วงก็เป็นถึง 1 ใน 3 ศิษย์ที่แท้จริงของจักรพรรดิสวรรค์แห่งฝูโหย่วเทียน เช่นนั้นลี่เฟยจึงรู้จักซากปรักหักพังของระนาบเทพดี
“ตัวเลวร้าย…บังเอิญพบเจอซากปรักหักพังของราบเทพ?”
ลี่เฟยย่อมรู้ดีว่าต้องมีโชคมหาศาลถึงขนาดไหนจึงจะมีโอกาสพบเจอซากปรักหักพังของระนาบเทพ ว่ากันว่าแม้แต่เหล่าจักรพรรดิอมตะสมญานามที่ไปสู้เสี่ยงตายในสมรภูมิ 9 ยมโลกอย่างสิ้นหวัง ก็อาจไม่มีแม้แต่โอกาสได้เข้าไปยังซากปรักหักพังของระนาบเทพด้วยซ้ำ
ซากปรักหักพังของระนาบเทพนั้น ก็คือระนาบเทพที่ล่มสลาย สรรพชีวิตที่อยู่ในระนาบตกตายหมดสิ้นไม่มีเหลือ ทว่าสมบัติและทรัพยากร ไม่เว้นอุปกรณ์เทพทั้งหลายก็ยังกระจัดกระจายอยู่ทั่วไปหมด
เรียกว่าซากปรักหักพังของระนาบเทพนั้น สําหรับระนาบเทวโลกแล้ว ถือว่าเป็นสมบัติสถานที่เลิศล้ำเป็นอันดับ 1!
และสามีของนางไม่เพียงพบพานเข้ากับซากปรักหักพังของระนาบเทพที่ว่า แต่กลับสามารถดูดซับพลังวิญญาณฟ้าดินที่นั่นเข้ามากักเก็บไว้ในโลกใบเล็กภายในกายได้อีกด้วย!
“ได้อย่างไร..ตัวเลวร้ายทําได้อย่างไรกัน?”
ลี่เฟยได้แต่หันไปมองถามฮ่วนเอ๋อด้วยความอื้ออึง
นางรู้แล้วว่าหลังจากสามีของนางขึ้นมายังระนาบเทวโลกได้ไม่นาน ก็ได้พบพานฮ่วนเอ๋อและร่วมเดินทางมาด้วยกันตลอด เช่นนั้นฮ่วนเอ๋อจึงรู้เรื่องของต้วนหลิงเทียนดีที่สุด
“พี่สาวเฟยเอ๋อ ที่ไฉนพี่หลิงเทียนสามารถดูดซับพลังวิญญาณฟ้าดินมากักเก็บไว้ในนี้ได้ ทั้งหมดเป็นเพราะพวกมัน…”
ขณะกล่าวประโยคนี้ ฮ่วนเอ๋อก็ชี้ไปทางเทพเบญจธาตุทั้ง 5 ที่อยู่รอบๆพฤกษาเทพกําเนิดชีพ และตอนนี้เทพเบญจธาตุทั้ง 5 ก็อยู่ในรูปลักษณ์แถบริวแสง หมุนวนรอบพฤกษาเทพกําเนิดชีพเปล่งแสงแพรวพราว
“พวกมัน?”
ลี่เฟยมองไป แต่ก็อดไม่ได้ที่จะงุนงงหนักกว่าเดิม
“นั่นคือเทพเบญจธาตุ”
ฮ่วนเอ๋อกล่าว
“จริงสิ พี่สาวเฟยเอ๋อรู้จักเทพเบญจธาตุหรือไม่?”
ฮ่วนเอ๋อเอ่ยถามออกมาอีกรอบ
“ทะเทพเบญจธาตุ?!”
ตอนแรกลี่เฟยก็นิ่งไปไร้การตอบสนอง และหลังจากตอบสนองเรื่องราว สีหน้านางก็เปลี่ยนไปใหญ่หลวง ลูกตายังหดเล็กลงเร็วไว
เทพเบญจธาตุคืออะไร นางย่อมรู้ดี!
กระทั่งในตอนนี้ ในหูของนางก็เหมือนจะได้ยินเสียงของอาจารย์นาง จักรพรรดิอมตะหนามม่วงดังขึ้นซ้ำๆ “เฟยเอ๋อ ในโลกนี้มีสมบัติฟ้าดินมากมาย…อยย่างไรก็ตามสมบัติที่ล้ำค่าที่สุดในสวรรค์โลกและยากครอบครองมากที่สุดก็คือ เทพเบญจาตุ”
“ผู้ใดก็ตามที่ได้รับเทพเบญญจธาตุมาไม่ว่าธาตุใด ขอเพียงสามารถกลายเป็นรางต้นของมันได้เช่นนั้นเรื่องที่จะบรรลุถึงขอบเขตเทพก็เป็นเรื่องที่ขึ้นอยู่กับเวลาแล้ว!”
“และหากโชคดี หลังเป็นเทพแล้วยังทําให้เทพเบญจธาตุในร่างเติบโตก้าวหน้าได้อีก วันหนึ่งก็อาจสามารถทะลวงถึงขอบเขตที่ทรงพลังเหนือจินตนาการ”
เอาแค่ไม่กี่ประโยคที่อาจารย์บอกมา ลี่เฟยก็ตระหนักแล้วว่าเทพเบญจธาตุมีค่ามากแค่ไหน
จากนั้นลี่เฟยก็มองจ้องแถบริ้วทั้ง 5 สีอยู่พักหนึ่งค่อยหันไปถามฮ่วนเอ๋อต่อว่า “ฮ่วนเอ๋อ เทพเบญจธาตุทั้ง 5.เป็นของตัวเลวร้ายหมดเลยหรือ?”
ถึงแม้ลี่เฟยจะเคยได้ยินแต่เรื่องของเทพเบญจธาตุ แต่ไม่เคยพบเห็นเทพเบญจธาตุของจริงมาก่อน แต่นางก็สัมผัสได้ถึงพลังของกฏทั้ง 5 ธาตุแถบริวแสงเบื้องหน้าของนางได้ชัดเจน!
กล่าวได้อีกอย่างว่า
เทพเบญจธาตุเบื้องหน้าไม่ได้มีแค่ธาตุเดียวแต่มีครบทั้ง 5 ธาตุ!
“ทั้งหมดล้วนเป็นของพี่หลิงเทียน”
ฮ่วนเอ๋อพยักหน้า
“จากกลิ่นอายพลังนี่ระดับของทั้งหมดย่อมไม่ต่ำต้อยเลยใช่ไหม?”
ลี่เฟยเอ่ยถามอีกครั้ง
“4 ใน 5 ธาตุบรรลุถึงขั้นที่ 7 แล้ว และ 1 ในนั้นก็บรรลุถึงขั้นที่ 8 เรียบร้อย
หลังได้ยินคําตอบของฮ่วนเอ๋อ สี่เฟยก็อื้ออึงไปแล้วจริงๆ นางไม่คิดไม่ฝันเลยว่าสามีของนางไม่เพียงแต่จะครอบครองเทพเบญจธาตุเท่านั้น แต่ยังครอบครองเทพเบญจธาตุครบทั้ง 5 ธาตุและมีระดับสูงขนาดนี้อีก!
“ว่าแต่ต้นไม้นั่นคือสิ่งใดไฉนกลิ่นอายพลังชีวิตถึงสูงส่งไม่ธรรมดาเช่นนี้”
หลังจากนั้นพักใหญ่ ลี่เฟยที่ตกตะลึงเสมือนสติหลุดลอยออกจากร่าง ก็ดึงสติกลับมาได้อีกครั้งและหันไปมองพฤกษาเทพกําเนิดชีพด้วยความสนใจใคร่รู้
และพอนางรู้ว่านั้นก็คือพฤกษาเทพกําเนิดชีพ ที่เป็นดั่งแกนกลางของระนาบเทพทั้งมวล และมีความสามารถทําให้ผู้ที่ครอบครองเข้าใจกฏชีวิตถึงจุดสูงสุดได้ในสักวัน ลี่เฟยก็ตัวแข็งนิ่งค้างไปอีกรอบ!
นางไม่คิดไม่ฝันเลยจริงๆ ว่าในเวลาเพียงไม่กี่ร้อยปี สามีของนางจะผ่านพ้นการผจญภัยครั้งยิ่งใหญ่จนได้รับสิ่งเหล่านี้มาครองได้
“ตัวเลวร้าย…สมควรผ่านความลําบากมาไม่น้อย…ไม่ทราบผ่านเรื่องเป็นตายมาเท่าไหร่แล้ว”
จังหวะนี้เฟยก็รู้สึกเจ็บแปลบขึ้นมากลางอก นางรู้ดีว่าสิ่งของเลิศล้ำทั้งหลายไม่มีสิ่งใดได้มาโดยง่ายแน่ และสิ่งของใดๆยิ่งล้ำค่ากว่าจะได้มาราคาที่ต้องจ่ายก็ยิ่งสูง! ลี่เฟยก็เชื่อว่าสามีของนางไม่พ้นต้องลําบากแสนสาหัสกว่าจะได้ทั้งหมดมา!
และในบรรดาความยากลําบากทั้งหลาย น่ากลัวจะไม่ขาดสถานการณ์ 9 ตาย 1 รอด!
พริบตานี้สองตางามดั่งสารทฤดูของลี่เฟยอดไม่ได้ที่จะปรากฏหยาดใสไหลรินออกมาเป็นสายหันไปมองฮ่วนเอ๋อพลางถามด้วยน้ำเสีงอ่อนโยนสะอื้นว่า “ฮ่วนเอ๋อ เจ้าเล่าเรื่องราวให้ข้าฟังที ที่แท้ตลอดหลายปีที่ผ่านตัวเลวร้ายไปพบเจออันใดมาบ้าง เจ้าอยู่กับมันตลอดเช่นนั้นสมควรรู้ดีใช่หรือไม่ เล่าให้ข้าฟังหน่อยเถอะ…”
“หากข้าถามมันเอง ไม่พ้นมันต้องพยามบ่ายเบี่ยงไม่ก็เล่าข้ามๆแน่”
“ข้าเชื่อในตัวเจ้า…เจ้าคงไม่โกหกข้าใช่ไหม?”
พอดีเฟยกล่าวดักมาถึงขนาดนี้ ฮ่วนเอ๋อจะกล้าหลอกนางได้อย่างไร
และด้วยการเล่าเรื่องราวในมุมมองของฮ่วนเอ๋อ ลี่เฟยก็ตระหนักได้ทันทีว่าสามีนางประสบกับความยากลําบากมาตลอดทาง มีอุปสรรคโถมกันเข้ามาไม่น้อย
หลายครั้งที่เสี่ยงตาย
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเร็วๆนี้ เพื่อช่วยพ่อแม่ของฮ่วนเอ๋อจากคุก ก็เกือบตาย!
“พี่สาวเฟยเอ๋อ ข้าขอโทษเรื่อช่วยท่านพ่อกับท่านแม่ของข้า ข้าไม่ได้ตั้งใจให้พี่หลิงเทียนไปคนเดียวจริงๆ”
เมื่อเห็นว่ายิ่งมาหยาดน้ำตายิ่งเอ่อคลอเต็มดวงตาของลี่เฟย ฮ่วนเอ๋อก็ร้อนใจจนร่ำไห้ เร่งกล่าวอธิบายออกมาทันที
นางรู้ดีว่าลี่เฟยนั้นห่วงใยในตัวพี่หลิงเทียนของนางมาก อีกทั้งยังเป็นภรรยาที่มีลูกด้วยกันแล้ว เช่นนั้นนางก็ไม่อยากสร้างความประทับใจเลวร้ายในสายตาของอีกฝ่าย
ตอนนี้ฮ่วนเอ๋อไม่ใช่เด็กสาวตัวน้อยไม่ประสาอีกต่อไป
นางเข้าใจอะไรหลายๆสิ่งหลายอย่างแล้ว
“ยาโถวโง่งม”
ลี่เฟยกุมมือฮ่วนเอ๋อไว้ ส่ายหน้าไปมาพลางกล่าว “นิสัยตัวเลวร้ายเป็นเช่นไรไหนเลยข้าจะไม่รู้…ข้ารู้ดีว่าต่อให้มันต้องเสี่ยงมากกว่าเดิม ก็ไม่มีทางปล่อยให้เจ้าไปเสี่ยง”
“อย่าว่าแต่เจ้า ต่อให้จะเป็นข้า เค่อเอ๋อ หรือเทียนหญ่ หากพบเจอเรื่องเช่นเดียวกับเจ้า มันก็จะทําแบบเดียวกัน…”
“ข้าย่อมเข้าใจมัน”
อันที่จริงลี่เฟยก็รู้นิสัยของต้วนหลิงเทียนดี ด้วยเหตุนี้นางจึงเข้าใจการกระทําของต้วนหลิงเทียนได้ไม่ยาก
อย่างไรก็ตาม เข้าใจก็เรื่องหนึ่งแต่หวาดเสียวก็อีกเรื่องหนึ่ง พอนึกถึงเรื่องที่ต้วนหลิงเทียนไปเสี่ยงอะไรมา นางก็อดไม่ได้ที่จะเหงื่อแตกพลั่ก และรู้สึกยินดีอย่างยิ่งที่ต้วนหลิงเทียนไม่เป็นอะไร
หากเกิดอะไรขึ้นกับต้วนหลิงเทียน เกรงว่าคงไม่มีทางได้พบกันอีกครั้งอย่างวันนี้
“ตัวเลวร้าย ต่อไปข้าจะไปอยู่กับท่านอาจารย์แล้ว…ข้าคงมาหาเจ้าได้ไม่มาก แต่หากเจ้าอยากเจอข้า ก็ไปหาข้าที่บ้านพักอาจารย์ได้”
หลังอยู่กับต้วนหลิงเทียน 2-3 วัน ลี่เฟยก็รีบร้อนจะไปอยู่ดูแลอาจารย์ของนาง
ในสายตาของลี่เฟย จักรพรรดิอมตะหนามม่วงไม่ต่างอะไรจากมารดาแท้ๆ เช่นนั้นก่อนที่จะต้องจากกัน นางก็อยากอยู่เป็นเพื่อนมารดาให้มากที่สุด เพราะวันหน้าก็เสมือนถูกกําหนดให้ได้พบเจอกันน้อยลง
“ได้สิ”
ต้วนหลิงเทียนก็เห็นด้วยกับการกระทําของลี่เฟย และสนับสนุนนาง
ต่อมาตลอดช่วงเวลา 2 ปี ลี่เฟยก็พยามแวะเวียนมาหาต้วนหลิงเทียนบ้าง และต้วนหลิงเทียนก็ไปหาจักรพรรดิอมตะหนามม่วง ไปลิ้มรสสุราหมื่นบุปผากับจักรพรรดิอมตะหนามม่วงหลายรอบ
กระทั่งต้วนหลิงเทียนถึงกับติดใจในรสชาติสุราหมื่นบุปผาของจักรพรรดิอมตะหนามม่วง
ทําให้เขาอดสงสัยไปพักหนึ่งไม่ได้
ใช่จักรพรรดิอมตะหนามม่วงเอาสุรารสเลิศมาล่อเขารึเปล่า? หมายให้คอเขาติดใจรสชาติสุรา วันหน้าจะได้พาลี่เฟยกลับมาที่นี่เพื่อลิ้มรสสุราบ่อยๆ?
วันเวลาไหลผ่านไปอย่างเงียบงัน
พริบตาเดียว 2 ปีก็ผ่านไป
“ท่านอาจารย์ ข้าจะพยายามกลับมาหาท่านบ่อยๆ”
ต้วนหลิงเทียนที่ยืนเคียงข้างลี่เฟยเฝ้ามองลี่เฟยกล่าวคําอําลาจักรพรรดิอมตะหนามม่วงก่อนจะประสานมืออําลาจักรพรรดิอมตะหนามม่วงเช่นกัน จากนั้นก็พาลี่เฟยเหินร่างจากไปพร้อมผู้เฒ่าหั่ว
และในขณะที่เหินห่างจากไป ต้วนหลิงเทียนก็สังเกตเห็นหยาดน้ำตาที่เอ่อคลอบริเวณหางตาจักรพรรดิอมตะหนามม่วงชัดเจน