War sovereign Soaring The Heavens - ตอนที่ 3436
ตอนที่ 3436 : หุบเขารอยกระบี่
หลังได้ฟังคําพูดของวารีเทพชําระโลกา ต้วนหลิงเทียนก็เสมือนได้พบประตูสู่โลกใหม่
อย่างไรก็ตามสิ่งที่ทําให้ต้วนหลิงเทียนตกใจก็คือ อาจารย์ของเขานั้นเป็นอัจฉริยะบุคคลจริงๆ ถึงแม้จะไม่มีเทพเบญจธาตุ และไม่เข้าใจ 1 ใน 4 กฏสูงสุด แต่ก็มีศักยภาพจะกลายเป็นผู้แข็งแกร่งที่สุด
เพราะเข้าใจมรรคาของตัว
กล่าวให้ถูกคือ ค้นพบมรรคากระบี่ของตัวเอง ด้วยเหตุนี้จึงมีศักยภาพที่จะกลายเป็นผู้แข็งแกร่งที่สุด
“ต่อให้ไม่มีเทพเบญจธาตุ หรือไม่ได้เข้าใจ 1 ใน 4 กฏสูงสุด หากค้นพบมรรคาของตัวเองและสามารถเข้าใจมรรคานั้นได้จนสุดทาง ก็มีโอกาสจะบรรลุถึงขอบเขตผู้แข็งแกร่งที่สุด”
“ในสวรรค์และโลกแห่งนี้ ไม่ใช่ว่าไม่เคยปรากฏผู้แข็งแกร่งที่สุดลักษณะนี้มาก่อน เพียงแต่มันมีน้อยมาก”
“อาศัยมรรคาของตัวเอง จนบรรลุถึงขอบเขตผู้แข็งแกร่งที่สุด ตัวตนเหล่านี้ล้วนแล้ววแต่เป็นสุดยอดอัจฉริยะทั้งสิ้น เพราะกล่าวไปในระดับหนึ่งแล้ว ตัวตนเหล่านี้ล้วนพึ่งพาตัวเอง และไม่ได้พึ่งพาสิ่งอื่นใดเลย”
“เนื่องเพราะไม่ว่าจะเป็นการบรรลุถึงขอบเขตผู้แข็งแกร่งที่สุดโดยอาศัยเทพเบญจธาตุ หรือเข้าใจ 1 ใน 4 กฏสูงสุด กล่าวไปในระดับหนึ่งแล้ว ล้วนเป็นการพึ่งพาเทพเบญจธาตุและกฏสูงสุด!”
“มีเพียงแต่เข้าใจในมรรคาของตัวเองเท่านั้น ถึงจะเรียกว่าบรรลุถึงเส้นทางของตัวเองที่ไม่มีผู้ใดเทียบเทียม ถึงจะกลายเป็นผู้แข็งแกร่งที่สุดที่เรียกว่าพยายามด้วยความสามารถของตัวเองที่แท้จริง”
วารีเทพชําระโลกากล่าวถึงจุดนี้ น้ําเสียงของวารีเทพชําระโลกาก็เผยความชื่นชม “อาจารย์ของเจ้าบรรลุมรรคากระบี่ของตัวเองได้ถึงระดับนี้ ต่อให้เป็นในระนาบเทพ ก็ยังถือว่าเป็นตัวตนที่หาตัวจับยากในบรรดาขุมกําลังเทพระดับแนวหน้า”
ฟังจากคําพูดของวารีเทพชําระโลกาแล้ว นับว่าไม่ขาดการชื่นชมยกย่องฟงชิงหยางเลย
ต้วนหลิงเทียนตกใจครั้งใหญ่แล้วจริงๆ
ในอดีตตอนที่ยังอยยู่ในระนาบเซียน เขาอาศัยเคล็ดบําเพ็ญจิตเด็กระบี่สูงสุดอย่างยอดใจกระบี่ที่ฟงชิงหยางเหลือทิ้งไว้ ก็ทําให้เขามีพลังต่อสู้เหนือล้ำกว่าคนทั่วไป
ตั้งแต่ตอนนั้นเขาก็รู้แล้วว่าฟงชิงหยางไม่ใช่คนธรรมดา
ในระนาบเซียน อีกฝ่ายกล่าวได้ว่าเป็นตัวตนระดับตํานาน
อย่างไรก็ตาม เขาไม่คิดเลยว่าอาจารย์ของงเขาคนนี้จะน่าเกรงขามมาก แม้จะในระนาบเทวโลก ก็ยยังคงเป็นสัตว์ประหาดเช่นเคย ถึงขั้นค้นพบมรรคากระบี่ของตัวเอง
หากเป็นตัวตนที่มีระดับพลังฝึกปรือทัดเทียมกัน และเข้าใจความลึกซึ้งของกฎเท่าๆกัน เมื่อต้องประมือกับอาจารย์เขา ก็มีแต่ต้องแพ้พ่ายอย่างไม่ต้องสงสัย!
แม้จะเป็นในระนาบเทพ ตัวตนที่ก้าวมาถึงจุดนี้ได้ ก็เป็นอัจฉริยะที่หายากิ่งกว่าเขามังกรขนหงส์
“สมแล้วที่ผู้คนน้อมรับนับถือจักรพรรดิสวรรค์แห่งจี้เมียเทียนว่าเป็นเซียนกระบี่ไร้เทียมทาน
“มรรคาของข้า
หลังได้ยินสิ่งที่วรีเทพชําระโลกาพูดแล้ว ต้วนหลิงเทียนก็นิ่งคิดไปอยู่นาน จมอยู่กับคําว่ามรรคา และให้ความสนใจกับมันมาก ที่แท้ในสวรรค์และโลกยังมีหนทางอันยอดเยี่ยมสาหนึ่งที่เหนือกว่ากฏ!
หลังจากต้วนหลิงเทียนดึงสติกลับมา เขาก็คิดว่าคงต้องรออีก 2-3 วัน ก่อนที่ฟงชิงหยางอาจารย์เขาจะส่งข้อความมาเรียก เพราะเป็นฟงชิงหยางพูดมาแบบนั้นเอง
อย่างไรก็ตามยังไม่ทันข้ามวัน อาจารย์ของเขาก็ส่งข้อความมาให้เขาไปหา
ตอนแรกเขาก็งุนงงอยู่บ้าง ว่าไฉนถึงเปลี่ยนใจไวนัก แต่พอไปถึงจึงได้รู้ว่าไฉนอาจารย์ของเขาถึงส่งข้อความมาเรียกเขา
ที่แท้จักรพรรดิสวรรค์หยางอวิ๋นเซียวมา!
และหยางอวิ๋นเซียวไม่ได้มาคนเดียว ยังมีอีกคนติดสอยห้อยตามมาด้วย
กล่าวให้ชัดๆก็คือ อีกฝ่ายถูกสะกดกักอยู่ข้างๆ
“จักรพรรดิสวรรค์ฟงชิงหยาง โชคดีที่ข้าไม่ทําให้ตัวเองต้องขายหน้า…”
หยางอวิ๋นเซียวกล่าวคํากับฟงชิงหยาง น้ําเสียงทั้งสีหน้าของมันเต็มไปด้วยความจนใจสิ้นไร้กํา
กาลครั้งหนึ่งพลังฝีมือของมันเคยทัดเทียมกับฟงชิงหยาง หากเป็นฟงชิงหยางในวันวาน มันย่อมอาศัยเพียงหนึ่งคําก็น่าจะปกป้องศิษย์คนรองได้แล้ว คงไม่ต้องจับอีกฝ่ายมาส่งถึงที่แบบนี้
อย่างไรก็ตามฟงชิงหยางในวันนี้กลับบรรลุถึงขอบเขตเทพ พลังฝีมือแข็งแกร่งขึ้นไปอย่างร้ายกาจ คิดฆ่ามันยังง่ายดายไม่ต่างตัดหญ้าฆ่าไก่
เช่นนั้นเมื่อเผชิญกับคําขู่ของฟงชิงหยาง มันก็ได้แต่ต้องหอบหิ้วศิษย์คนรองมาให้อีกฝ่ายด้วยตัวเอง
“จักรพรรดิอมตะวายุสุดขั้ว…”
ต้วนหลิงเทียนที่ยืนข้างๆฟงชิงหยางมองไปยังจักรพรรดิอมตะวายุสุดขั้วที่ถูกพลังสะกดกักข้างๆหยางอวิ๋นเซียวด้วยสายตาเฉยเมย ใบหน้าเขาไม่มีความโกรธใดๆ เรียกว่านิ่งสงบราวมองคนแปลกหน้าไม่คล้ายมองศัตรู
เหตุผลก็คือ ในสายตาต้วนหลิงเทียนข่งเฝินไม่ต่างอะไรจากคนที่ตายไปแล้ว
“เจ้านั่นรึ?”
ฟงชิงหยางหันไปมองถามต้วนหลิงเทียน
“ใช่”
ต้วนหลิงเทียนพยักหน้า
“เจ้าลงมือเองเถอะ”
ฟงชิงหยางกล่าว
“ทราบแล้วอาจารย์”
ต้วนหลิงเทียนก้าวออกมาหยุดลงเบื้องหน้าจักรพรรดิสวรรค์ผู้โหย่วเทียน หางอวิ๋นเซียวพลางกล่าว “จักรพรรดิสวรรค์หยางอวิ๋นเซียว รบกวนเจ้าจับมันไว้แน่นๆให้ข้าฆ่าได้ถนัดๆมือหน่อย”
“หากเจ้าจับมันไม่ดีปล่อยให้มันมาทําร้ายข้าได้ข้าเกรงว่าอาจารย์คงไม่ค่อยพอใจเท่าไหร่”
กล่าวถึงประโยคท้าย ต้วนหลิงเทียก็คลี่ยิ้มสดใสออกมา
ได้ยินคําพูดของต้วนหลิงเทียน แม้หยางอวิ๋นเซียวจะมีโมโหที่อีกฝ่ายเสแสร้ง แต่มันก็ทําได้แค่พยักหน้ารับอย่างเชื่อฟัง ใบหน้ายังปั้นยิ้มร่าพลางกล่าว “ศิษย์หลานต้วนอย่าได้กังวล มีข้าจับอยู่ มันไม่อาจทําอะไรเจ้าได้หรอก!”
ถึงแม้ในใจของหยางอวิ๋นเซียวจะรู้สึกหงุดหงิดทั้งไม่พอใจอย่างมากที่โดนรุ่นเยาว์หยอกล้อ แต่ด้วยความกลัวที่มีต่อฟงชิงหยาง มันก็ได้แต่กล้ํากลืนความไม่พอใจดังกล่าวลงท้อง ไม่กล้าจะคายออกมาแม้เสี้ยวเศษ
“ต้วนหลิงเทียน!”
ตอนนี้เองจักรพรรดิอมตะวายุสุดขั้วที่ถูกหยางอวิ๋นเซียวสะกดไว้ สีหน้าของมันก็ซีดเผือด แต่ราวกับมันจะไขว่คว้าแสงแห่งความหวังสุดท้าย จึงมองกล่าวกับต้วนหลิงเทียนด้วยสองตาเป็นประกายวาดหวังว่า “ตราบใดที่เจ้าไม่ฆ่าข้า ข้าข่งเฝินยินดีเป็นทาสรับใช้ข้างกายเจ้าชั่วชีวิต”
“โอ้ จักรพรรดิอมตะวายุสุดขั้วยินดีเป็นข้ารับใช้ข้างกายข้าชั่วชีวิตงั้นหรือ?”
เผชิญกับการดิ้นรนเอาชีวิตรอดของจักรพรรดิอมตะวายุสุดขั้ว ต้วนหลิงเทียนเพียงยิ้มบางๆ จากนั้นสองตาก็ฉายประกายเยียบเย็น ก่อนจะตบฟาดฝามือสังหารเข้าใส่มันทันที
ด้วยมีหยางอวิ๋นเซียวใช้พลังสะกดเอาไว้ไม่ให้โคจรพลังใดๆได้ ข่งเฝินย่อมไม่มีแม้แต่โอกาสจะต้านทานพลังสังหารดังกล่าว ร่างแหลกเป็นละอองโลหิตสลายหายไปในอากาศธาตุทันที
หลังข่งเดินตกตายแล้ว หยางอวิ๋นเซียวก็หันไปมองถามฟงชิงหยางว่า “จักรพรรดิสวรรค์ฟงชิงหยาง ท่านพอใจแล้วกระมัง?”
“อืม”
ฟงชิงหยางพยักหน้ารับคําเบาๆ จากนั้นหยางอวิ๋นเซียวก็ไม่คิดรั้งอยู่ต่ออีกแม้วินาทีเดียยว กล่าวคําอําลาและเห็นร่างจากไปทันที
วินาทีนี้ต้วนหลิงเทียนตระหนักได้ถึงความสําคัญของความแข็งแกร่ง
สุดท้ายหยางอวิ๋นเซียวผู้นั้นก็เป็นถึงจักรพรรดิสวรรค์แห่งฝูโหย่วเทียน ครอบครองระนาบเทว โลกหนึ่งระนาบ ทรงพลังสุดที่ใครในระนาบเทวโลกนั้นจะกล้าต่อต้าน
อย่างไรก็ตาม ต่อหน้าฟงชิงหยางอาจารย์เขา อีกฝ่ายกลับแลดูเรื่องราวลูกแมวเหมียวตัวหนึ่ง จับศิษย์คนรองมาให้เขาเข่นฆ่าด้วยตัวเอง
วันนี้หากหยางอวิ๋นเซียวแข็งแกร่งเท่าฟงชิงหางหรือแข็งแกร่งกว่า เกรงว่าเขาไม่มีทางฆ่าจักรพรรดิอมตะวายุสุดขั้วได้แบบนี้แน่
หลังจากนั้นต้วนหลิงเทียนก็กลับไปนอนทําความเข้าใจกฏมิติจากผลึกสํานึกผู้แข็งแกร่งที่สุด
ไม่กี่วันต่อมา ข้อความของฟงชิงหยางก็ปลุกเขาให้ตื่นขึ้น
ฟงชิงหยาง เรียกให้เขาไปฝึกด้วยแล้ว
หลังจากมาถึงบ้านลานเล็กๆของฟงชิงหยาง อีกฝ่ายก็พาเขาเดินทางไปยังสถานที่ห่างไกลของพระราชวังจักรพรรดิสวรรค์
สถานที่แห่งนี้เขาก็เคยผ่านมาเช่นกัน แต่ไม่ได้คิดสํารวจชมดูอะไร เพราะมันเป็นแค่หุบเขาเปลี่ยวร้างไว้สิ่งสิ่งมีชีวิตใดๆ อย่าว่าแต่ดอกไม้กระทั่งหญ้าสักต้นก็ไม่มี..
มันเป็นสถานที่ๆกระทั่งวิหกยังไม่อยากแวะเวียนมาขับถ่าย
อย่างไรก็ตามวันนี้พอเขาติดตามฟงชิงหยางมาถึงด้านนอกหุบเขา ฟงชิงหยางก็ยกมือขึ้นปลดปล่อยพลังมหาศลขุมหนึ่ง จากนั้นก็ปรากฏพลังจุมหนึ่งกําจายปกคลุมไปทั่วทั้งหุบเขา
ในเวลาต่อมา ต้วนหลิงเทียนก็สัมผัสได้ว่ามีกลิ่นอายอันทรงพลังน่ากลัวขุมหนึ่งระเบิด กวาดออกมาจากด้านในหุบเขา ทําให้เขารู้สึกอึดอัดเสมือนจมอยู่ใต้น้ํา
“เข้าไปดูสิ”
หลังจากต้วนหลิงเทียนเดินตามฟงชิงหยางเข้าไปในหุบเขา ฉากอันยากจะลืมเลือนก็ปรากฏสู่สายตา
ภายในหุบเขา ตามผนังผารอบด้านกลับเต็มไปด้วยรอยกระบี่ ตื้นบ้างลึกบ้าง บ้างเฉียงบ้างตรงบ้างมีรอยฟันคู่จนแลดูเหมือนเส้นขนาน บ้างก็มีฟันไปทางหนึ่งแล้ววกกลับ
อย่างไรก็ตาม แต่ละรอยยกระบี่ล้วนแผ่กลิ่นอายแหลมคมอันน่ากลัวออกมา
“หุบเขาแห่งนี้เป็นสถานที่ๆข้าใช้ฝึกกระบี่มรรคากระบี่ของข้า หากเจ้าคิดจะเริ่มฝึก เจ้าก็ใช้เวลาศึกษาอยู่ที่นี่เถอะ ดูว่าจะเข้าถึงแก่นหรือข้อมูลเชิงลึกอันใดได้บ้างหรือไม่”
ฟงชิงหยางกล่าวกับต้วนหลิงเทียน “สถานที่แห่งนี้ นอกจากข้าแล้ว ก็มีเจ้าเข้ามาเป็นคนแรก”
“ปกติที่นี่จะมีค่ายกลจัดตั้งเอาไว้ตลอด และมีเพียงข้าเท่านั้นที่รู้วิธีเปิด หากมีใครคิดทําลายค่ายกลเข้ามาโดยใช้กําลัง ทุกสิ่งทุกอย่างในหุบเขาแห่งนี้จะถูกทําลายทันที”
ฟงชิงหยางกล่าว
ได้ยินคําพูดดังกล่าวของฟงชิงหยาง ก็ไม่ยากที่ต้วนหลิงเทียนจะตระหนักได้ถึงความสําคัญของสถานที่แห่งนี้ หาไม่แล้วอาจารย์เขา ฟงชิงหยาง คงไม่จําเป็นต้องจัดตั้งค่ายกลอะไรแบบนั้น
และพอนึกถึงมรดกในระนาบโลกียะที่เขาพบพานในปีนั้นเป็นรอยกระบีสลักคําว่า “กระบี่เอาไว้บนผาน้ําตก กอปรกับสิ่งที่ฟงชิงหยางพึ่งกล่าวบอกเมื่อครู่ ต้วนหลิงเทียนก็เดาได้ไม่ยากว่านี่คือมรดกที่ฟงชิงหยางสร้างไว้
“มรรคากระบี่ของข้า จะใช้กับกฏอะไรก็ได้ หากทว่าแต่ละกฏก็สําแดงพลังอํานาจได้แตกต่างกัน อย่างเช่นหากข้าใช้มรรคากระบี่ของข้าด้วยกฎทําลายล้าง มันก็จะทรงพลังเหนือกว่า กฏดิน”
“กฏมิติของเจ้าเป็น 1 ใน 4 กฏสูงสุด และเป็นกฏสูงสุดที่มีพลังโจมตีสูงสุดในแง่ของพลังจู่โจมแล้ว มันไม่ได้อ่อนด้อยไปกว่ากฏทําลายล้างเลย”
“ความรู้ชั่วชีวิตของมรรคากระบี่ข้า ถูกข้าทิ้งไว้ที่นี่ เจ้าลองตระหนักถึงมันแล้วประยุกต์เข้า กับกฏมิติของเจ้าดู…ไม่แน่วันหนึ่งเจ้าอาจเข้าถึงมรรคากระบี่ของเจ้าเองผ่านกฏมิติ”
“กฎแต่ละกฏล้วนมีลักษณะแตกต่างกันอย่างไรก็ตามมรรคากระบี่ของข้าครอบคลุมทุกกฏ จากนี้ไปเจ้าจะเชี่ยวชาญมันได้ถึงขนาดไหน ก็ขึ้นอยู่กับความเข้าใจของเจ้าเองแล้ว”
“เจ้าอยู่ทําความเข้าใจที่นี่เถอะ เมื่อไหร่ที่เจ้าตระหนักได้ถึงอะไรบางอย่าง ก็ส่งข้อความมาหาข้า แล้วข้าจะมารับเจ้าเอง”
หลังเสียงของฟงชิงหยางดังจบคํา คนก็ออกจากหุบเขาทันที และยังอันตรธานหายไป ต่อหน้าต่อตาต้วนหลิงเทียนอย่างไร้ร่องรอย ราวกับสาบสูญไปในความว่างเปล่า
และเมื่อฟงชิงหยางหายไปในอากาศธาตุ ต้วนหลิงเทียนก็สัมผัสได้จากสํานึกเทวะว่าฟงชิงหยางที่ไปปรากฏตัวนอกหุบเขาได้ยกมือขึ้นอีกครั้ง จึงเดาได้ไม่ยากว่าอาจารย์เขากําลังใช้ค่ายกลปกปิดหุบเขา
“ตระหนักถึงมรรคากระบีของอาจารย์…”
หลังฟงชิงหยางจากไป ความสนใจของต้วนหลิงเทียนก็ถูกรอยกระบี่มากมายตามผนังผาโดยรอบของหุบเขาดึงดูดไปทันที
และเจตจํานงกระบี่ที่อยู่ในรอยกระบี่แต่ละรอย ล้วนแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง
บ้างก็มีกลิ่นอายอันดุร้ายนัก
บ้างก็เบาบางทวว่าคมกริบ
บ้างก็เต็มไปด้วยกลิ่นอายทําลายล้าง
ในเวลาเดียวกัน ฟงชิงหยางก็เห็นร่างออกจากหน้าหุบเขาดังกล่าว แล้วกลับมาถึงบ้านลานหลังเล็กของตัวเอง
หลังนั่งลงบนโต๊ะหินอ่อนในลานหน้าบ้านแล้ว ฟงชิงหยางก็หันไปมองทิศทางที่ตั้งหุบเขาพลางกล่าวพึมพํา “จะเข้าใจได้กี่มากน้อยก็ล้วนขึ้นอยู่กับความเข้าใจของเจ้าหนู…หากเจ้าหนูเข้าใจได้ดี และสามารถผสานนมรรคากระบี่ข้าเข้ากับกฏมิติได้เป็นอย่างดี…บางที่อาจสามารถพาเจ้าหนูเข้าไปยังสถานที่แห่งนั้นของนรกอสุราได้”
“ข้าสามารถบรรลุถึงขอบเขตเทพที่นั่นได้อย่างราบรื่น ไม่แน่เจ้าหนูอาจพบพานวาสนาของตัวเองที่นั่นก็เป็นได้”