War sovereign Soaring The Heavens - ตอนที่ 3471
ตอนที่ 3471 : การคาดเดาอันอุกอาจ!
เพื่อเป็นการยืนยัน ต้วนหลิงเทียนจึงถามวารีเทพชําระโลกาเพิ่มเติม
“เจ้ามีความรู้สึกว่าสามารถควบคุมได้ทุกสิ่งจริงๆรึ?”
วารีเทพชําระโลกาเองก็รีบถาม
“ใช่”
เมื่อต้วนหลิงเทียนพยักหน้ารับคํา วารีเทพชําระโลกาก็เอ่ยออกมาอีกครั้ง “เช่นนั้นเจ้าลองควบคุมมิติรอบกายให้ข้าดูหน่อย…หากเจ้าสามารถแตะถึงธรณีประตูวิถีควบคุมจริงๆล่ะก็ต่อให้เป็นในบรรดาเหล่าเทพเจ้าก็ยังเป็นสุดยอดอัจฉริยะไร้คู่เปรียบ
เสียงกล่าวของวารีเทพชําระโลกาตอนนี้ คล้ายรีบร้อนไม่น้อย
ต้วนหลิงเทียนพอได้ยินก็หลับตาสงบจิตทันที จากนั้นร่างเขาก็ปรากฏพลังพุ่งพล่านขึ้นมาจากนั้นพลังเซียนอมตะต้นกําเนิดก็ผสานรวมกับธาตุมิติ ก่อเกิดพายุใต้ฝุ่นคมมีดมิติขนาดเล็กหมุนวนรอบกายอย่างน่ากลัว
และทันใดนั้นเองสองตาต้วนหลิงเทียนก็เกิดขึ้น
พริบตาต่อมา
ชั่ววว!!
ซัววว!!
พุคมมีดมิติขนาดย่อมพลันสลายหายไปทันที
จากนั้นพอต้วนหลิงเทียนชกหมัดออกไปเบาๆ ห้วงมิติเบื้องหน้าก็กระเพื่อมบิดเบือนราวกับจะพังทลายลงได้ทุกเมื่อ
เวิ่งง!!
จากนั้นพอต้วนหลิงเทียนแบฝามือออกมาแล้วโบกสะบัดเบาๆ ห้วงมิติที่ผันผวนบบิดเบือนอย่างรุนแรกก็สงบลงในพริบตา ประหนึ่งห้วงทะเลคลั่งแปรเปลี่ยนเป็นผิวทะเลสาบอันเงียยบสงบราวกับไม่เคยเกิดความผันผวนใดๆ
ครูต่อมาต้วนหลิงเทียนก็กางมือทั้ง 2 ข้างออก ราวกับตาเผิงสยายปีก
ทันใดนั้นเอง ห้วงมิติรอบกายก็เริ่มพับซ้อน จนฉากเรื่องราวเปลี่ยนเป็นแปลกประหลาดสรรพสิ่งกลับทิศวุ่นวายไปหมด ประหนึ่งคลื่นสมุทรม้วนวน หัววงมิติพับไปพับมาไม่ก็บิดหมุนเป็นเกลียวพลังมิติที่กําจายออกมาในบรรยากาศ กลายเป็นลี้ลับยากหยั่งถึง
“ตอนนี้ข้าสามารถเข้าไปซ่อนในห้วงมิติผันผวนได้ด้วย”
หลังต้วนหลิงเทียนกล่าวกับวารีเทพชําระโลกาจบคํา ห้วงมิติแปรปรวนด้านหลังก็คล้ายกําแพงคลื่นโถมกลืนเขาทันทีต่อมาก็กลับกลายเป็นนิ่งสงบไร้ละลอกใดๆ และบัดนี้ร่างต้วนหลิงเทียนก็หายไปแล้วราวกับไร้ซึ่งสิ่งใดเคยดํารงอยู่ตรงนี้มาก่อน
หลังจากนั้นที่ห้วงมิติสงบลงสักพัก มันก็เริ่มสั่นไหวราวผิวน้ําจากนั้นก็กระจายยออกข้างเผยร่างต้วนหลิงเทียนให้เห็นอีกครั้ง
“เป็นเช่นไรบ้างพี่สาวสู่ย”
ต้วนหลิงเทียนเอ่ยถามวารีเทพชําระโลกา ถึงแม้การกกระทําของเขาตอนนี้จะมีการผสานรวมความลึกซึ้งของกฏมิติ อย่างไรก็ตามเขากลับอาศัยความรู้สึกอันยอดเยี่ยมในการควบคุมห้วงมิติแทน
เมื่อครู่ เขารู้สึกราวกับตัวเองได้หลอมผสานเข้ากับความว่างเปล่าเป็นดั่งจ้าวของห้วงมิติโดยยรอบ และจะใช้พลังซับซ้อนเพียงใดเขาก็อาศัยเพียงห้วงคิดเดียวเท่านั้น
ในขณะที่กล่าวถามต้วนหลิงเทียน ห้วงมิติเหนือศีรษะต้วนหลิงเทียนก็ประหนึ่งดินน้ํามันก้อนใหญ่ที่ถูกบิฉีก จากนั้นก็ก่อร่างเป็นเสือน้อยก่อนจะกระโจนลงมาจากความว่า งด้านบนปานพยัคฆ์ลงถมาอยู่ในฝ่ามือต้วนหลิงเทียนที่ยกขึ้นกางออก
และพอต้วนหลิงเทียนหุบฝ่ามือพยัคฆ์น้อยดังกล่าวก้อันตรธานหายไปทันที
“เป็นวิถีควบคุมจริงๆ!”
เสียงของววารีเทพชําระโลกาบัดนี้เต็มไปด้วยความตื่นเต้น กระทั่งต้วนหลิงเทียนยังได้ยินการสั่นไหวในน้ําเสียงของนางชัดเจน “พี่สาวสุยท่านดูเหมือนตื่นเต้นงั้นหรือ?”
“จะไม่ให้ข้าไม่ตื่นเต้นได้อย่างไรไหว”
พอววารีเทพชําระโลกากล่าวคําออกมาอีกครั้ง น้ําเสียงของนางก็หวนคืนสู่ความสงบแล้ว “เจ้าไม่เพียงเห็นธรณีววประตูของวิถีควบคุม กระทั่งเจ้ายังก้าวเข้ามาแล้ว”
“แม้แต่ความสําเร็จในมรรคากระบี่มิติของเจ้า ก็เกรงว่าจะถูกความสําเร็จในวิถีควบคุมแซงไปแล้ว”
“หากว่ามรรคากระบี่มิติของเจ้ายังไม่ได้พัฒนาไปกว่าครั้งก่อนที่ข้าเห็นมากนัก”
ก่อนที่จะเดินทางมาพระราชวังจักรพรรดิสวรรค์หยวนสื่อเทียน มรรคากระปมิติของต้วนหลิงเทียนก็ก้าวเข้าสู่ขั้นตอนเบื้องต้นแล้ว ถึงแม้ตลอดเดือนที่ผ่านมามันจะมีความก้าวหน้าครั้งใหญ่แต่ความก้าวหน้าก็ยังไม่ใหญ่โตพอ
ทว่าต้วนหลิงเทียนยังอดไม่ได้ที่จะแปลกใจเมื่อได้ยินคําของวารีเทพชําระโลกาจริงๆ
เพราะไม่ทันรู้ตัว ความสําเร็จในวิถีควบคุม กลับไม่ด้อยไปกว่ามรรคากระบี่มิติ?
ต้องทราบด้วยว่าความสําเร็จในมรรคากระบี่มิติของเขาตอนนี้ มันเกิดจากการฝึกปรือขัดเกลาเป็นระยะเวลาร้อยปี ยังไม่ได้กล่าวถึงเรื่องที่เขาเคยวางรากฐานอันมั่งคงเอาไว้ตั้งแต่สมัยอยู่ในระนาบโลกียะด้วยซ้ํา
แต่วันนี้ ววารีเทพชําระโลกากลับเอ่ยออกมาดื้อๆ ว่าความสําเร็จในวิถีควบคุมของเขาเหนือกว่ามรรคากระบี่มิติแล้ว?
ต้วนหลิงเทียนไม่อาจไม่ตกตะลึงได้จริงๆ!
“อันที่จริงแล้ว ไม่ว่าจะเป็นผู้ที่เชี่ยวชาญในกฏสูงสุดทั้ง 4 จนถึงขีดสุด หรือผู้ที่ครอบครองหนึ่งในเทพเบจธาตุทั้ง 5 ที่บรรลุถึงขั้นสุดท้าย จนสามารถกลายเป็นผู้แข็งแกร่งที่สุด….ที่ไฉนพวกมันถึงกลายเป็นผู้แข็งแกร่งที่สุดได้นั้นปกติแล้วก็เพราะพวกมันเข้าถึงเต่า”
“กฏสูงสุดทั้ง 4 ที่กล่าวกันว่าเป็นกฏอันสูงสุดนั้น หลังจากทําความเข้าใจมันได้สุดขั้ว สามารถผสานรวมความลึกซึ้งทั้งหมดให้เป็นหนึ่งเดียว ก็จะบังเกิดความเข้าใจวิถีอื่นนอกจากวิถีศาสตราไปเอง”
“ไม่ว่าจะเป็นวิถีกลืนกิน วิถีไร้สิ้นสุด หรือวิถีควบคุม
“และเทพเบญจธาตุทั้ง 5 หลังจากแปลงร่างถึงขั้นสุดท้าย ก็จะสามารถส่งพลังดังกล่า วมาหนุนเสริมร่างต้นของพวกมันขณะเดียวกันยยังช่วยให้ร่างต้นตระหนักรู้ถึงเต๋ ในที่สุดก็กลายเป็นผู้แข็งแกร่งที่สุด”
“หากเจ้าอยากเป็นผู้แข็งแกร่งที่สุด ปกติแล้วต้องเข้าถึงธรณีประตูจตุรวิถีแห่งสวรรค์และโลกอย่างใดอย่างหนึ่ง จากนั้นพะอถึงเวลา สวรรค์และโลกจะส่งหายผู้แข็งงแกร่งที่สุดลงมาเมื่อผ่านั้นหายนะดังกล่าว ก็จะถูกยกระดับเป็นผู้แข็งแกร่งที่สุดทันที”
คําพูดของวารีเทพชําระโลกา ทําให้ตัวนหลิงเทียนเข้าใจหนทางสู่การเป็นผู้แข็งแกร่งที่สุดเพิ่มขึ้น
ในอดีตเขาเพียงรู้แค่ว่า หากคิดจะเป็นผู้แข็งแกร่งที่สุด หนึ่งเลยก็คือต้องเข้าใจ 1 ใน 4 กฏสูงสุดหรืออีกทางก็คือครอบครองเทพเบญจธาตุๆใดธาตุหนึ่ง…ต่อมาพอได้พบเจอกับฟงชิงหยางเขาจึงรู้ว่ายังมีอีกหนทางในการบรรลุถึงขอบเขตผู้แข็งแกร่งที่สุด…เข้าถึงเต๋พบเจอมรรคาของตัว!
มาวันนี้เขาจึงได้ตระหนักว่า ที่แท้ไม่ว่าจะเป็นการอาศัย 1 ใน 4 กฏสูงสุดหรือ 1 ใน 5เทพเบญจธาตุเพื่อให้บรรลุถึงงขอบเขตผู้แข็งแกร่งที่สุด ก็ยังแยกจากคําว่า “เต๋” ไม่ออก
“อยู่ดีๆเจ้าไฉนเข้าใจวิถีควบคุมเช่นนี้ได้?”
วารีเทพชําระโลกากล่าวถามด้วยความสงสัย “ถึงแม้เจ้าจะมีผลึกสํานึกของผู้แข็งแกร่งที่สุดในครอบครองแต่ก็เป็นไปไม่ได้ที่มันจะช่วยให้เจ้าเข้าถึงวิถีควบคุมเช่นนี้รวมถึงไม่อาจทําให้เจ้าเข้าถึงวิถีกลืนกินหรือวิถีไร้สิ้นสุดได้”
“ข้าเองก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าเรื่องราวมันเป็นมาอย่างไร แต่ที่แน่ๆคือ ความรู้สึกถึงห้วงเวลาลึกลับครั้งแรก หรือสามารถเข้าสู่ธรณีประตูของวิถีควบคุมได้…สมควรมาจากผลึกสํานึกผู้ แข็งแกร่งที่สุด”
ถึงแม้วนหลิงเทียนจะงุนงงเล็กน้อยกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นกับตัวเอง แต่เขาเชื่อว่ามันเป็นเพราะผลึกสํานึกของงผู้แข็งแกร่งที่สุดนํามาให้เขาเป็นแน่
“โดยปกติแล้ว เรื่องเช่นนี้ไม่น่าจะเป็นไปได้เลย…”
วารีเทพชําระโลกากล่าวด้วยน้ําเสียงไม่แน่ใจ “เท่าที่ข้ารู้มา ต่อให้เป็นผู้แข็งแกร่งที่สุดที่เข้าถึงเต๋ 2 วิถีอย่างน้อยๆผลึกสํานึกของมันก็เพียงช่วยให้ผู้อื่นเข้าถึง 1 วิถีหลังบรรลุถึงขอบเขตเทพเท่านั้น และหลังจากผสานรวมความลึกซึ้งของกฏได้หมดแล้วมันถึงจะช่วยให้เข้าใจอีกวิถีที่เหลี
“แต่เจ้ายังไม่ทันได้บรรลุถึงขอบเขตเทพ ทว่ากลับสัมผัสถึงวิถีควบคุมแล้ว”
“เว้นเสียแต่…”
กล่าวถึงจุดนี้วารีเทพชําระโลกาก็เงียบไปไม่พูดต่อราวกับลังเลอะไรบางอย่าง แต่ต้วนหลิงเทียนก็กล่าวต่อคํานางออกมา “เว้นเสียแต่ผลึกสํานึกผู้แข็งแกร่งที่ข้ามี จะเป็นผลึกสํานึกของผู้แข็งแกร่งที่สุดที่เข้าถึง 3 วิถี?”
“ไม่ผิด!”
ทันใดนั้นน้ําเสียงของวารีเทพชําระโลกาก็เปลี่ยยนเป็นเคร่งขรึม ประโยคต่อมาเสียงยังสูงขึ้นกว่าเดิม“แต่เรื่องนี้เป็นไปไม่ได้!”
“เท่าที่ข้าทราบ ผู้แข็งแกร่งที่สุดที่เข้าถึง 2 วิถีได้ ก็เป็นตัวตนที่อยู่เหนือผู้ใดในใต้หล้าชั้นฟ้าแล้วมีพลังเปิดระนาบเทพของตัวเองได้ และผู้แข็งแกร่งที่เข้าถึง 3 วิถี ในสวรรค์และโลกนี้กล่าวได้ว่าพวกมันสามารถลบระนาบเทพผู้อื่น และเปิดระนาบเทพของตัวได้ทันที
สิ่งที่วารีเทพชําระโลกากล่าว ต้วนหลิงเทียนก็พอเข้าใจได้ว่าในการเปิดระนาบเทพนั้นมันมีจํานวนจํากัดและหากคิดจะเปิดระนาบเทพของตัวเอง ก็จําต้องเข่นฆ่าผู้แข็งแกร่งที่สุดคนอื่นและทําลายระนาบเทพของอีกฝ่ายเสียก่อน
ยกตัวอย่างเช่น ซากปรักหักพังของระนาบเทพที่เขาไปพบเจอครั้งก่อน นั่นก็คือระนาบเทพที่ถูกผู้แข็งแกร่งที่สุดทําลาย
“แล้วเจ้าคิดว่าตัวตนเช่นนั้นจะพินาศกระทั่งสร้างผลึกสํานึกผู้แข็งแกร่งที่สุดทิ้งไว้เช่นนี้รึ?”
วารีเทพําระโลกากล่าวถามต้วนหลิงเทียน
“ก็คงไม่”
ในที่สุดต้วนหลิงเทียนก็เข้าใจแล้วว่าไฉนวารีเทพชําระโลกาถึงลังเล ที่แท้ผู้แข็งแกร่งที่สุดที่เข้าถึง 3 วิถีก็มีน้อยคนนักในสวรรค์และโลก
ตัวตนดังกล่าวเป็นตัวตนที่อยู่ยงคงกระพันในสวรรค์และโลก ผู้ที่สามารถต่อกรด้วยได้น่ากลัวจะมีเพียงหยิบมือเดียว
“แต่ดูเหมือนเรื่องที่เกิดขึ้นกับเจ้า สามารถอธิบายได้ในลักษณะนี้เท่านั้น”
คิดถึงจุดนี้วารีเทพชําระโลกาก็แลดูสับสนไม่เข้าใจอยู่บ้าง
ไม่ต้องกล่าวถึงนาง ต่อให้ไปถามเหล่ายอดฝีมือของสวรรค์และโลกทั้งหลาย ก็เกรงว่าจะไม่มีใครเข้าใจ ว่าตัวตนที่เข้าถึง 3 วิถีนั้นจะร่วงหล่นได้อย่างไร
“แล้วในสวรรค์และโลกนี้ มีผู้แข็งแกร่งที่สุดที่เชี่ยวชาญทั้ง 4 วิถีดํารงอยู่หรือไม่? เพราะถ้าเป็นผู้แข็งแกร่งที่สุดที่เชี่ยวชาญจตุรวิถี ก็สามารถฆ่าผู้แข็งแกร่งที่สุดที่เชี่ยวชาญ 3 วิถีได้ไม่ใช่หรือไร?”
ต้วนหลิงเทียนเอ่ยถาม
“เชี่ยวชาญจตุรวิถี?”
วารีเทพชําระโลกาอึ้งไปครู่หนึ่ง ค่อยกล่าวเสียงหนัก “เท่าที่ข้าทราบ ในสวรรค์และโลกแห่งนี้มิเคยอุบัติตัวตนระดับผู้แข็งแกร่งที่สุดที่เชี่ยวชาญจตุรวิถีมาก่อน”
“แต่เป็นธรรมดาว่าการเชี่ยวชาญจตุรวิถี ก็เป็นฝันอันสูงสุดของเหล่าผู้แข็งแกร่งที่สุดที่เชี่ยวชาญ 3 วิถีเช่นกัน”
“ทว่าตลอดหลายปีที่ผ่านมา ข้าไม่เคยดิ้นว่ามีผู้ใดสามารถทําเช่นนั้นได้”
“กระทั่ง…เคยมีสุดยอดฝีมือขอบเขตผู้แข็งแกร่งที่สุดคนหนึ่งกล่าวไว้ว่า ผู้แข็งแกร่งที่สุดที่สามารถเชี่ยวชาญจตุรวิถีได้ จะกลายเป็นตัวตนที่ดํารงอยู่เหนือสรรพชีวิตทั้งมวลได้อย่างแท้จริงแม้กระทั่งอยู่เหนือสวรรค์และโลกแห่งนี้”
“อย่างไรก็ตามตัวตนระดับนั้นไม่เคยปรากฏขึ้นมาก่อนเลย”
วารีเทพชําระโลกาเอ่ยคําด้วยน้ําเสียงมั่นใจเป็นที่สุด “นอกจากนี้ยังมีตํานานเล่าขานกันในระนาบเทพทั้งหลายอีกว่า…หากอุบัติตัวตนผู้แข็งแกร่งที่สุดที่เชี่ยวชาญจตุรวิถีได้ขึ้นมาในสวรรค์และโลกแห่งนี้ คนผู้นั้นก็จะกลายเป็นตัวตนที่อยู่เหนือสวรรค์และโลกถึงขั้นแหกกฏเกณฑ์ของสวรรค์และโลก สามารถเบิดสร้างระนาบเทพได้ไร้จํากัด ไม่ถูกกําหนดว่าต้องมีแค่ 18 ระนาบเทพอีกต่อไป และจะเบิดสร้างเพิ่มสักสิบสักร้อยระนาบเทพก็ทําได้ และแม้แต่วันหนึ่งอาจรวมผสานระนาบเทพทั้งมวลเป็นหนึ่งเดียว ให้เหล่าเทพมาอยู่ร่วมกันได้…”
พอได้ฟังคําของวารีเทพชําระโลกาต้วนหลิงเทียนก็สูดลมหายใจเข้าลึกๆ
ระนาบเทพหลายสิบ?
ระนาบเทพหลายร้อย?
รวมระนาบเทพทั้งมวลเป็นหนึ่ง ให้เหล่าเทพอยู่ร่วมกัน?
พระเจ้า!
หากเป็นเช่นนั้นจริง เกรงว่าสวรรค์และโลกแห่งนี้จะเข้าสู่ยุครุ่งเรืองของเหล่าทวยเทพอย่างแท้จริง!
ถึงตอนนั้นเหล่าทวยเทพจะปรากฏให้เห็นทุกแห่งหน และมีตัวตนระดับจักรพรรดิอมตะเกลื่อนกลาดดั่งสุนัข!
ต้วนหลิงเทียนก็สนทนาถามไถ่วารีเทพชําระโลกาตลอดทั้งวันทั้งคืน ขณะเดียวกันก็เอ่ยถามเจาะลึกเรื่อง 4 วิถีในสวรรค์ด้วยความอยากรู้
หากไม่ใช่เพราะได้ข้อความของซูหลี่ที่ส่งมาบอกว่า ศึกอัจฉริยะสวรรค์รอบที่ 4 กําลังจะเริ่มแล้วเกรงว่าต้วนหลิงเทียนคงกระหน่ํายิงคําถามมากมายเกี่ยวกับจตุรวิถีต่อวารีเทพชําระโลกาแน่…สุดท้ายเขาก็ปิดกั้นโลกใบเล็กโดยสมบูรณ์อีกครั้งด้วยความไม่เต็มใจอยู่บ้าง เพราะยังมีอีกหลายอย่างที่เขาอยากถามวารีเทพชําระโลกาให้กระจ่าง
“ไปกันเถอะ”
พอตัวนหลิงเทียนเดินออกมาจากบ้านไม้ ก็พบซูหลี่ยืนรออยู่หน้าบ้าน ต้วนหลิงเทียนก็พยักหน้าให้ซูหลี่ก่อนที่ทั้ง 2 จะพากันเห็นร่างไปยังสถานที่จัดการประลองศึกอัจฉริยะสวรรค์
ศึกอัจฉริยะสวรรค์รอบที่ 4 กําลังจะเริ่มต้นขึ้นแล้ว!