War sovereign Soaring The Heavens - ตอนที่ 3472
ตอนที่ 3472 : กฎรอบที่ 4
ในรอบที่ 4 ของศึกอัจฉริยะสวรรค์นั้น จาก 300 คนที่สามารถผ่านเข้ารอบมาได้ จะทําการสู้ตัดสินเพื่อหา 100 คนที่แข็งแกร่งที่สุด
จึงกล่าวได้ว่ารอบนี้เป็นดั่งรอบโหมโรงของการต่อสู้อันยอดเยี่ยมของศึกอัจฉริยะสวรรค์เพราะในรอบนี้ทั้ง 300 คนที่ต้องต่อสู้ไม่มีชนชั้นอ่อนด้อยสืบไป
เพราะอย่างน้อยๆก็ต้องเป็นยอดฝีมือเทพสงคราม 1 ดารา
ตัวตนดังกล่าว สําหรับขุมกําลังระดับบสวรรค์ทั่วไปในระนาบเทวโลกแล้ว ก็ถือได้ว่าเป็นมือดีคนหนึ่งและยยังอาจเป็นได้ถึงเสาหลักของขุมกําลังระดับสวรรค์อีกด้วย
ตัวอย่างเช่นวังเทียนฉือที่ต้วนหลิงเทียนเคยอยู่ในบรรดาจักรพรรดิอมตะสมญานามทั้ง 9 นั้นจักรพรรดิอมตะสมญานามที่อ่อนแอที่สุด ก็เป็นเทพสงคราม 1 ดารา ที่สําคัญล้วนแล้วแต่อายุมากกันทั้งสิ้น
ทว่าศึกอัจฉริยะสวรรค์นั้น แค่ข้อกําหนดจะเข้าร่วมก็ต้องมีอายุไม่ถึงพันปี ทั้งหมดคือเหล่าผู้โดดเด่นที่เฟ้นหามาแล้วจากทั้งเก้าเก้า 81 ระนาบเทวโลก โดยเฉลี่ยแล้วก็เหลือเพียงระนาบละ 4คนเท่านั้น
นอกจากนี้คําว่าคนที่เอ่ยถึงก็ไม่ได้จํากัดไว้แค่มนุษย์ แต่ยังมีเหล่าสัตว์อมตะ สัตว์เทพ แม้แต่สี่งมีชีวิตอื่นๆที่สามารถจําแลงกายเป็นมนุษย์ได้
ก็อย่างเช่นพวกบุปผาอมตะ ต้นไม้อมตะ สิ่งมีชีวิตที่อุบัติจากแร่ธาตุ หิน ฯลฯ
เรียกว่าเป็นเพียงรุ่นเยาว์อายุไม่ถึงพัน 4 คนที่แข็งแกร่งที่สุดของแต่ละระนาบเทวโลก
แน่นอนว่าย่อมไม่มีชนชั้นต่ําทราม
“ในบรรดา 300 คนที่ผ่านเข้าสู่รอบ 4 ของศึกอัจฉริยะสวรรค์ เฉลี่ยแล้วแต่ละระนาบก็มีด้วยกัน 4 คน แต่วันนี้จะเฟ้นหาคนที่แข็งแกร่งที่สุด 100 คน กล่าวได้ว่าเฉลี่ยแล้วแต่ละระนาบบเทวโกจาก 81 ระนาบ อาจมีผู้ผ่านเข้ารอบที่ 5 แค่ 1 คนเท่านั้น”
หลังต้วนหลิงเทียนกับซูหลี่มาถึงสามประลองศึกอัจฉริยะสวรรค์ไม่ทันไร ก็ได้ยินบางคนเอ่ยถึงเรื่องนี้
ต้วนหลิงเทียนที่ได้ยินนิ่งคิดไปครู่หนึ่ง ก็พบว่ามันเป็นแบบนั้นจริงๆ
“ซูหลี่ รอบนี้เจ้ามั่นใจหรือไม่?”
ต้วนหลิงเทียนหันไปมองซูหลี่ พลางยักคิ้วถามด้วยรอยยิ้มว่า “รอบที่ 4 จะคัดจนเหลือ100 คนที่แกร่งที่สุด หากข้าเดาไม่ผิดคนที่อ่อนแอที่สุดใน 100 คนที่จะเข้ารอบ อย่างน้อยๆก็ต้องเป็นเทพสงคราม 2 ดารา และส่วนมากต้องเป็นเทพสงคราม 3 ดาราขึ้นไปแน่นอน”
“100 อันดับแรกไม่น่าจะใช่ปัญหาสําหรับข้าแต่ 30 อันดับแรกข้าไม่มั่นใจเลย”
ซูหลี่ส่ายหัวไปมาพลางกล่าววตอบคํา จากนั้นก็คลี่ยิ้มแหยๆ “ตอนนี้ข้าอดคิดไปไม่ได้…หากศึกอัจฉริยะสวรรค์นี่มันจัดขึ้นหลังจากนี้อีกซัก 200-300 ปีจะดีขนาดไหน”
“ถึงตอนนั้นไม่ต้องพูดถึง 30 อันดับแรก ต่อให้เป็น 10 อันดับแรก กระทั่ง 3 อันดับแรกข้าก็มีความมั่นใจว่าไหว!”
“และถ้าเจ้าไม่เข้าร่วม ข้าเชื่อว่ากระทั่งอันดับแรกก็มีหวังอยู่!”
ซูหลี่กล่าว
“พูดเป็นเล่นไป ต่อให้ข้าเข้าร่วม เจ้าก็ยังหวังอันดับแรกได้อยู่ไม่ใช่รึไง?”
ต้วนหลิงเทียนยิ้ม
“พอเถอะ…”
ซูหลี่ส่ายหัว “เจ้ามันตัวประหลาดผิดมนุษย์มนา ตั้งแต่ในระนาบโลกียะแล้ว เจ้าก็เป็นแบบนี้มาตลอด…ไม่งั้นไหนเจ้าพูดมา มีครั้งไหนบ้างที่เจ้าไม่สะกดข้า?”
“ตั้งแต่ค่ายอัจฉริยะกองกําลังโลหิตเหล็ก ไปจนถึงการประลอง 10 ราชวงศ์ ยังมีแดนลับอัจฉริยะในแดนทักษินยุทธ์อีก…มีรอบไหนบ้างที่เจ้าไม่บดขยี้ข้าหา?”
“ตอนนี้เรื่องข้าไม่เหลือความคิดจะแข่งกับเจ้าแล้ว”
กล่าวถึงประโยคท้าย มุมปากซูหลี่ก็อดไม่ได้ที่จะยกยิ้มยื่นขม
อันที่จริงมันคิดมาตลอดว่าชะตาชีวิตของมันไม่ว่าจะโชควาสนาหรืออะไร ก็ถือว่าค่อนข้างดีไม่น้อย เรียกว่าในอดีตครั้งยังอยู่ที่ค่ายบ่มเพาะอัจฉริยะของกองกําลังโลหิตเหล็กมันซุหลี่ก็โดดเด่นไม่ต่างอะไรจากต้วนหลิงเทียนมากนัก
อย่างไรก็ตามหลังจากนั้น แม้จะมีแยกย้ายห่างกันไป แต่พอพบกันอีกครั้งต้วนหลิงเทียนก็ยังอยู่เหนือมันเสมอ สุดท้ายก็ถึงวันที่มันกับต้วนหลิงเทียนออกจากระนาบโลกียะและหลังขึ้นระนาบเทวโลกมา ก็คิดว่าทุกอย่างเปลี่ยนไปแล้ว
จนเมื่อได้พบเจอต้วนหลิงเทียนอีกครั้งที่แดนลับอัจฉริยะในแดนทักษินยุทธ์ และพบว่าต้วนหลิงเทียนก็ยังคงประสบความสําเร็จเหนือมันอยู่ดี ทําให้มันบังเกิดความรู้สึกเดิมๆอย่างในระนาบโลเกียะ…ไม่ว่าก้าวหน้าขึ้นอย่างมหัศจรรย์แค่ไหน และสมควรไล่ตามต้วนหลิงเทียนได้ทันกระทั่งก้าวข้ามตัวนหลิงเทียนไปแล้ว
อนิจจาทุกครั้งที่มั่นใจในเรื่องนี้สุดท้ายพอตัวนหลิงเทียนปรากฏตัวขึ้น ก็บดขยี้ความมั่นใจของมันทิ้งจนไม่มีชิ้นดี
ตอนนี้มันก็เลยเลิกคิดจะแข่งขันกับต้วนหลิงเทียนอีกต่อไป
เพราะมันไม่คิดว่าต้วนหลิงเทียนเป็นผู้คน แต่เป็นสัตว์ประหลาด ยังเป็นสัตว์ประหลาดที่ไม่อาจแข่งขันด้วยได้!
คงมีแต่ตัวซูหลี่เองเท่านั้น ที่รับทราบดีว่าเรื่องนี้ทําให้มันละเหี่ยใจขนาดไหน
ได้ยินคําพูดของซูหลี่ ต้วนหลิงเทียนก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกเขินอยู่บ้าง แต่หลังจากลองคิดดูเขาก็พบว่าเรื่องราวมันเป็นแบบนั้นจริงๆ ทําให้เขารู้สึกพูดไม่ออกอยู่บ้าง
หรือจะให้เขาบอกกับซูหลี่ว่า…
โทษที ข้าไม่ได้ตั้งใจงั้นเหรอ?
แต่นั่นเขาตั้งใจจริงๆ!
ครั้งนี้ด้วนหลิงเทียนกับซูหลี่ก็เลือกนั่งที่เดิม และพบว่าพวกหลิงเจวี่ยอขึ้น ถังซานเปา ไม่เว้นพวกจางเทียนโย่วก็ได้มานั่งรออยู่ก่อนแล้ว เพียงเว้นที่นั่งของต้วนหลิงเทียนกับซูหลีว่างไว้
“โล่งไปที ในที่สุดพวกท่านก็มากันแล้ว”
พอเห็นตัวนหลิงเทียน สองตาถังซานเปาก็ลุกวาวจ้า เร่งกล่าวออกมา “พี่น้องต้วน พี่น้องซูหลี่พวกท่านไม่รู้หรอกว่าตอนที่พวกท่านไม่อยู่ พวกเรา 4 รู้สึกอึดอัดกับพี่น้องก้อนน้ําแข็งมาดขรึมผู้นี้เพียงใด…”
ก้อนน้ําแข็งมาดขรึมที่ถังซานเปาพูด แน่นอนว่าย่อมเป็นหลิงเจี่ยอขึ้น
“พวกเจ้ามากันเร็วดีจริง”
ต้วนหลิงเทียนเหลือบมองไปยยังถังซานเปาก่อน ค่อยหันไปมองหลิงเจวี่ยอขึ้นและมันก็พยักหน้ากล่าวคําว่า “อืม” ในลําคอ
“พี่น้องต้วนหลิงเทียนท่านคงไม่มีได้มีเรื่องที่พูดไม่ได้กับพี่น้องท่านนี้ใช่ไหม?”
ถังซานเปาโพล่งออกมา “พี่น้องท่านนี้ กับผู้ใดก็ชักสีหน้าเย็นชาใส่ มีเพียงกับพี่น้องต้วนท่านถึงพอได้เปลี่ยนสีหน้าบ้าง..ชายหนุ่มหน้าตาดีเช่นพี่น้องต้วน คงไม่ได้ชอบผู้ชายจริงๆกระมัง?”
ขณะกล่าววสองตาถังซานเปาก็เบิกกว้าง มองต้วนหลิงเทียนด้วยสายตาราวกับมองตัวประหลาด
“ซานเปาถ้าเจ้าไม่พูด ก็ไม่มีใครหาว่าเจ้าเป็นใบ้หรอก”
ต้วนหลิงเทียนหันไปมองงถังซานเปาตาขวางด้วยรําคาญ เจ้านี่ผีเจาะปากมาพูดรีไร?
เขาล่ะอยากรู้จริงๆว่าอย่างเจ้านี่มันจะมีลูกมีเมียได้ไหม?
ถึงแม้เขาจะไม่ได้อยู่กับถังซานเปานานนัก แต่ก็พอบอกได้ว่าอีกฝ่ายเป็นคนเฮฮาสบายๆทําให้ผู้อื่นรู้สึกเสมือนว่าพึ่งออกมาจากปาเขา เห็นอะไรก็ตื่นเต้นไปหมดจริงๆ
“ถังซานเปา นี่เจ้าไม่รู้เหรอ ว่าเจ้าตัวนมันมีลูกมีเมียแล้วน่ะ?”
ซูหลี่กล่าวพลางหัวเราะ
“หา!?”
ถังซานเปาตกใจ “ข้าข้าไม่รู้เลย!”
จากนั้นมันก็เปลี่ยนไปมองจ้องหลิงเจี่ยอขึ้นแทน ถึงแม้ปากจะไม่กล่าวคําใดออกมา แต่สายตาก็มากพอจะอธิบายทุกอย่างเห็นได้ชัดว่ามันกําลังสงสัยว่าหลิงเจี่ยอขึ้นใช่มีรสนิยมพิเศษหรือไม่ถึงได้ดีแต่กับต้วนหลิงเทียนคนเดียว
“หากยังมองอีก ข้าจะควักลูกตาเจ้า”
ทันใดนั้นเอง เสียงเย็นชาของหลิงเจยอจิ้นพลันดังขึ้น ราวคนมีดวงตางอกเงยอยู่ด้านหลังและเห็นการจ้อมมองของถังซานเปา ทําให้ถังซานเปาสะดุ้งทั้งรีบเบนสายตาไปทางอื่นทันทีเพราะหากเลือกได้มันก็ไม่อยากยั่วยุตัวกระหายเลือดผู้นี้
ตัวกระหายเลือดที่ว่า ไม่ใช่แค่ทัศนะของถังซานเปาที่มีต่อหลิงเจี่ยอขึ้นเท่านั้น แต่คนส่วนใหญ่ก็คิดไปทํานองเดียวกัน
“หึ! รอให้ผู้อื่นมีโอกาสสอนบทเรียนเจ้าก่อนเถอะ!”
หลังเบนสายตาออกไปแล้ว ถังซานเปาก็พ่นลมขึ้นจมูกกล่าวพึมพําจิ้มออกมา
ถึงแม้เสียงพึมพํามันจะไม่ได้ดังอะไรมากมาย แต่ตัวนหลิงเทียนกับคนอื่นก็ได้ยินชัดถนัดหูและคนอื่นๆก็คิดว่าถังซานเปาก็แค่พูดไปเรื่อย มีก็แต่ตัวนหลิงเทียนที่บังเกิดความคิดอุกอาจประการหนึ่ง
ถังซานเปาคนนี้ คงไม่ใช่ว่ามีพลังฝีมือพอจะต่อกรกับหลิงเจวี่ยอขึ้นได้จริงๆหรอกนะ?
เพราะจนถึงตอนนี้ข้อมูลของถังซานเปายังคงคลุมเครือแลดูลึกลับไม่น้อย ไม่มีใครรู้เลยว่ามันมาจากไหนกันแน่ และไม่มีใครล่วงรู้พลังฝีมือที่แท้จริงของมัน
ทั้งหมดที่รู้ก็คือมันน่าจะเป็นเทพสงคราม 2 ดาราขึ้นไป
“แต่อย่างไร…รอบที่ 4 นี้มันก็คงต้องเปิดเผยฝีมือออกมาไม่น้อย
ต้วนหลิงเทียนลอบกล่าวในใจ ขณะกวาดตามองไปอัฒจันทร์รอบๆและไม่ใช่แค่มัน แต่คนอื่นๆที่ปกปิดพลังฝีมือเอาไว้ใน 3 รอบก่อนหน้า ในรอบที่ 4 ของศึกอัจฉริยะสวรรค์นี่ พวกมันก็คงไม่อาจปกปิดพลังฝีมือได้มากเหมือนที่ผ่านมาอีกต่อไป”
ก่อนจะถึงรอบที่ 4 ของศึกอัจฉริยะสวรรค์ อาจารย์เขาก็ได้บอกมาแล้วว่านอกจากเขากับหลิงเจวี่ยอขึ้นก็มีอีกไม่กี่คนเท่านั้น ที่เผยพลังฝีมือเหนือระดับเทพสงคราม 3 ดาราออกมา
คนอื่นๆไม่ว่าจะแข็งแกร่งแค่ไหน แต่เต็มที่ก็เผยพลังฝีมือระดับเทพสงคราม 2 ดาราออกมาเท่านั้น
“เมื่อจักรพรรดิสวรรค์กับคนของวิหารเฟิงฮ่าวมากันใกล้ครบแล้ว…เช่นนั้นศึกอัจฉริยะสวรรค์รอบที่ 4 ก็กําลังจักเริ่มต้นขึ้น!”
ในเวลาเดียวกัน หลายคนก็พบว่าจักรพรรดิสวรรค์รวมถึงคนของวิหารเฟิงฮ่าว ก็ได้เดินทางมาถึงเกือบครบหมดทุกคนแล้ว
“หืม?”
ตอนนี้เอง ต้วนหลิงเทียนก็สัมผัสได้ถึงสายตาของจักรพรรดิอมตะมหาสุริยัน ยูไล ที่กําลังจับจ้องมาที่เขาเขม็ง และในแววตาของมันก็ทําราวกับนักล่าพบพานเหยื่ออันโอชะ
และก่อนหน้านี้ ทุกครั้งที่จักรพรรดิอมตะมหาสุริยัน ยูไล ปรากฏตัว อีกฝ่ายก็เอาแต่มองเขาด้วยสายตาดังกล่าวตลอด
ยูไลนั่น คงไม่มีรสนิยมแปลกๆหรอกนะ?
ต้วนหลิงเทียนที่ได้รับอิทธิพลจากวาจาเหลวไหลก่อนหน้าของถังซานเปา อดไม่ได้ที่จะคิดไปในทํานองดังกล่าว
ไม่นานนักจักรพรรดิสวรรค์ฟังชิงหยางกับจักรพรรดิสวรรค์ติงฟูก็เดินทางมาถึง ทั้งคู่เดินทางมาด้วยกันและสนทนากันอย่างสนิทสนม
เมื่อจักรพรรดิสวรรค์จากทั้ง 81 ระนาบเทวโลก รวมถึงคนของวิหารเฟิงฮ่าวเดินทางมาถึงไม่ทันไรผู้รับผิดชอบในการดําเนินการศึกอัจฉริยะสวรรค์ครั้งนี้อย่าง ฉีคงไห่ รองจ้าววิหารเฟิงฮ่าวสาขาหลัก ก็ปรากฏตัวออกมาอย่างประจวบเหมาะ
สิ่งนี้ทําให้ต้วนหลิงเทียนอดไม่ได้ที่จะสงสัย
ฉีคงไห่นั่น ใช่มาถึงแต่แรกทว่าแอบอยู่รึเปล่า หาไม่แล้วไฉนถึงปรากฏตัวออกมาหลังจักรพรรดิสวรรค์และคนของวิหารเฟิงฮ่าวมากันครบหมดพอดีทุกครั้ง?
“รอบที่ 4 ของศึกอัจฉริยะสวรรค์ กฏการประลองพวกเจ้าหลายคนก็คงทราบกันดีอยู่แล้วข้าก็ไม่คิดจะพูดอะไรมากความ…แต่ครั้งนี้ข้าอยากจะเตือนพวกเจ้าทุกคน ว่าอย่าได้ประมาทเพราะไม่ง่ายเลยที่จะกลายเป็น 100 คนผู้เข้ารอบจากบรรดาอัจฉริยะทั้ง 300”
พอฉีคงไม่กล่าวถึงจุดนี้ มันก็กวาดตามองไปยังเหล่าอัจฉริยะด้วสาตาลึกซึ้ง
กฎการประลองในรอบที่ 4 ของศึกอัจฉริยะสวรรค์ ทางวิหารเฟิงฮ่าววก็ยังคงสร้างตารางรายชื่อ 300 อันดับไว้บนฟ้าสูงเหมือนเดิม และการประลองในรอบนี้จะเริ่มขึ้นจากการจับคู่ประลองและผู้ที่ชนะทั้ง 150 คนจะผ่านเข้ารอบชั่วคราว
ส่วนผู้แพ้จะถูกคัดออกชั่วคราว
จากนั้นบรรดาผู้ชนะทั้ง 150 คนจะทําการจับคู่ประลองอีกครั้ง จนได้ผู้ชนะ 75 คนผ่าน เข้ารอบเป็นการชั่วคราว
หลังจากนั้น 225 คนที่ถูกคัดออกชั่วคราว ก็จะถูกสุ่มจับคู่ประลองแบบขั้นบันได จนได้ผู้ชนะอีก 25 คนที่จะผ่านเข้ารอบเป็นการชั่วคราว
และถึงตอนนี้ ก็จะมีผู้ที่ผ่านเข้ารอบชั่วคราวทั้งสิ้น 100 คนแล้ว
ต่อมา 225 คนที่ถูกคัดออกเป็นการชั่วคราว ก็จะได้รับโอกาสท้าท้าย 10 ครั้ง สามารถ ท้าทายผู้ใดก็ได้ในบรรดาผู้ผ่านเข้ารอบชั่วคราวทั้ง 100 คน
เรื่องราวจะดําเนินไปจนกว่าทุกคนจะหมดโอกาสท้าทาย หรือไม่มีผู้ใดคิดท้าทายอีกต่อไป
แน่นอนว่าผู้ที่ถูกท้าทายแล้วแพ้พ่าย ก็มีโอกาสท้าทาย 10 ครั้งเช่นกัน
กล่าวได้ว่ากฏการประลองของงรอบที่ 4 ก็ไม่แตกต่างจากรอบที่ 3 มากนัก เพียงแค่ครั้งก่อนทุกคนมีโอกาสท้าทายแค่ 3 ครั้งเท่านั้น
ทว่าในรอบที่ 4 นี้ ผู้ใดก็ถามที่ถูกคัดออกชั่วคราว ล้วนจะมีโอกาสท้าทาย 10 ครั้ง! พอไม่มีการท้าทายใดๆแล้วก็ถึงกาลยุติ!