War sovereign Soaring The Heavens - ตอนที่ 3538
ตอนที่ 3538 : ฆ่าในพริบตา!
“หืม?”
ฉากเรื่องราวเบื้องหน้าทำให้ต้วนหลิงเทียนสับสนไปอยู่บ้าง เพราะไม่คิดไม่ฝันเลยว่าอยู่ๆจะเกิดเรื่องราวทำนองนี้ขึ้น
เมื่อครู่ รองจ้าววิหารเฟิงฮ่าวสาขาหลักฉีคงไห่พึ่งกล่าวกับเขาด้วยใบหน้ายิ้มแย้มหยกๆ ว่าจะพาเขาไปพบอาจารย์ทันที และทีท่าทำราวกับพร้อมส่งพวกเขากลับออกจากวิหารเฟิงฮ่าวสาขาหลัก…แต่ไม่คิดเลยว่าเขาพึ่งจะได้พบหน้าอาจารย์ได้ไม่ทันไร ฉีคงไห่ก็คล้ายจะเปลี่ยนไปเป็นคนละคน! อีกฝ่ายพุ่งไปหยุดลอยค้างกลางหาว ร่วมมือกับอีก 4 คนปิดล้อมพวกเขา และเอาแต่มองจ้องมาที่เขาด้วยสายตาละโมบ!!
วิหารเฟิงฮ่าว…คิดจะจับตัวเขาไว้จริงๆ?
แถมยังคิดจะลงมืออย่างโจ่งแจ้งต่อหน้าต่อตาอาจารย์เขาอย่างไม่คิดจะปกปิด?
วิหารเฟิงฮ่าวจะมั่นใจเกินไปหน่อยหรือไม่?
สีหน้าท่าทีต้วนหลิงเทียนเปลี่ยนเป็นอึมครึมทันที สองตายังฉายแววเยียบเย็นนัก ทั่วร่างยังให้ความรู้สึกเย็นชา จนอุณหภูมิโดยรอบเสมือนลดต่ำลงในฉับพลัน
เรียกว่าตอนนี้ใจต้วนหลิงเทียนบังเกิดความเหน็บหนาวนัก…
วิหารเฟิงฮ่าวไม่พ้นต้องคิดถึงผลที่จะตามมาหลังทำแบบนี้เอาไว้แล้ว แต่ทว่ายังปรากฏฉากเรื่องราวเบื้องหน้าขึ้นอยู่อีก! นั่นหมายความว่าวิหารเฟิงฮ่าวสมควรดีดลูกคิดรางแก้ว หมายรับมือกับผลที่จะตามมาเรียบร้อย!!
เห็นได้ชัดว่าวิหารเฟิงฮ่าวไม่กลัวอาจารย์ของเขาเลย
หรือพวกมันไม่เคยคิดเคยฝันมาก่อน ว่าอาจารย์ของเขาจะเป็นภัยคุกคามวิหารเฟิงฮ่าวได้?
“หวู่หงชิง?”
ต่างจากสีหน้าอึมครึมปั้นยากของต้วนหลิงเทียน ฟงชิงหยางยังมีสีหน้าสงบปลอดโปร่งกับเรื่องราวที่เกิดขึ้นเบื้องหน้า สายตาเพียงจับจ้องมองไปยังร่างชายวัยกลางคนที่ลอยดักหน้าอย่างเฉยเมย
หวู่หงชิง เป็นชื่อของจ้าววิหารเฟิงฮ่าวสาขาหลักคนปัจจุบัน
“หึ!”
แทบจะพร้อมกันกับที่เสียงฟงชิงหยางดังจบคำ ชายยชราที่ยืนอยู่กลางหาวทิศทางหนึ่งก็พ่นลมขึ้นจมูกเสียงเย็น กล่าวคำปรามาสออกมาว่า “ฟงชิงหยาง นามของท่านจ้าววิหารของพวกเรา ใช่อะไรที่จักรพรรดิสวรรค์ตัวกระจ้อยเช่นเจ้าเรียกขานออกมาห้วนๆได้รึ?”
พอต้วนหลิงเทียนได้ยินชื่อ หวู่หงชิง จากปากอาจารย์ เขาก็มองสำรวจร่างชายวัยกลางคนเบื้องหน้าทันที
เป็นชายวัยกลางคนในชุดคลุมสีน้ำเงินเข้ม รูปร่างสูงใหญ่บึกบึน หว่างคิ้วปรากฏปานรูปเสี้ยวจันทร์เตะตา คิ้วคมเข้มสองตาให้ความรู้สึกดุร้ายปานพยัคฆ์ แม้คนไม่ได้มีโมโหอะไร แต่กลับให้ความรู้สึกดุดันน่าเกรงขามนัก
และอีกฝ่ายก็กำลังมองลงมาที่เขากับอาจาย์เขาด้วยสายตาเฉยเมย
“ฟงชิงหยาง”
หวู่หงชิงที่ลอยร่างดักหน้า มองฟงชิงหยางพลางกล่างด้วยน้ำเสียงไร้แยแส “ศิษย์ที่แท้จริงของเจ้า พวกเราวิหารเฟิงฮ่าวต้องการมัน”
“เจ้าเพียงคิดเสียว่าไม่เคยมีลูกศิษย์คนนี้เถอะ”
“หากเจ้าเต็มใจปล่อยคน นับตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปวิหารเฟิงฮ่าวของพวกเราจักไม่ริดรอนสิทธิ์ในการเป็นจักรพรรดิสวรรค์ของเจ้าอีก…เจ้าอยากดำรงตำแหน่งจักรพรรดิสวรรค์แห่งจี้เมี่ยเทียนนานแค่ไหนก็ตามใจเจ้า และนี่ถือเป็นคำมั่นที่ข้า หวู่หงชิง จ้าววิหารเฟิงฮ่าวคนปัจจุบันมอบให้แก่เจ้า”
พอหวู่หงชิงปริปากกล่าวคำออกมา มันก็เปิดประตูเห็นภูผาเลือกจะขอต้วนหลิงเทียนจากฟงชิงหยางทันที
ต้วนหลิงเทียนได้แต่คลี่ยิ้มเย้ยเยาะตัวเองแหยๆ
ดูเหมือนเขาจะมีราคาค่างวดไม่เบา…
ขณะเดียวกัน เขาก็เริ่มตระหนักได้ถึงเรื่องหนึ่ง…ดูท่าพวกวิหารเฟิงฮ่าวรวมถึงตัวจ้าววิหารเอง จะไม่ทราบถึงพลังฝีมือที่แท้จริงของอาจารย์เขาสักคน!
หาไม่แล้วอีกฝ่ายคงไม่เอ่ยคำสัญญาณเหลวไหลแบบนี้ออกมาแน่นอน!
ด้วยพลังสามารถของอาจารย์ ยังต้องการคำมั่นสัญญาอะไรจากวิหารเฟิงฮ่าวด้วยเหรอ?
เพราะด้วยความแข็งแกร่งของอาจารย์เขา หากคิดจะนั่งดำรงตำแหน่งจักรพรรดิสวรรค์จี้เมี่ยเทียนต่อ ยังจะมีใครสามารถสั่นคลอนได้?
“วิหารเฟิงฮ่าวของพวกเจ้า…คิดดีแล้วหรือที่กระทำเช่นนี้?”
ฟงชิงหยางไม่แยแสคำพูดของหวู่หงชิง เพียงมองถามหวู่หงชิงด้วยสีหน้าแววตาสงบ น้ำเสียงยังเฉยเมยอย่างน่าประหลาด
“ฮ่าๆๆ! ฟงชิงหยาง อย่าได้เสแสร้งทำเป็นลึกลับนักเลย!”
ชายชราที่เป็นผู้อาวุโสสูงคนหนึ่งของวิหารเฟิงฮ่าว โพล่งคำเย้ยหยันออกมาเคล้าเสียงหัวเราะ “เจ้าพึ่งจะทะลวงถึงขอบเขตเทพได้นานเท่าไหร่กัน? ตอนนี้ให้เดาอย่างดีเจ้าก็สมควรเป็นแค่เทพขั้นกลางกระมัง? แต่เจ้ายังกล้าเสแสร้งวางมาดยอดฝีมือ หมายข่มขู่วิหารเฟิงฮ่าวของพวกเราอีกหรือ?!”
“หรือบางทีเจ้าจักอ้างว่าตอนนี้ร่างจริงพร้อมร่างอวตารกฏทำลายล้างของเจ้ามิได้อยู่ที่นี่ ทำให้สามารถลอบโจมตีสร้างความเสียหายให้วิหารเฟิงฮ่าวของพวกเราเพื่อล้างแค้นได้ทุกเมื่อกระมัง?”
“ข้าจักขอกล่าวไว้ตรงนี้เลย ร่างจริงกับร่างอวตารกฏทำลายล้างของเจ้าไม่มาก็แล้วไป แต่หากโผล่หัวมากำแหงกับวิหารเฟิงฮ่าวเราเมื่อใด ข้าจะออกไปฆ่าเจ้าทิ้งด้วยตัวเอง ยังจะให้เจ้าตายไร้ที่ฝัง!”
กล่าวถึงท้ายประโยค แวววตาของชายชราก็ฉายชัดถึงเจตนาฆ่าฟันอันน่ากลัว
หลังจากนั้นคล้ายกลัวแสดงความอำมหิตไม่พอ มันเลือกจะแสยะยิ้มพลางกล่าวสืบต่อออกมาอย่างเลือดเย็น “อีกทั้งหากเจ้าหาญกล้าก่อเรื่องอันใดขึ้นมาจริงๆ และกว่าข้าจะมาถึงเจ้าก็อาจหนีไปแล้ว…แต่มีคำกล่าวที่ว่า พระหนีพ้น แต่วัดยังอยู่…ข้าจักไปถล่มพระราชวังจักรพรรดิสวรรค์จี้เมี่ยเทียนของเจ้าให้ราบ! แม้แต่ไก่สุนัขสักตัว…ฆ่าไม่ละเว้น!”
“เว้นเสียแต่เจ้าจะยอมเป็นผู้ฝึกตนพเนจร ร่อนเร่เร้นกายหายไปจากโลกหล้า และไม่โผล่หัวออกมาอีก!”
“แต่แน่นอนว่าต่อให้เจ้าหนีหายเยี่ยงสุนัขจรจัด แต่วิหารเฟิงฮ่าวเราจักส่งยอดฝีมือไปไล่ฆ่าเจ้าจนสุดหล้าฟ้าเขียว!”
ทุกคำที่ชายชราผู้เป็นอาวุโสสูงของวิหารเฟิงฮ่าวกล่าวออกมา ไม่ขาดการข่มขู่แม้แต่น้อย
และคำพูดของมันก็ทำให้สีหน้าต้วนหลิงเทียนเปลี่ยนเป็นอัปลักษณ์ปั้นยากนัก
เขาไม่คิดเลยจริงๆว่าวิหารเฟิงฮ่าวจะต่ำช้าโสมมได้ถึงขนาดนี้
“อาศัยเจ้า…จะให้ข้าตายไร้ที่ฝัง?”
ต่างจากสีหน้าต้วนหลิงเทียนที่ยิ่งมายิ่งอัปลักษณ์ พอได้ยินคำพูดข่มขู่อย่างอำมหิตของชายชราผู้เป็นอาวุโสสูงของวิหารเฟิงฮ่าว ใบหน้าที่เฉยเมยไร้แยแสของฟงชิงหยาง อยู่ๆก็เริ่มคลี่ยิ้มออกมาบางๆ
พริบตาต่อมา
“ระวัง!!”
หวู่หงชิง จ้าววิหารเฟิงฮ่าวสาขาหลักอยู่ๆก็หยีตาลง จากนั้นก็โพล่งตะโกนออกมาเสียงดัง
ฟุ่บ!!
ทันใดนั้นเอง ร่างฟงชิงหยางพลันอันตรธานหายไปจากข้างกายต้วนหลิงเทียนในฉับพลัน ปรากฏตัวอีกครั้งก็ไปผุดโผล่เบื้องหน้าชายชราที่กล่าวคำข่มขู่อย่างอัศจรรย์!
และใดๆล้วนสายไปแล้ว…
ผู้อาวุโสสูงของวิหารเฟิงฮ่าวที่กล่าวคำข่มขู่ฟงชิงหยางด้วยอำมหิต ใบหน้าของมันยังคงเต็มไปด้วยรอยยิ้มดูแคลน หากแต่กลับแข็งค้างไปอย่างผิดธรรมชาติ เพราะบัดนี้หว่างคิ้วมันปรากฏหลุมโลหิตชวนสยองหลุมหนึ่ง! สิ่งนี้บอกให้รู้ชัดว่าจวบจนตายมันยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามันตายไปแล้ว!!
และฉากอาวุโสชราค่อยๆร่วงตกฟ้าไปแน่นิ่งบนพื้นด้วยใบหน้าเปี่ยมรอยยิ้มดูแคลนไม่หายนั่น ก็ทำให้อาวุโสสูงที่เหลือของวิหารเฟิงฮ่าว ฉีคงไห่ และรองจ้าววิหารอีกคน รู้สึกเสมือนมีไอเย็นหนึ่งแล่นวาบจากปลายเท้าจรดศีรษะ!
“ฉวน…พี่ฉวน…”
อาวุโสสูงอีกคนที่เหลืออยู่ของวิหารเฟิงฮ่าว พอได้สติสีหน้ามันก็เต็มไปด้วยความโศกเศร้าเคล้าโทสะนัก! ในดวงตาของมันเสมือนมีเพลิงโทสะหนึ่งลุกโชนขึ้น หากแต่มันไม่กล้าเผยโทษะนี้ขณะมองฟงชิงหยาง เพราะยามมองฟงชิงหยางอีกครั้ง ในแววตามันก็หลงเหลือแต่เพียงหวาดกลัวจับใจ เรียกว่าความหวาดกลัวได้กลบถมความโกรธไปหมดสิ้น!
“ปะ…เป็นไปได้อย่างไร!?”
กลับกัน ด้านรองจ้าววิหารเฟิงฮ่าวทั้ง 2 รวมถึงฉีคงไห่ หลังกลับมาครองสติ สีหน้าแววตาพวกมันได้แต่ฉายชัดถึงความอื้ออึงไม่อยากจะเชื่อ
เพราะพวกมันล้วนทราบดีว่าอาวุโสสูงของวิหารเฟิงฮ่าว ซูฉวน เป็นถึงเทพขั้นสูง…
แต่ตอนนี้อีกฝ่ายกลับตกตายลงต่อหน้าต่อตาพวกมันในชั่วพริบตา?
พวกมันไม่อาจแลเห็นเรื่องราวใดๆทั้งสิ้น! ยิ่งไปกว่านั้นจากสีหน้าที่ฉายชัดอยู่บนร่างไร้วิญญาณอาวุโสสูง ซูฉวน เห็นได้ชัดว่าเจ้าตัวยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองตายอย่างไร…
สิ่งเดียวที่พวกมันพอได้ยินก็คือเสียงกระบี่ที่แว่วขึ้นอย่างแผ่วเบา…
“เมื่อครู่ฟงชิงหยาง…ออกกระบี่ไปแล้ว!?”
“ข้าเองก็เป็นถึงเทพขั้นกลาง แต่ไฉนยังไม่เห็นด้วยซ้ำว่ามันฟันกระบี่ออกไปอย่างไร
…ที่สำคัญนี่มิใช่แค่ร่างอวตารกฏดินของมันหรือไร?”
จังหวะนี้ในใจของฉีคงไห่กับรองจ้าววิหารอีกคนบังเกิดความสะท้านสะเทือนอย่างแรง ความหวาดกลัวเริ่มแผ่ซ่านเข้ามาปกคลุมครอบงำจิตใจ และไม่อาจควบคุมร่างกายไม่ให้สั่นระริกได้ “มิใช่แค่พวกเรา…กระทั่งอาวุโสซูฉวนเองกระทั่งจวบจนตายยังไม่รู้ตัวด้วยซ้ำ…”
“เช่นนั้นก็มีความเป็นไปได้เพียงประการเดียวเท่านั้น…”..ไอลีนโนเวล
แทบจะพร้อมๆกันกับที่ความคิดอุกอาจหนึ่งผุดขึ้นในใจของฉีคงไห่กับรองจ้าววิหารอีกคน ในที่สุดจ้าววิหารเฟิงฮ่าว หวู่หงชิง ก็พูดออกมาอีกครั้ง “ฟงชิงหยาง…เจ้าทะลวงผ่านขอบเขตเทพจนบรรลุถึงราชาเทพแล้ว!?”
น้ำเสียงของหวู่หงชิงบัดนี้นอกจากโทสะอันยากระงับแล้ว ยังแฝงไว้ด้วยความกลัวที่ไม่อาจปกปิดได้มิด
พึ่งจะผ่านไปนานเท่าไหร่กันหลังจากฟงชิงหยางบรรลุถึงขอบเขตเทพ?
แต่กลับทะลวงมาถึงขอบเขตราชาเทพเหมือนมันแล้ว?
สิ่งนี้เป็นไปได้อย่างไร!?
“ราชาเทพ!”
และความเป็นจริงดังกล่าว ก็ทำให้ฉีคงไห่กับรองจ้าววิหารอีกคนไม่เว้นอาวุโสสูงที่เหลือตระหนักได้ถึงความแข็งแกร่งอันน่ากลัวของฟงชิงหยางในปัจจุบันทันที อีกฝ่ายสมควรบรรลุถึงขอบเขตราชาเทพแล้วเป็นแน่ หาไม่แล้วคงไม่มีทางฆ่าอาวุโสสูงซูฉวนได้อย่างง่ายดายถึงขนาดนี้…
‘ท่านอาจารย์ทะลวงผ่านแล้ว!’
ด้านต้วนหลิงเทียนก็ตาลุกวาวขึ้นมาทันที หลังเห็นฟงชิงหยางลงมือพิฆาตคนของวิหารเฟิงฮ่าวในฉับพลัน!
ครั้งก่อนตอนที่ไปยยังนรกอสุรากับอาจารย์ เขาก็ทราบจากอาจารย์แล้วว่า…อาจารย์ใกล้ทะลวงถึงขอบเขตราชาเทพเต็มที ห่างแค่ก้าวเดียวเท่านั้น!
แต่ไม่คิดเลยว่าอาจารย์เขาจะทะลวงด่านพลังได้สำเร็จหลังจากผ่านไปแค่ปีเดียว!
“ตอนนี้…วิหารเฟิงฮ่าวของพวกเจ้ายังคิดจะรั้งตัวศิษย์ของข้าอยู่อีกหรือไม่?”
ร่างของฟงชิงหยางสั่นไหวเบาๆ ก่อนคนจะไปผุดโผล่กลางหาว และอยู่กึ่งกลางระหว่างการปิดล้อมของคนวิหารเฟิงฮ่าวอีก 4 คนที่เหลือพอดิบพอดี สีหน้าท่าทีแลดูสงบ กล่าวคำออกมาด้วยน้ำเสียงเฉยเมย “หากพวกเจ้ายังคิดชิงคนไม่เลิก เช่นนั้นก็ลองดูได้…”
“ฟงชิงหยาง!”
สีหน้าของหวู่หงชิงเปลี่ยนเป็นอัปลักษณ์ปั้นยากนัก มันมองจ้องฟงชิงหยางพลางกล่าวเสียงหนัก “ในเมื่อเจ้าทะลวงถึงขอบเขตราชาเทพแล้ว ไฉนไม่พูดมาแต่แรก! จำเป็นต้องเข่นฆ่าอาวุโสสูงของวิหารเฟิงฮ่าวเราเพื่อพิสูจน์ความเก่งกล้าสามารถของเจ้าด้วย?”
“ทำเช่นนี้…หรือเจ้าตั้งใจไว้แต่แรก?”
ทันทีที่รู้ว่าฟงชิงหยางทะลวงถึงขอบเขตราชาเทพแล้ว หวู่หงชิงก็รู้ดีว่าเป็นไปไม่ได้เลยที่วันนี้วิหารเฟิงฮ่าวจะจับตัวต้วนหลิงเทียนได้สำเร็จ!
กระทั่งอาวุโสสูงซูฉวนของพวกมัน ยังถูกลิขิตให้ตายเปล่า!!
ถึงแม้มันจะสามารถเปิดใช้ค่ายกลและข่ายอาคมของวิหารเฟิงฮ่าวเพื่อช่วยเล่นงานฟงชิงหยางได้ แต่เรื่องที่จะฆ่าฟงชิงหยางนั้น ไม่ต่างอะไรจากฝันละเมอของตัวโง่งม! เพราะค่ายกลและข่ายอาคมสังหารที่รุนแรงที่สุดของวิหารเฟิงฮ่าว อย่างดีที่สุดก็ทำได้แค่ฆ่าเทพขั้นต่ำเท่านั้น…
เนื่องเพราะค่ายกลเหล่านี้จำต้องใช้ผลึกเทพมหาศาลในการขับเคลื่อน
แต่ต้องทราบด้วยว่าค่ายกลที่ต้องใช้ผลึกเทพเป็นขุมพลังขับเคลื่อนนั้น เว้นเสียแต่มันจะอยู่บนระนาบเทพ หาไม่แล้วก็ไม่อาจสำแดงพลังอำนาจที่แท้จริงได้ เพราะพลังวิญญาณฟ้าดินที่นี่ไม่อาจสั่นพ้องกับพลังของผลึกเทพได้!
มีเพียงพลังวิญญาณฟ้าดินจากระนาบเทพเท่านั้น ถึงจะสั่นพ้องกับพลังของผลึกเทพ และสอดประสานหนุนเสริมทำให้การขับเคลื่อนค่ายกลรวมถึงข่ายอาคมได้สมบูรณ์ จนสำแดงพลังอำนาจสูงสุดได้…
หากค่ายกลและข่ายอาคมสังหารในวิหารเฟิงฮ่าวนำไปจัดตั้งไว้ในระนาบเทพ ย่อมมีพลังอำนาจมากพอจะสังหารราชาเทพขั้นต่ำได้อยู่ แต่เมื่อนำมาจัดตั้งไว้ที่นี่ก็คงทำได้แค่เข่นฆ่าเทพขั้นต่ำเท่านั้น และเทพขั้นต่ำผู้นั้นต้องอยู่ในสภาพเผลอเรอ ไม่ทันระวังตัวอีกด้วย…
หาไม่แล้วอย่างดีก็คงทำได้แค่เล่นงานให้อีกฝ่ายบาดเจ็บสาหัส ยากที่จะเข่นฆ่าสังหารอีกฝ่ายได้
“ตั้งใจแล้วอย่างไร…”
ฟงชิงหยางย้อนถามด้วยน้ำเสียงไร้แยแส มองสบตาหวู่หงชิงด้วยสายตาทำราวกับมองสุนัขตัวหนึ่ง สิ่งนี้ทำให้แววตาของหวู่หงชิงเปลี่ยนเป็นเย็นชาปานจะแช่ร่างผู้คนให้เป็นน้ำแข็ง ทั่วร่างยังแผ่ซ่านกลิ่นอายพลังอันเยียบเย็นออกมาไม่หยุด
“เสี่ยวเทียน พวกเราไปกันเถอะ”
หลังจากเหลือบมองหวู่หงชิงด้วยสายตาทำราวกับไม่เห็นมันเป็นตัวอะไรแล้ว ฟงชิงหยางก็หันไปกล่าวชวนต้วนหลิงเทียน และเตรียมจะพาต้วนหลิงเทียนจากไป
ด้านหวู่หงชิงก็ทำแค่มองจ้องฟงชิงหยางตาขวางอย่างเงียบงัน แม้ในแววตาจะเต็มไปด้วยความเป็นปรปักษ์ แต่ก็ไม่ได้ฉายชัดถึงเจตนาจะลงมือทำอะไร แต่ต้นจนจบเพียงมองเฉยๆ ราวกับจะปล่อยให้ฟงชิงหยางพาต้วนหลิงเทียนจากไปในลักษณะนี้
แต่ในขณะที่ต้วนหลิงเทียนกำลังจะเหินร่างขึ้นฟ้าตามฟงชิงหยางเพื่อจากไปนั้นเอง
“หึ!”
พลันมีเสียงพ่นลมขึ้นจมูกหนึ่งดังขึ้นไกลๆ
จากนั้นสุดขอบฟ้าไกลตา ก็ปรากฏร่างหนึ่งพุ่งผ่านความว่างเปล่ามาฉับไว!
“ยูไล?”
ทันทีที่ผู้มาใหม่ปรากฏตัวขึ้น สองตาต้วนหลิงเทียนก็หรี่ลงเล็กน้อย ด้วยเพราะเขาจดจำได้ทันทีว่าผู้มาใหม่เป็นใคร และมันก็ไม่ใช่ใครที่ไหน…จ้าววิหารเฟิงฮ่าวสาขาซวนหยวนเทียน จักรพรรดิอมตะมหาสุริยัน ยูไล ที่สมควรโดนเผ่าภูตครอบงำร่างกายอยู่!