War sovereign Soaring The Heavens - ตอนที่ 3547
ตอนที่ 3547 : สมรภูมิ 9 ยมโลก
ไม่ว่าจะเป็นสมรภูมิอเวจีก็ดี หรือสมรภูมิ 9 ยมโลกก็ดี ล้วนเป็นระนาบอิสระที่เกิดจากการโคจรมาชนกันของระนาบเทพทุกๆรอบ 10,000 ปี
แน่นอนว่ามันต่างจาก ‘ระนาบสมรภูมิ’ ของระนาบเทพ ที่เกิดจากการโคจรมาชนกันของระนาบเทพคู่ขนานตรงๆอยู่บ้าง เพราะระนาบสมรภูมินั้นเป็นดั่งสนามเด็กเล่นของผู้แข็งแกร่งที่สุดจริงๆ ในนั้นไม่เพียงมีทรัพยากรบ่มเพาะมากมาย ยังมีโอกาสวาสนาไม่เว้นกระทั่งสมบัติที่ผู้แข็งแกร่งที่สุดโยนใส่ไว้…
หากแต่ สมรภูมิอเวจีกับสมรภูมิ 9 ยมโลก ไม่มีอะไรเลิศล้ำถึงขนาดนั้น
สมรภูมิอเวจีกับสมรภูมิ 9 ยมโลก ทุกคนสามารถเข้ามาเข่นฆ่าช่วงชิงทรัพยากรกันได้ และปกติแล้วจะไม่มีโอกาสวาสนาของผู้แข็งแกร่งที่สุด เพราะมันเป็นแค่ผลพลอยได้จากการโคจรมาชนกันของระนาบเทพเท่านั้น
แต่ให้กล่าวแล้วต้นตอความเป็นมาของสมรภูมิอเวจีกับสมรภูมิ 9 ยมโลก ก็ไม่ต่างอะไรจากระนาบสมรภูมิมากนัก เพราะมันเกิดจากการโคจรมาชนกันของระนาบเทพทุกๆหมื่นปีเหมือนๆกัน
เพียงแค่เหล่าผู้แข็งแกร่งที่สุดนั้น ได้ลงทุนไม่น้อยไปกับระนาบสมรภูมิ เรียกวว่าเสมือนระนาบสมรภูมิเป็นดั่งลูกเมียหลวงที่ได้รับการประคบประหงมอย่างดี…แต่สมรภูมิอเวจีกับสมรภูมิ 9 ยมโลกเป็นดั่งลูกเมียน้อยที่ไม่ได้รับความสนใจ และปล่อยให้ดำรงอยู่ไปตามยถากรรม
จะอย่างไรก็ตาม สมรภูมิอเวจีกับสมรภูมิ 9 ยมโลก เนื่องจากมีการจำกัดด่านพลังในการเข้าไป สุดท้ายเมื่อผ่านวันเวลาไปนานเข้า ทุกคนก็เห็นมันเป็นดั่งสถานที่ลับคม มีไว้ให้เหล่าจอมราชันอมตะและจักรพรรดิอมตะเข้าไปฝึกฝนขัดเกลาตัวเอง
ดุจเดียวกับสมรภูมิอเวจีที่ต้วนหลิงเทียนเคยเข้าไปในอดีต มีเหล่าจอมราชันอมตะสมญานามมากมาย บางคนถึงขั้นร้ายกาจกว่าจักรพรรดิอมตะสมญานามทั่วๆไปด้วยซ้ำ ที่นั่นไม่ต่างอะไรจากแดนสวรรค์ของเหล่ายอดฝีมือ ไม่เว้นผู้ที่ครอบครองเทพเบญจธาตุที่จะสามารถฝึกฝนขัดเกลาตัวเอง และช่วงชิงทรัพยากรกันได้อย่างไร้จำกัด
กระทั่งเพราะสมรภูมิอเวจี เทพเบญจธาตุทั้ง 5 ในร่างกายของต้วนหลิงเทียนจึงยกระดับขึ้นได้อย่างรวดเร็ว…
และถ้าบอกว่าสมรภูมิอเวจีเป็นดั่งเวทีของเหล่าจอมราชันอมตะแล้วล่ะก็
เช่นนั้นสมรภูมิ 9 ยมโลก ก็ไม่ต่างอะไรจากเวทีสำหรับจักรพรรดิอมตะ!
แต่เป็นธรรรมดาว่าจักรพรรดิอมตะที่กล้าเข้าสู่สมรภูมิอเวจีนั้น อย่างน้อยๆก็ต้องเป็นจักรพรรดิอมตะที่มั่นใจในพลังฝีมือของตัวเองพอสมควร ในบรรดาจักรพรรดิอมตะเหล่านั้นไม่ขาดจักรพรรดิอมตะสมญานาม รวมถึงจักรพรรดิอมตะที่ร้ายกาจเท่าๆเหล่าจักรพรรดิอมตะสมญานาม เพียงแค่ไม่ได้ไปทดสอบรับสมญานามที่วิหารเฟิงฮ่าว
และในระนาบเทวโลก ยังยึดหลักเกณฑ์ของสมรภูมิ 9 ยมโลก เพื่อแบ่งระดับพลังฝีมือของเหล่าจักรพรรดิอมตะสมญานามอีกด้วย
เทพสงคราม 1 ดารา เทพสงคราม 2 ดารา…ไปจนถึงเทพสงคราม 9 ดารา
เทพสงคราม 1 ดารานั้น กล่าวได้ว่าคือผู้ที่มีพลังระดับจักรพรรดิอมตะสมญานามแล้ว
เทพสงคราม 9 ดารา แม้จะยังเป็นจักรพรรดิอมตะสมญานาม แต่ทว่ามันถูกผู้คนเรียกหาว่า ครึ่งก้าวเทพ เพราะถึงจะยังไม่ได้บรรรลุขอบเขตเทพ แต่ก็มีพลังฝีมือใกล้กับเหล่าตัวตนขอบเขตเทพอย่างยิ่งยวด…
‘ในระนาบเทวโลก วิหารเฟิงฮ่าวสามารถส่งยอดฝีมือขอบเขตเทพออกมาตามล่าข้าได้มากมาย…และต่อให้เป็นแค่ยอดฝีมือขอบเขตเทพขั้นต่ำ ข้าในตอนนี้ก็ไม่มีปัญญาจะสู้แล้ว…’
‘แต่ถ้าเป็นในสมรภูมิ 9 ยมโลก ต่อให้วิหารเฟิงฮ่าวจะล่วงรู้ว่าข้าเข้าไปในนั้น และยังสามารถส่งยอดฝีมือไปตามหาข้าได้อยู่ แต่อย่างไรก็ตามคนที่พวกมันส่งไปเต็มที่ก็ยังมีด่านพลังแค่จักรพรรดิอมตะ 10 ทิศ…ไม่ว่าจะร้ายกาจแค่ไหน แต่เต็มที่ก็แค่อยู่ในระดับ ครึ่งก้าวเทพ เท่านั้น…’
‘กล่าวได้ว่า สำหรับสถานการณ์ของข้าในตอนนี้ สมรภูมิ 9 ยมโลก เป็นสถานที่ๆดีที่สุดสำหรับการบ่มเพาะฝึกปรือ รวมถึงหาประสบการณ์สร้างแรงบันดาลใจให้ข้า…’
‘หากข้าเลือกจะซ่อนตัวฝึกฝนในสถานที่เปลี่ยวร้างของระนาบเทวโลก แม้ในแง่การทำความเข้าใจการผสานรวมความลึกซึ้งกับการบ่มเพาะพลังจะไม่ติดปัญหา ทว่าเมื่อไม่มีอันตราย มันก็ไร้ซึ่งแรงกดดัน ย่อมไม่อาจนรีดเค้นศักยภาพออกมาใช้ได้สมบูรณ์ ไม่ต่างอะไรจากดอกไม้ในเรือนกระจก…’
ต้วนหลิงเทียนย่อมตระหนักถึงสถานการณ์ตัวเองในปัจจุบันดี
ขณะเดียวกันเขายังรู้อีกด้วยว่าตอนนี้ตัวเขาต้องการอะไรมากที่สุด ‘ตอนนี้ที่ข้าต้องการไม่ใช่แค่สถานที่บ่มเพาะอันเงียบสงบ…แต่ข้ายังต้องการสถานที่ๆข้าสามารถต่อสู้ได้เต็มกำลัง กระทั่งสร้างแรงกดดันให้ข้าได้ ทั้งหมดนี้จะมีก็แต่ในสมรภูมิ 9 ยมโลกเท่านั้น’
หลังตัดสินใจได้แล้ว ต้วนหลิงเทียนก็กล่าวแจ้งผู้เฒ่าหั่วกับเมิ่งหลัว ก่อนที่จะจากไป
แต่ต้นจนจบผู้เฒ่าหั่วกับเมิงหลั่วก็ทำได้แค่เฝ้าดูต้วนหลิงเทียนจากไป โดยไม่อาจขัดขวาง เพราะต่อให้คิดขัดขวางพวกมันก็ไม่มีปัญญาทำได้…
เพราะในปัจจุบันพลังฝีมือของต้วนหลิงเทียนสูงกว่าพวกมันไปมาก…
“ผู้เฒ่าหั่ว ข้าเกรงว่าท่านเองก็คงไม่คิดไม่ฝันกระมัง…ว่าหนุ่มน้อยในระนาบโลกียะที่ท่านบังเอิญพบเจอเมื่อไม่กี่ร้อยปีก่อน วันนี้หลังจากผ่านไปแค่ไม่กี่ร้อยปีจะมีพลังกล้าแข็งถึงขนาดนี้?”
เมิ่งหลัวหันไปเอ่ยถามผู้เฒ่าหั่วที่ยืนอยู่ด้านข้าง
ด้านผู้เฒ่าหั่วพอได้ยินก็ได้แต่คลี่ยิ้มแหยๆ “มิผิด…จู่ๆข้าก็รู้สึกว่าตลอดเวลาที่ผ่านมา ชีวิตข้ามันไร้ค่าเยี่ยงสุนัขอย่างไรไม่ทราบ”
“เฮ่อ อย่าพูดเลย…พวกเราเองก็ต้องขยันให้มากเข้า หาไม่แล้ววันหน้าก็มีแต่จะถูกใต้เท้าจักรพรรดิสวรรค์ รวมถึงนายน้อยทิ้งห่างออกไปไกลมากขึ้นเรื่อยๆ ”
เมิ่งหลัวกล่าวอย่างทอดถอนใจ
…
ณ ระนาบอิสระอันเป็นสถานที่ตั้งของวิหารเฟิงฮ่าวสาขาหลัก และระนาบอิสระแห่งนี้ยังถูกเรียกว่า ‘ระนาบเทพเจ้า’
และชื่อดังกล่าวก็เป็นผู้ที่เปิดสร้างระนาบอิสระแห่งนี้ เป็นคนตั้งเอง…
ในปัจจุบัน ภายในห้องโถงหลักของวิหารเฟิงฮ่าวในระนาบเทพเจ้า ก็ปรากฏร่าง 2 นั่งอยู่ตรงข้ามกัน
ภายในห้องโถงหลักมีโต๊ะที่นั่ง 2 แถวหันหน้าเข้าหากัน หากเดินเข้าประตูโถงหลักมาก็จะเห็นโต๊ะที่นั่งหลายชุดเรียงตัวเป็นแถวอยู่ทั้งซ้ายขวา แน่นอนว่าตรงกลางก็มีที่นั่งอยู่บนพื้นยกสูงเช่นกัน…แต่บัดนี้ไม่มีใครนั่งบนที่นั่งสูงสุด เพียงแค่นั่งอยู่บนโต๊ะถัดจากพื้นที่ยกสูงตัวแรกทั้งซ้ายขวา…
ผู้ที่นั่งอยู่บนโต๊ะที่นั่งหน้าสุดด้านซ้ายก็คือจ้าววิหารเฟิงฮ่าวสาขาหลักหวู่หงชิง
ส่วนผู้ที่นั่งอยู่นโต๊ะที่นั่งหน้าสุดฝั่งขวาก็เป็นชายหนุ่มผู้หนึ่ง และหากต้วนหลิงเทียนอยู่ที่นี่ ก็คงจดจำชายหนุ่มผู้นี้ได้ทันที เพราะมันไม่ใช่ใครอื่น แต่เป็นถังซานเป่าที่เคยมานั่งรวมอยู่กับพวกเขาในศึกอัจฉริยะสวรรค์นั่นเอง!
ถังซานเป่านั้น มีอีกฐานะหนึ่งก็คือ จ้าววิหารน้อยของวิหารเฟิงฮ่าว
เหตุผลก็สืบเนื่องมาจากถังซานเป่าได้ถูกหวู่หงชิงแต่งตั้งให้เป็นผู้สืบทอด อย่างไรก็ตามปกติแล้วหากถังซานเป่าอยู่กับหวู่หงชิง ถังซานเป่าอาจนั่งโต๊ะตัวนี้ได้ก็จริง แต่หวู่หงชิงจะขึ้นไปนั่งบนโต๊ะสูงสุดบนพื้นที่ยกสูงตรงกลาง
ทว่าบัดนี้ถังซานเป่ากลับนั่งเสมอกับหวู่หงชิง แถมยังวางตัวตามสบายไม่คล้ายเคารพหวู่หงชิงแม้แต่น้อย
“ข้าคิดจะเข้าสู่สมรมภูมิ 9 ยมโลก”
ถังซานเป่าที่นั่งไขว่ห้างหยิบของกินใส่เข้าปากอย่างไร้มารยาทราวกับไม่เคยกินมาก่อน อยู่ๆก็เอ่ยขึ้นเสียงห้วน ไม่มีความเคารพแม้แต่น้อย
อย่างไรก็ตามเมื่อเผชิญกับท่าทีไร้มารยาทของถังซานเป่า หวู่หงชิงไม่ได้ดูไม่พอใจอะไร เพียงขมวดคิ้วเล็กน้อยค่อยเอ่ยถามออกมาว่า “ไฉนท่านต้องเข้าสู่สมรภูมิ 9 ยมโลกด้วย?”
“ถึงแม้ระดับพลังฝึกปรือของร่างท่านตอนนี้จะเป็นจักรพรรดิอมตะ 10 ทิศ…แต่ระดับวิญญาณก็อยู่ในขอบเขตราชาเทพขั้นกลาง และสมรภูมิ 9 ยมโลก ก็ไม่อนุญาตให้สิ่งมีชีวิตใดๆที่อยู่เหนือขอบเขตจักรพรรดิอมตะเข้าไป แน่นอนว่าไม่เพียงจำกัดระดับพลังฝึกปรือ ยังจำกัดระดับจิตวิญญาณอีกด้วย”
ทันทีที่หวู่หงชิงกล่าวประโยคนี้ออกมา ตัวตนของถังซานเป่าในปัจจุบันก็ชัดเจน
หมี่ซวน!
อดีตผู้นำเผ่าพันธุ์ภูต ตัวตนระดับราชาเทพขั้นกลาง!
ครึ่งปีก่อนในขณะที่ถังซานเป่ามาหาหวู่หงชิง ก็พอดีกับที่หมี่ซวนอยู่ที่นั่นด้วย จากนั้นหลังจากพบท่าทีผิดแปลกของหวู่หงชิง หมี่ซวนก็เอะใจอะไรขึ้นได้และลองตรวจสอบถังซานเป่าดู ในที่สุดจึงพบว่าร่างของถังซานเป่าก็ไม่เลวเลยทีเดียว เช่นนั้นถึงแม้หวู่หงชิงจะไม่เห็นด้วย แต่หมี่ซวนก็ถือวิสาสะชิงร่างถังซานเป่ามาครองหน้าตาเฉย…ยึดทุกสิ่งทุกอย่างของถังซานเป่ามาเป็นของตัวเอง!
ไม่ว่าจะความทรงจำก็ดี หรือแม้แต่ความเข้าใจทั้งหมดที่ถังซานเป่ามีก็ดี ได้กลายเป็นของหมี่ซวนทั้งหมด
เมื่อเห็นหมี่ซวนถือวิสาสะยึดร่างถังซานเป่าไปหน้าตาเฉย หวู่หงชิงย่อมไม่พอใจเป็นธรรมดา เพราะอีกฝ่ายไม่เห็นหัวมันเลย…แต่ในเมื่ออีกฝ่ายลงมือไปแล้วจะให้มันทำอะไรได้อีก? หรือจะให้ฆ่าหมี่ซวนที่ชิงร่างถังซานเป่าทิ้ง?
ที่สำคัญต่อให้มันอยากฆ่าหมี่ซวนแค่ไหน แต่ก็คงทำไม่ได้ อย่างดีก็ทำได้แค่ทำลายร่างถังซานเป่าทิ้งเท่านั้น!
ขณะเดียวกันในเมื่อหมี่ซวนได้รับทุกสิ่งทุกอย่างของถังซานเป่าไม่เว้นความทรงจำแล้ว หมี่ซวนก็ตระหนักดีว่าหากมีวิหารเฟิงฮ่าวช่วยเหลือ เส้นทางในการฝึกฝนบ่มเพาะหลังจากนี้ต้องราบรื่นแน่แท้ เช่นนั้นก็เลยทำข้อตกลงกับหวู่หงชิง “สักวันข้าจะฆ่าต้วนหลิงเทียนนั่นให้ได้…และเมื่อมันตาย ข้าต้องการเพียงแค่พฤกษาเทพครองสวรรค์ในร่างมันแค่อย่างเดียวเท่านั้น ส่วนเทพเบญจธาตุอีก 4 ธาตุที่เหลือข้ายกให้ท่าน”
“และข้ามีแค่หนึ่งคำขอเท่านั้น…ข้าต้องการให้วิหารเฟิงฮ่าวช่วยให้ข้าทะลวงถึงขอบเขตเทพโดยเร็วที่สุด”
ถึงแม้หมี่ซวนจะปล้นชิงร่างถังซานเป่ามา แต่ด้วยความที่ถังซานเป่ายังเป็นแค่จักรพรรดิอมตะ 9 ตำหนัก ก็ทำให้หมี่ซวนมีระดับพลังฝึกปรือแค่จักรพรรดิอมตะ 9 ตำหนัก เพียงแค่มีพลังวิญญาณระดับราชาเทพขั้นกลางเท่านั้น
จิตวิญญาณของมันยังทรงพลังอำนาจอยู่ และการใช้ทักษะวิญญาณเพื่อเล่นงานศัตรูก็ยังคงน่ากลัวไม่แปรเปลี่ยน แต่บัดนี้ร่างกายของมันมีพลังฝึกปรือด้อยกว่าระดับจิตวิญญาณมาก และไม่อาจตามระดับจิตวิญญาณได้ทัน
ภายใต้สถานการณ์ดังกล่าว วิหารเฟิงฮ่าวจึงทุ่มกำลังทั้งหมดเพื่อออกค้นหา…จนในที่สุดหลังจากผ่านไป 1 เดือนก็ได้รับผลอมตะหยวนปะทุมาอีกผล และก็มอบให้หมี่ซวนที่ชิงร่างถังซานเป่า จากนั้นเมื่อผ่านไปครบครึ่งปี ในที่สุดหมี่ซวนก็ทะลวงถึงขอบเขตจักรพรรดิอมตะ 10 ทิศได้อย่างราบรื่น
“ข้าย่อมรู้ข้อจำกัดของสมรมภูมิ 9 ยมโลกดี…”
ได้ยินคำพูดของหวู่หงชิง หมี่ซวนก็กล่าวตอบด้วยน้ำเสียงไม่แยแส “เช่นนั้นข้าก็เลยคิดจะผนึกพลังวิญญาณของข้า เพื่อลอบเข้าไปในสมรภูมิ 9 ยมโลก…โดยไม่ให้อาคมและข้อจำกัดใดๆของสมรภูมิ 9 ยมโลกขับข้าออกมา”
“ทักษะเล็กน้อยเพียงเท่านี้ เผ่าภูตของข้ามีเป็นร้อยเป็นพันวิธีที่จะกระทำได้”
กล่าวถึงท้ายประโยค น้ำเสียงของหมี่ซวนก็ฟังดูภาคภูมิใจไม่น้อย
อย่างไรก็ตามผ่านไปครู่หนึ่ง สองตามันก็ทอประกายเรืองขึ้นคล้ายนึกคิดอะไรบางอย่าง ไม่นานนักความภาคภูมิใจในแววตาก็หายไป ก่อนจะถูกแทนที่ด้วยความดุร้ายรุนแรงอย่างไรชอบกล!
“เช่นนี้นี่เอง”
หวู่หงชิงพยักหน้า “อย่างไรก็ตาม เมื่อท่านผนึกพลังวิญญาณไปแล้ว…ต่อให้เข้าสู่สมรภูมิ 9 ยมโลกได้ ก็ไม่อาจคลายผนึกได้อยู่ดี…เพราะกฏเกณฑ์และข้อจำกัดในนั้น ไม่อนุญาตให้ผู้ที่มีจิตวิญญาณตั้งแต่ขอบเขตเทพขึ้นไปปรากฏตัว”
“หากท่านคลายผนึกออก ผลที่จะตามมาจะเป็นอย่างไรก็ไม่ทราบ…สถานเบาก็อาจถูกขับออก แต่หากโชคร้ายท่านก็อาจจะถูกกำจัดทิ้งทันที”
กล่าวถึงประโยคท้าย สีหน้าน้ำเสียงของหวู่หงชิงก็เปลี่ยนเป็นจริงจังไม่น้อย
“แล้วท่านคิดว่าข้าจำเป็นต้องคลายผนึกด้วยรึ?”
หมี่ซวนเอ่ยออกเสียงเรียบ
และคำพูดดังกล่าวของหมี่ซวน ก็ทำให้ร่างหวู่หงชิงผงะไปทันที จากนั้นมันก็นึกได้ว่าคนเบื้องหน้าไม่ใช่ถังซานเป่าในอดีตอีกต่อไป!
อีกฝ่ายคือ อดีตผู้นำเผ่าภูต หมี่ซวน ตัวตนระดับราชาเทพขั้นกลาง!
ถึงแม้ด่านพลังฝึกปรือของอีกฝ่ายจะอิงจากร่างถังซานเป่าที่เป็นเพียงจักรพรรดิอมตะ 10 ทิศ แต่ด้วยความเข้าใจในกฏแต่เดิมของหมี่ซวน ก็มากพอจะทำให้มันมีพลังฝีมือระดับเทพสงคราม 9 ดาราแล้ว!
ด้วยพลังฝีมือระดับเทพสงคราม 9 ดารา การเข้าไปโลดแล่นในสมรภูมิ 9 ยมโลก ถึงแม้จะไม่ได้เปรียบเรื่องพลังวิญญาณ แต่มันยังต้องกลัวใครด้วย?
“แต่ข้ายังไม่เข้าใจ…ไฉนอยู่ๆท่านถึงต้องการเข้าไปในสมรภูมิ 9 ยมโลกนั่นด้วย? ดูเหมือนมันจะไม่มีความหมายอะไรสำหรับท่านเลย”
หวู่หงชิง
“ไม่ ข้ามีเหตุผลที่ต้องเข้าไป”
หมี่ซวนส่ายหัวไปมา “ถึงแม้ข้าจะชิงร่างนี้มาแล้ว แต่จิตวิญญาณกับร่างยังไม่อาจเข้ากันได้โดยสมบูรณ์…ข้าจำเป็นต้องเข้าสู่สมรภูมิ 9 ยมโลก เพื่อใช้การต่อสู้ในการปรับตัวให้จิตวิญญาณเข้ากับร่างได้โดยสมบูรณ์…มีเพียงทำเช่นนั้นถึงจะทำให้ข้าสามารถแสดงพลังอำนาจของกฏที่สอดคล้องกับระดับจิตวิญญาณของข้าได้อย่างสมบูรณ์”
“ตอนนี้ถึงแม้ข้าจะมีความเข้าใจในกฏจากร่างพลังวิญญาณสูง แต่ก็ยังไม่อาจใช้ออกในร่างนี้ได้เต็มประสิทธิภาพ”
สิ่งที่หมี่ซวนพูด หววู่หงชิงก็เข้าใจได้ไม่ยาก “เช่นนั้นท่านก็ไปของท่านเถอะ”
“แล้วท่านคิดจะไปเมื่อใด ข้าจะได้พาไปส่ง”
หวู่หงชิงถาม
“สักครู่ ข้าขอรับประทานของว่างก่อน…”
หมี่ซวนกล่าว
…
ด้านต้วนหลิงเทียนที่เข้าไปโลดแล่นในสมรภูมิ 9 ยมโลกแล้ว ย่อมไม่ทราบว่าหมี่ซวนที่บีบให้อาจารย์เขาระเบิดร่างอวตารกฏแห่งดินทิ้ง กำลังจะตามเข้ามาในสมรภูมิ 9 ยมโลกด้วย…
ยิ่งไปกว่านั้น อีกฝ่ายยังมาในรูปลักษณ์ที่เขาคุ้นเคย!