War sovereign Soaring The Heavens - ตอนที่ 3589
ตอนที่ 3589 : ทางเลือก
หลังได้ยินข้อเสนอขอชีวิตของเหอชุนลี่ ต้วนหลิงเทียนไม่ได้เก็บมาคิดแม้แต่นิดเดียว
ทว่า สิ่งที่ทำให้เขารู้สึกเหนือคาดอยู่บ้าง ก็คือหวงเอ้อที่ท่องกระบี่หลิงหลง 7 เปลี่ยนไปหยุดลงเบื้องหน้านางนั้น กลับไม่ลงมือฆ่านาง เพียงใช้พลังงเพ่งเล็งตัวนางไว้ไม่ให้หนีไปไหนได้
หลังจากนั้น หวงเอ้อก็หันกลับมามองถามต้วนหลิงเทียน ด้วยน้ำเสียงเคารพ “นายท่าน ข้อเสนอของนาง…ท่านจะลองพิจารณาดูก่อนหรือไม่?”
ได้ยินสิ่งที่หวงเอ้อพูด เหอชุนลี่ก็พอได้ระบายลมหายใจออกมาอย่างโล่งอก หลังจากนั้นก็หันไปมองต้วนหลิงเทียนด้วยสายตาเว้าวอน เปี่ยมล้นไปด้วยความหวัง
แต่ถ้าหากมองสังเกตนางให้ดีจะพบว่าหน้าผากของเหอชุนลี่นั้นยังชุ่มโชกไปด้วยเหงื่อเย็น
เรื่องที่เกิดขึ้นวันนี้ ชั่วชีวิตนางก็มิอาจลืมได้ลง
เทพสงคราม 9 ดาราที่แข็งแกร่งที่สุด 4 คน ตัวตนที่มีชื่อเสียงเลื่องลือไปทั่วสมรภูมิ 9 ยมโลก ทยอยกันตกตายต่อหน้านางทีละคนๆ
เห็นสายตาเว้าวอนเปี่ยมหวังของเหอชุนลี่ ต้วนหลิงเทียนก็รู้สึกพูดไม่ออกอยู่บ้าง
หรือเหอชุนลี่ คิดว่าเขาจะใจอ่อนเพราะเห็นนางเป็นสตรี?
เขา ต้วนหลิงเทียน ดูเหมือนพวกรักถนอมบุปผามากหรือ?
“หวงเอ้อ ฆ่านางเสีย”
พอต้วนหลิงเทียนส่งเสียงไปหาหวงเอ้อจบคำ หวงเอ้อก็รวมรั้งพลงก่อนจะปลดปล่อยรังสีกระบี่หลากสีสันพุ่งแหวกฟ้าไปฉับไว เข่นฆ่าเหอชุนลี่ทิ้งในเสี้ยวพริบตา จวบจนตายตกสีหน้าแววตาเหอชุนลี่ยังคงงแฝงความเว้าวอนขอชีวิตต้วนหลิงเทียนไม่เสื่อมคลาย
เห็นได้ชัดว่าการลงมือของหวงเอ้อมันรวดเร็วจนนางตกตายโดยไม่รู้ตัว
ตั้งแต่ววินาทีนี้เป็นต้นไป เทพสงคราม 9 ดาราที่แข็งแกร่งที่สุด 5 คนในสมรภูมิ 9 ยมโลกก็ตกตายหมดสิ้น และพวกมันยังตายในวันเดียวกัน
“ลำบากเจ้าแล้ว”
ต้วนหลิงเทียนยิ้มกล่าวกับหวงเอ้อ และหลังจากโค้งคำนับต้วนหลิงเทียนเสร็จ ร่างนางก็กลายเป็นเงาแสง 7 สีหายเข้าไปในกระบี่หลิงหลง 7 เปลี่ยน ก่อนที่ตัวกระบี่ก็จะเปลี่ยนเป็นละอองแสงหายเข้าไปในร่างต้วนหลิงเทียน
ต่อมา ต้วนหลิงเทียนก็หันกลับไปมองร่างอวตารกฏต้นไม้เทพสนหลิวของเขา
กล่าวให้ถูกคือมองไปยังเหล่าเทพเบญจธาตุทั้ง 10 …เทพเบญจธาตุทั้ง 5 ของเขากำลังกลืนกิน เทพเบญจธาตุทั้ง 5 ของพวกหยางเหมิงอย่างมีความสุข พลังของพวกมันเพิ่มสูงขึ้นตลอดเวลา
อย่างไรเสีย ในบรรดาเทพเบญจธาตุทั้ง 5 ของต้วนหลิงเทียนก็มีแค่เพลิงเทพโกลาหลเท่านั้นที่บรรลุถึงขั้นที่ 8 แล้ว ส่วนที่เหลือยังพึ่งอยู่ในขั้นที่ 7 เท่านั้น
แต่ด้วยค่ายกลกลืนกินวิญญาณเทพเบญจธาตุ ทำให้เหล่าเทพเบญจธาตุของอีกฝ่ายถูกสะกดสติสัมปชัญญะให้หยุดนิ่ง เสมือนอู่ในห้วงนิทรา ทำให้พวกมันไม่อาจต่อต้านขัดขืนอะไรได้เลย ทำได้แค่ถูกกลืนกินพลังไปอย่างไร้หนทางต่อต้าน
ค่ายกลที่ทรงพลังเช่นนี้ เป็นธรรมดาว่าไม่ใช่เกิดจากฝีมือของต้วนหลิงเทียนทั้งหมด เขาเพียงแต่จัดตั้งมันขึ้นมาตามคำชี้แนะของวารีเทพชำระโลกาเท่านั้น
ต้วนหลิงเทียนที่ลอยร่างกลางหาว ก็มองไปยังดวงแสงสีฟ้าน้ำทะเลหรือก็คือ วารีเทพชำระโลกา 1 ใน 5 เทพเบญจธาตุของเขาพลางกล่าวพึมพำออกมาด้วยความรู้สึกโชคดี “โชคดีเหลือเกินที่พี่สาวสุ่ยอยู่กับข้า ไม่ได้อยู่กับผู้อื่น…”
จนถึงบัดนี้ ทุกครั้งที่ววารีเทพชำระโลกาเผยความสามารถและความรู้ในค่ายกลออกมา ต้วนหลิงเทียนก็อดไม่ได้ที่จะสะท้านสะเทือนทุกครั้ง เพราะราวกับไม่มีสิ่งใดในโลกหล้าที่นางไม่อาจแก้ปัญหาได้
ความสามารถของนางร้ายกาจขนาดไหน เขาได้ประจักษ์ตั้งแต่วันที่สามารถหลบหนีไปต่อหน้าต่อตาหวู่หงชิง จ้าววิหารเฟิงฮ่าวสาขาหลัก กับหมี่ซวนอดีตผู้นำเผ่าภูตแล้ว
และตอนนั้นหลังจากที่วารีเทพชำระโลกาช่วยให้เขารอดพ้นเงื้อมมือพวกหวู่หงชิงมาได้ นางก็ได้กล่าวเสนอแผนการจัดตั้งค่ายกลกลืนวิญญาณเทพเบญจธาตุให้เขาฟัง ว่าหากนำมาใช้ในสมรมภูมิ 9 ยมโลกต้องได้ผลเลิศล้ำเป็นแน่
เป็นธรรมดาว่าตอนนั้นวารีเทพชำระโลกาก็แค่เกริ่นๆให้ต้วนหลิงเทียนฟังไว้ก่อน ไม่คิดว่าต้วนหลิงเทียนจะบอกให้นางดำเนินการเร็วถึงขาดนี้
เพราะหลังจากค่ายกลดังกล่าวเริ่มต้นดำเนินการแล้ว ต้องมั่นใจว่าจะจัดการยอดฝีมือเทพสงคราม 9 ดาราที่เป็นเจ้าของเทพเบญจธาตุให้ได้ ก่อนที่อีกฝ่ายจะทำลายค่ายกลได้สำเร็จ เพราะช่วงเวลานั้นทุกคนจะไม่อาจส่งพลังไปช่วยเหลือต้วนหลิงเทียนได้เลย
อันที่จริงวารีเทพชำระโลกาก็คิดไม่ถึง ว่าความเย้ายวนใจของอุปกรณ์เทพขั้นสูงจะดึงดูด ผู้ครอบครองเทพเบญจธาตุมารวมตัวกันมากขนาดนี้
และวารีเทพชำระโลกาก็ยังคิดไม่ถึงอีกว่า…ต้วนหลิงเทียนไม่จำเป็นต้องพึ่งความช่วยเหลือจากพวกนาง ก็มีพลังแข็งแกร่งพอจัดการเทพสงคราม 9 ดาราทั้ง 5 ได้แล้ว!
กล่าวได้ว่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นวันนี้ทั้งหมด ก็เป็นผลสำเร็จที่เหนือความคาดหมายของวารีเทพชำระโลกา
เพราะในสายตานาง ถึงแม้พรสวรรค์ของต้วนหลิงเทียนจะสูงแค่ไหน อย่างน้อยๆก็ต้องใช้เวลาอีกราวๆ 10 ปีถึงจะมีพลังสามารถดำเนินการตามแผนวันนี้ได้
แต่ไม่คิดเลยว่า ต้วนหลิงเทียนจะเริ่มดำเนินการได้หลังงผ่านมาไม่กี่ปี
อีกทั้งเรื่องราวยังสำเร็จลงด้วยดี
‘หลังจากนี้ถึงพวกพี่สาวสุ่ยจะอาจพัฒนาไปไม่ถึงขั้นที่ 9 แต่อย่างน้อยๆก็คงอยู่ห่างขั้นที่ 9 อีกไม่มาก…ส่วนผู้อาวุโสเพลิงเทพ มีโอกาสสูงที่จะบรรลุขั้นที่ 9 ก่อนใครเขา…’
ต้วนหลิงเทียนกล่าวพึมพำในใจขณะมองไปยังเหล่าเทพเบญจธาตุทั้ง 5 ของเขา
ด้วยอัตราการกลืนกินที่แปรผกผันกับพลังของเทพเบญจธาตุอีกฝ่าย ต้วนหลิงเทียนก็พอจะกะประมาณได้คร่าวๆ ว่าราวๆครึ่งวัน เหล่าเทพเบญจธาตุของเขาต้องกลืนกินเทพเบญจธาตุได้สมบูรณ์แน่นอน
“เสี่ยวเทียน…”
หลังจากต้วนหลิงเทียนนั่งขัดสมาธิรอเวลาไปได้สักพัก เสียงหนึ่งก็ดังขึ้น พอเขาลืมตาขึ้นมาดู ก็พบว่าดวงแสงหนึ่งกำลังคุยกับเขา เป็นวารีเทพชำระโลกา
“พี่สาวสุ่ย ท่านมีอะไรหรือ?”
ต้วนหลิงเทียนที่ได้ยินวารีเทพชำระโลกาทัก ก็เอ่ยถามด้วยน้ำเสียงสุภาพ หลังจากทั้งหมด เขาก็นับถือวารีเทพชำระโลกาเพิ่มขึ้นอีกหลายส่วน “ไฉนอยู่ๆ ท่านถึงหยุดกลืนกินวารีเทพชำระโลกาดวงนั้นล่ะ?”
และแทบจะพร้อมๆกันกับที่ต้วนหลิงเทียนถามจบคำ เขาก็พบว่าเทพเบญจธาตุที่เหลืออีก 4 ธาตุของเขาไม่ว่าจะเป็น ทองเทพสุดลี้ลับ เพลิงเทพโกลาหล ปฐพีเทพแรกกำเนิดฟ้าดิน รวมถึงพฤกษาเทพครองสวรรค์ ก็ได้หยุดกลืนกินเทพเบญจธาตุของพวกหยางเหมิงและคนอื่นๆเช่นกัน
เกิดอะไรขึ้น?
ต้วนหลิงเทียนรู้สึกงุนงงอยู่บ้าง
“เสี่ยวแทน”
ตอนนี้เอง วารีเทพชำระโลกาพลันเอ่ยขึ้นมาอีกครั้ง “ตอนนี้ต่อให้พวกเรากลืนกินพลังของเทพเบญจธาตุที่ยังเหลืออยู่พวกนี้ แต่ก็ทำให้พลังในขั้นที่ 8 ของพวกเราส่วนใหญ่เพิ่มขึ้นจนใกล้บรรลุถึงขั้นที่ 9 เท่านั้น แต่ยังไม่อาจบรรลุถึงขั้นที่ 9 ได้…คงมีเพียงแต่อาวุโสเพลิงเทพของเจ้าเท่านั้น ที่จะบรรลุถึงขั้นที่ 9 ได้สำเร็จ”
“ถึงแม้พวกเราอีก 4 คนจะกลืนกินพลังเทพเบญจธาตุที่เหลือทั้งหมด แต่เรื่องบรรลุถึงขั้นที่ 9 ยังเป็นไปไม่ได้ เช่นนั้นพวกเราก็ไม่คิดจะกลืนกินมันอีกต่อไป…”
“พวกเราได้เห็นพ้องต้องกันแล้ว…ว่าจะใช้พลังงของเหล่าเทพเบญจธาตุที่เหลืออยู่ มาเป็นขุมพลังขับเคลื่อนค่ายกลบงอย่าง เพื่อฉีกเปิดมิติของสมรภูมิ 9 ยมโลก และส่งเจ้าไปยังระนาบสมรภูมิที่เกิดจากการโคจรมาพบกันของระนาบเทพ”
“มิใช่ว่าเจ้าอยากไประนาบเทพมาโดยตลอดหรือไร เมื่อเจ้าไปถึงระนาบสมรภูมิแล้ว เจ้าก็สามารถออกจากระนาบสมรภูมิและไปถึงหนึ่งในระนาบเทพคู่ขนานที่โคจรมาพบกัน จนเกิดระนาบสมรภูมิแห่งนั้นได้ง่ายๆ…”
“เป็นธรรมดา โอกาสที่พวกเราจะทำสำเร็จก็ไม่ใช่ว่าจะเต็ม 10 ส่วน”
วารีเทพชำระโลกากล่าว
“ไปยังระนาบเทพ?!”
ได้ยินคำพูดดังกล่าวของวารีเทพชำระโลกา ต้วนหลิงเทียนก็ถึงกับหยยุดหายใจไปชั่วขณะ ด้วยไม่คิดไม่ฝันมาก่อนว่าเขาจะมีโอกาสขึ้นไปยังระนาบเทพล่วงหน้า และมีโอกาสสูงที่จะไปถึงระนาบบเทพก่อนกำหนด หากโชคดี!
อย่างไรก็ตาม ต้วนหลิงเทียนไม่ถึงกับสูญเสียความรอบคอบหลังงได้ยินเรื่อง ประหลาดใจ ที่มาโดยไม่ทันตั้งตัวดังกล่าว เขาสงบสติลงเร็วไว “พี่สาวสุ่ย เพทเบญจธาตุเหล่านี้ หากพวกท่านกลืนกินพลังของพวกมันต่อ จะทำได้แค่เพิ่มพลังเท่านั้น แต่ไม่พัฒนาต่อไปจริงๆหรือ?”
“อันที่จริง หากข้าได้ไปยังระนาบเทพก่อนก็เป็นเรื่องดี แต่ถึงจะไปไม่ได้ แต่เส้นทางการบรรลุเทพของข้าก็ไม่น่าจะได้รับผลกระทบอะไรมากมาย”
ต้วนหลิงเทียนกล่าว “เพราะสุดท้าย ในโลกใบเล็กของข้า ก็มีไอพลังวิญญาณฟ้าดินของระนาบเทพให้ใช้บ่มเพาะได้ไม่จำกัดอยู่แล้ว…สุดท้ายข้าต้องบรรลุถึงขอบเขตเทพได้แน่ และยังก้าวหน้าด้วยความเร็วไม่ต่างอะไรจากไปฝึกฝนบ่มเพาะในระนาบเทพ”
“เสี่ยวเทียน ไฉนเจ้าถึงต้องหลอกตัวเองด้วยเล่า…”
วารีเทพชำระโลกากล่าวออกมาอย่างทอดถอนใจ “ตอนนี้เรื่องที่เจ้าถือครองกระบี่หลิงหลง 7 เปลี่ยนแพร่ออกไปแล้ว ถึงแม้พวกมันจะเข้าใจผิดคิดว่าเป็นแค่อุปกรณ์เทพขั้นสูง แต่อุปกรณ์เทพระดับนี้ ไม่ต้องกล่าวถึงเรื่องที่ยอดฝีมือทั้งหมดในระนาบเทวโลกต้องการฆ่าเจ้าเพื่อช่วงชิง…หากเจ้าบ่มเพาะในระนาบเทวโลกต่อไปอีก 300 ปี รอให้ช่องงทางระหว่างระนาบเทววโลกกับระนาบเทพเปิดออก ไม่พ้นเหล่ายอดฝีมือขอบเขตเทพที่ได้รับทราบเรื่องราว ต้องส่งคนลงมาจัดการกับเจ้าแน่…”
“พอถึงตอนนั้น สถานการณ์ของเจ้าต้องย่ำแย่กว่าในปัจจุบันหลายขุม”
“ยิ่งไปกว่านั้น ในบรรดา 81 ระนาบเทวโลกก็มิได้ขาดตัวตนขอบเขตเทพ…เว้นเสียแต่เจ้าจะหลบไปซ่อนตัวอยู่ในระนาบโลกียะ หาไม่แล้วถึงเจ้าจะบรรลุถึงขอบเขตเทพ ก็ไม่มีที่ไหนปลอดภัยสำหรับเจ้า”
ได้ยินคำพูดของวารีเทพชำระโลการอบนี้ ต้วนหลิงเทียนก็ได้แต่นิ่งเงียบไป
สถานการณ์ของเขาในปัจจุบัน ตัวเขาย่อมตระหนักดี
และมันเป็นอย่างที่วารีเทพชำระโลกาพูดมาไม่มีผิด
“นอกจากนั้น รอบนี้เพราะพวกเราได้กลืนกินเทพเบญจธาตุขั้นที่ 8 จากค่ายกล อย่างน้อยๆก็ต้องใช้เวลาสักระยะเพื่อย่อยพลังที่ดูดซับมาให้เป็นของพวกเราจริงๆ…ทำให้ยากที่พวกเราจะช่วยเหลืออะไรเจ้าได้ไปสักพัก”
“จริงอยู่ที่เจ้าสามารถเลือกไปหลบซ่อนตัวเพื่อบ่มเพาะในระนาบโลกียะได้…แต่นั่นต้องส่งผลกับความรู้สึกนึกคิดเจ้าแน่ และต้องกระทบถึงการบ่มเพาะเจ้าไม่มากก็น้อย เส้นทางสู่ขอบเขตเทพ หากเจ้ามีมารในใจแม้แต่นิดเดียว คิดจะบรรลุเทพยังยากยิ่งกว่าให้คนธรรมดาขึ้นสวรรค์เสียอีก”
“เช่นนั้นข้าคิดว่า การที่เจ้าไปยังระนาบเทพล่วงหน้า เป็นสิ่งที่ดีที่สุด”
“อย่างน้อยๆเมื่อไปถึงระนาบเทพแล้ว ไม่ว่าจะบังเอิญขึ้นไปยังดินแดนการล่มสลายแห่งทวยเทพหรือไม่ แต่อย่างน้อยๆตลอด 300 ปีหลังจากนี้ เจ้าก็ไม่ต้องกังวลเรื่องที่จะถูกใครจ้องเล่นงานเพราะครอบครองหยก…ที่สำคัญ การฝึกฝนบ่มเพาะบนระนาบเทพ 300 ปี สำหรับเจ้าแล้วมันมีค่ายิ่งกว่าบ่มเพาะในระนาบเทวโลก 3,000 ปีแน่นอน!”
“เป็นธรรมดาว่าทั้งหมดคือคำแนะนำของข้า…สุดท้ายแล้วต่อให้พวกเราจะช่วยให้เจ้ามีโอกาสขึ้นไปยังระนาบสมรภูมิได้จริง แต่การจะเอาตัวรอดออกจากระนาบสมรภูมิ ไม่ใช่เรื่องง่ายๆเลย มีโอกาสที่เจ้าจะตายสูงอีกด้วย”
“การตัดสินใจสุดท้าย ขึ้นอยู่กับเจ้า”
หลังวารีเทพชำระโลกาพูดจบ ต้วนหลิงเทียนก็นิ่งเงียบไปอยู่นาน
ทุกคำพูดของวารีเทพชำระโลกา แน่นอนว่าจี้ตรงงเข้ากลางใจเขาทั้งสิ้น
สำหรับเรื่องที่เทพเบญจธาตุทั้ง 5 ของเขาเปิดเผยออกไปแล้วนั้น เขาเชื่อว่าหวู่หงชิงกับหมี่ซวนไม่คิดเอาไปบอกใครแน่นอน…แต่เรื่องที่เขาถือครองกระบี่หลิงหลง 7 เปลี่ยนพร้อมมีหวงเอ้อ คงยากจะปกปิดใครได้
เพราะมีคนรู้เรื่องนี้เยอะเกินไป
หวู่หงชิงกับหมี่ซวนเลือกจะปกปิดเรื่องที่เขาครอบครองเทพเบญจธาตุทั้ง 5 เอาไว้ เพราะพวกมันหมายฆ่าเขาแล้วใช้เอง ทำให้คนรู้น้อยเท่าไหร่ก็ยิ่งดี
แต่บรรดาผู้ที่ล่วงรู้ว่าเขาถือครองอุปกรณ์เทพขั้นสูงที่กำเนิดจิตวิญญาณแล้ว หลายคนถูกลิขิตให้ไม่อาจช่ววงชิงกับเขาได้ไปชั่วชีวิต ภายใต้สถานการณ์ดังกล่าว พวกมันยังจะปกปิดเรื่องกระบี่ของเขาไปเพื่ออะไร?