War sovereign Soaring The Heavens - ตอนที่ 3599
WSSTH ตอนที่ 3599 : เหลาสุราเลิศล้ํา
‘มันคงมิใช่คิดทำลายหมู่บ้านสกุลต้วนทิศใต้อยู้กระมัง? แล้วจะบานปลายจนทำลายสกุลต้วนทั้งหมดหรือไม่?’
พอได้ยินคำพูดของเฉียนเฟ ลมหายยใจของเถี่ยเหิงก็ขาดห้วงไปทันที เรียกว่ามันกลัวจนถึงกับลืมหายใจ ด้วยไม่ทราบว่าเฉียนเฟยคุณชายยรองตระกูลเฟยผู้นี้ จะลงมือลุกลามใหญ่โตถึงขั้นทำลายทั้งสกุลต้วนหรือไม่?
ครู่ต่อมาคล้ายเถี่ยยเหิงคิดอะไรได้ออก จึงหันไปส่งสายตาให้ชายชราที่ยืนอยู่ด้านหลังเถี่ยเหิงทันที
หลังเถี่ยเหิงมองจ้องไป ชายชราก็คล้ายสัมผัสได้ มันลืมตาขึ้นมา จากนั้นก็หันไปมองกล่าวกับเฉียนเฟยด้ววยน้ำเสียงอ่อนโยน “คุณชายรอง หากท่านคิดทำลายแต่หมู่บ้านสกุลต้วนทิศใต้คงไม่นับเป็นอะไร…แต่หากเป็นทั้งหมู่บ้านสกุลต้วนเลยนั้น สมควรมีตัวตนขอบเขตเทพดำรงอยู่ และข้าไม่ทราบว่ามันยังอยู่ในสกุลต้วนหรือไม่…”
“หากท่านลงมือทำลายทั้งสกุลต้วน ย่อมยั่วยุให้อีกฝ่ายมีโทสะแน่นอน…ถึงมันจะเป็นแค่เทพขั้นต่ำ และตระกูลเฉียนเรามิจำเป็นต้องกลัว อย่างไรเสียหากมันเลือกซ่อนตัวและลงมือในที่ลับ ค่อยบ่อนทำลายตระกูลเฉียนเราอย่างระวัง เช่นนั้นก็นับเป็นเภทภัยอันใหญ่หลวงแล้ว”
“หากท่านทำลายเพียงแค่หมู่บ้านสกุลต้วนทิศใต้ มิได้ยุ่งกับหมู่บ้านสกุลต้วนอีก 3 ทิศที่เหลือ ต่อให้ผู้นำสกุลต้วนที่ข้าคาดว่ามันสมควรเป็นเทพแล้วจะทราบเรื่องราว แม้มันจะโกรธ แต่มันก็ไม่กล้าลงมือล้างแค้นตระกูลเฉียนของพวกเราแน่…”
“การทำลายสกุลต้วนทั้งหมด ก็เท่ากับบีบให้สุนัขจนตรอกเช่นมันกระโดดข้ามกำแพง…แต่ถ้าเราละเว้นอีก 3 หมู่บ้านที่เหลือ มันมิพ้นต้องบังเกิดอาการคิดเขวี้ยงมุกสิกกริ่งเกรงภาชนะเสียหาย”
ฟังจากคำพูดของชายชรา เห็นชัดว่ามันเองก็เข้าใจเรื่องราวกระจ่าง
ได้ยินคำของชาชรา เฉียนเฟยก็ย่นคิ้วเป็นปมครู่หนึ่งค่อยคลายออก “ได้ ข้าฟังท่านปู่ชิว”
ชายชราที่ติดตามมาคุ้มกันเฉียนเฟย เฉียนชิว นั้น เป็นเทพขั้นต่ำของตระกูลเฉียน เดิมทีเฉียนเฟยที่เป็นเพียงคุณชายรองของตระกูลชิว ก็ไม่ได้มีค่ามากพอจะให้ตระกูลเฉียนส่งตัวตนขอบเขตเทพมาติดตามคุ้มกันมัน เพียงแต่สมัยยังเด็กเฉียนเฟยนั้นชมชอบไปเล่นกับเฉียนชิว ด้านเฉียนชิวที่ไร้ลูกหลานก็เอ็นดูเฉียนเฟยดั่งหลานชายแท้ๆ จึงเลือกจะติดตามดูแลอีกฝ่ายมาโดยตลอด
กล่าวได้ว่าแม้แต่พี่ชายของเฉียนเฟย คุณชายยใหญ่แห่งตระกูลเฉียน ก็ไม่ได้รับการดูแลปฏิบัติจากเฉียนชิวเช่นนี้
ผู้ที่คอยปกป้องคุ้มครองคุณชายใหญ่ตระกูลเฉียน เป็นเพียงยอดฝีมือครึ่งก้าวเทพเท่านั้น
ด้วยเหตนี้เฉียนเฟยก็เลยไม่กล้าขัดคำพูดของเฉียนชิวเช่นกัน
“อาวุโสชิวกล่าวถูกแล้ว”
ด้านเถี่ยเหิงพอได้ยินคำพูดของเฉียนชิวมันก็พอได้ระบายลมหายใจออกมาอย่างโล่งอก มันกลัวใจเฉียนเฟยจะไปถล่มทั้งสกุลต้วนจริงๆ อีกฝ่ายด้วยมีตระกูลเฉียนอยู่เบื้องหลัง คงไม่กริ่งเกรงอะไรผู้นำสกุลต้วนที่อาจบรรลุถึงขอบเขตเทพ แต่ก็อย่างว่า ถึงตอนนั้นผู้นำสกุลต้วนไม่พ้นต้องกลายเป็นสุนัขกระโดดกำแพงเป็นแน่! และหาทางล้างแค้นตระกูลเฉียนอย่างถึงที่สุด
และหมู่บ้านสกุลเถี่ยสาขา 4 ของมัน ในฐานะผู้สมรู้ร่วมคิด ก็ต้องโดนดีไปด้วยแน่นอน
ถึงเวลานั้นสกุลเฉียนอื่นๆที่เห็นว่าธุระไม่ใช่ ไหนเลยจะช่วยมัน…
พอเห็นว่าเฉียนเฟยเลือกจะเชื่อฟังเฉียนชิว และมุ่งเป้าที่หมู่บ้านสกุลต้วนทิศใต้อย่างเดียว เถี่ยเหิงก็เลยถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก
…
เมืองหลินซาน นับเป็นเมืองแรกเลตั้งแต่ที่ต้วนหลิงเทียนมาถึงระนาบเทพ หรือดินแดนดาราพิศวงแห่งนี้…
ในสายตาของต้วนหลิงเทียน
เมืองหลินซานแม้จะไม่เล็ก แต่ก็ไม่ได้ใหญ่โตอะไร
ตอนเขายังอยู่ในระนาบเทวโลก เมืองใหญ่ๆที่เขาเคยเห็น เกรงว่าต่อให้มีสิบเมืองหลินซานก็ไม่อาจเทียบ
แน่นอนว่าเมืองเล็กๆบนระนาบเทโลก ก็ด้อยกว่าเมืองหลินซานมาก
‘ถึงแล้ว…เมืองหลินซาน’
ต้วนหลิงเทียนที่ลอยร่างบนฟ้าห่างจากเมืองหลินซานไม่ไกล ลอบกล่าวในใจขณะมองสำรวจเมืองหลินซาน
รอบเมืองหลินซานมีการสร้างกำแพงเมืองสูงใหญ่ล้อมรอบ หลังจากมองสำรวสจรอบหนึ่งก็พบว่ามีประตูเมืองทั้งสิ้น 8 ประตู แต่ละทิศทางมี 2 ประตู วัสดุที่แลคล้ายก้อนอิฐที่ใช้ก่อกำแพงนั้น ให้ความรู้สึกถึงความเก่าแก่โบราณราวกับผ่านวันเวลามาเนิ่นนาน มีทั้งรอยเลือดและรอยขีดข่วนหลายชนิดให้เห็น
กระทั่งรอยมีดดาบ รอยหมัด ฝ่ามือ…บ้างตื้นเขินบ้างลึก เห็นได้ชัดว่ากำแพงเมืองนี้สมวรผ่านศึกมาแล้วหลายครั้ง แต่มันก็ยังดำรงอยู่ บอกให้รู้ว่าแข็งแกร่งไม่น้อย
วูบ!
ร่างต้วนหลิงเทียนไหววูบคราหนึ่ง พริบตาต่อมาคนก็บรรลุถึงหน้าเมืองหลินซานแล้ว จากนั้นก็เหินเข้าเมืองทันที
พอเข้าเมืองมาสิ่งแรกที่ต้วนหลิงเทียนเห็นก็คือสิ่งปลูกสร้างมากมาย นอกจากนั้นเขาก็เห็นบางอาคารที่มีพื้นที่โล่งล้อมรอบค่อนข้างมาก และรอบๆพื้นีท่ดังกล่าวก็มีคนเดินไปเดินมา ผู้คนเองก็จงใจหลีกเลี่ยงสถานที่เหล่านั้น
เห็นฉากดังกล่าว ต้วนหลิงเทียนก็พอเดาได้ทันที ว่านั่นไม่พ้นเป็นพรรคสำนัก นิกาย หรือไม่ก็เคหะสถานของขุมกำลังอะไรสักอย่างแน่
เพราะโดยทั่วไปแล้ว มีแต่สถานที่แบบนี้เท่านั้น ถึงมีการเดินยามเฝ้าระวังป้องกัน ไม่ให้ผู้คนเข้าไปใกล้…
“เหลาสุราเลิศล้ำ?”
หลังจากเจ้ามาในเมืองหลินซานแล้ว ต้วนหลิงเทียนก็แลเห็นอาคารปลูกสร้างบางหลังที่มีธงห้อยแขวนอยู่ ไม่ว่าจะป็นโรงแรมขนาดเล็ก โรงเตี๊ยม เหลาอาหาร หรือร้านคาต่างๆ
และด้วยมีธงเหล่านี้ระบุ ก็ทำให้ต้วนหลิงเทียนเสมือนมีแสงไฟส่องทาง
เหลาสุราเลิศล้ำ เป็นเหลาอาหารที่ใหญ่โตที่สุดเท่าที่ต้วนหลิงเทียนเห็น หลังตระเวนไปทั่วเมือง ส่วนเหลาอาหารอื่นที่เขาพบที่ใหญ่โตที่สุดก็มีแค่ 3 ชั้นเท่านั้น และมันไม่ได้ครึ่งของเหลาสุราเลิศล้ำแห่งนี้เลย
และสิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือเหลาสุราเลิศล้ำแห่งนี้ มันตั้งอยู่ใกล้ๆจัตุรัสกลางเมืองหลินซานพอดี
ตั้งแต่ในระนาบโลกะจวบจนระนาบเทวโลก สถานที่แรกที่ต้วนหลิงเทียนเลือกจะไปหาข้อมูลหลังจากมาถึงสถานที่ๆไม่คุ้นเคยก็คือเหลาอาหาร เพื่อคอยฟังบทสนทนาจากคนอื่น จะได้รู้เรื่องราวทั่วไปและประเด็นร้อนในขณะนั้น
ในโถงรวมของเหลาอาหารนั้น ปกติแล้วก็มีผู้คนจากทุกชนชั้นมาดื่มกิน ทำให้เรื่องราวที่พวกมันสนทนากันมีหลากหลายมาก
“ท่านลูกค้า ท่านมาคนเดียวหรือ?”
หลังจากต้วนหลิงเทียนโรยตัวลงจากฟ้ามาหยุดบริเวณทางเข้าเหลาสุราเลิศล้ำ ก็พบเห็นกลุ่มบริกรยืนรอรับแขก และมีหนึ่งในนั้นก้าวเข้ามาต้อนรับเขาอย่างอบอุ่น “มิทราบท่านลูกค้าต้องการห้องส่วนตัว หรือพื้นที่ทั่วไปขอรับ?”
ถึงแม้ต้วนหลิงเทียนจะมาคนเดียว แต่บริกรก็เลือกจะถามว่าต้องการห้องส่วนตัวหรือไม่
เพราะลูกค้าบางคนก็ชมชอบอยู่ในห้องส่วนตัวเงียบๆ
นอกจากนี้ห้องส่วนตัวเองก็มีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม หากบริกรคนไหนต้อนรับลูกค้าที่ใช้ห้องส่วนตัว พวกมันก็จะได้ค่านายหน้าตามความเหมาะสม เช่นนั้นมันก็เลยยหวังให้ต้วนหลิงเทียนใช้บริการห้องส่วนตัว
“นั่งในโถงรวมดีกว่า”
ต้วนหลิงเทียนกล่าวเสียงเรียบ “หาโต๊ะที่มันอยู่กลางๆให้ข้า”
หากเขานั่งอยู่บริเวณใจกลางโถงรวมล่ะก็ ด้วยยโสตประสาทรับฟังของเขา ถึงแม้ว่าเหลาสุราเลิศล้ำแห่งนี้จะไม่เล็ก แต่เขาสามารถได้ยินบทสทนาของคนส่วนใหญ่แน่นอน
“เช่นนั้น เชิญท่านลูกข้าด้านนี้ขอรับ”
พอได้ยินว่าต้วนหลิงเทียนเลือกจะนั่งในพื้นที่ทั่วไป แม้บริกรจะแลดูผิดหวังเล็กน้อย แต่มันก็ไม่ได้แสดงอาการใดๆออกมา เรียกว่าใบหน้ายังเต็มไปด้วยรอยิ้มไม่เสื่อมคลาย มันผายมือเชื้อเชิญก่อนจะนำทางไปอย่างนอบน้อม จากนั้นก็พาต้วนหลิงเทียนมาถึงโต๊ะเล็กๆกลางโถง ก่อนจะเรียกรายการอาหารออกมาจากแหวนพื้นที่ ให้ต้วนหลิงเทียน “ท่านลูกค้า นี่เป็นรายการอาหาราร และสุราชนิดต่างๆของทางเหลาเรา โดยเฉพาะสุรานั้นข้ากล้ารับรองกับท่านว่าในเมืองหลินซาน มิมีผู้ใดมีสุราเลิศล้ำกว่าพวกเราอีกแล้ว…”
“และข้าขอเรียนให้ท่านลูกค้าทราบก่อนว่า ค่าใช้จ่ายขั้นต่ำของเหลาอาหารเราก็คือ 1 ผลึกอมตะขั้นกลาง”
ในระนาบเทพสิ่งที่ช่วยในการบ่มเพาะพลังที่ด้อยที่สุดก็คือ ผลึกอมตะ ไม่มีหินอมตะอีกต่อไป และผลึกอมตะส่วนมากก็จะเป็นขั้นกลางกับขั้นสูง กล่าวได้ว่าผลึกอมตะขั้นต่ำยังหายากกว่าขั้นสูงเสียอีก และผู้คนทั่วไปในระนาบเทพเองก็มักจะใช้มันเป็นตัวช่วยในการบ่มเพาะ สุดท้ายก็ไม่ใช่ว่าทุกคนจะเกิดมาเป็นเทพและมีขุมกำลังแกร่งกล้า ทำให้ผลึกอมตะกลายมาเป็นสกุลเงินหมุนเวียนชนิดหนึ่ง
เมืองหลินซานที่ไม่ต่างอะไรกับเมืองที่อยู่ในระดับล่างสุดของระนาบเทพ หากเหลาอาหารเรียกเก็บค่าอาหารและค่าสุราเป็นหินเทพ เกรงว่าคงไม่มีใครมากิน
ด้วยเหตุนี้ถึงแม้ต้วนหลิงเทียนจะไม่มีหินเทพอยู่ในมือ แต่เขาก็ก้าวเข้าเหลาอาหารที่ใหญ่ที่สุดแห่งนี้ด้วยความมั่นใจ เพราะเขาเองก็เคยได้ยินมาก่อนหน้านี้แล้ว ว่าสกุลเงินหมุนเวียนที่ใช้ในเมืองหลินซานก็คือผลึกอมตะ และแค่หินเทพก็ถือว่าเป็นสกุลเงินระดับสูงในเมืองหลินซานแล้ว
หลังจากนั่งแช่อยู่ในเหลาสุราเลิศล้ำอยู่นาน ต้วนหลิงเทียนก็ได้รับรู้เรื่องราวต่างๆมากมาย แต่ส่วนใหญ่ก็ไม่ถือว่าน่าสนใจสำหรับเขาสักเท่าไหร่ และมีอีกหลายเรื่องที่เขาอยากรู้แต่ไม่มีใครพูดถึง
‘พรุ่งนี้ค่อยมาใหม่แล้วกัน’
หลังออกจากเหลา ต้วนหลิงเทียนก็ไปหาโรงเตี๊ยมที่พัก แน่นอนว่าเขาไม่ได้พักผ่อนอะไร เพียงเลือกจะบ่มเพาะพลังอย่างขยันขันแข็ง
‘ไปนั่งฟังในเหลาอีกสักวันสองวัน จากนั้นก็ไปหาหินเทพดีกว่า…’
หินเทพนั้น สามารถช่วยเพิ่มความเร็วในการฝึกฝนบ่มเพาะได้ สำหรับต้วนหลิงเทียนที่ต้องการบรรลุถึงขอบเขตเทพแล้ว นับว่าเป็นสิ่งจำเป็นอย่างเร่งด่วนทีเดียว
กระทั่งหลายวันที่ผ่านมา ก่อนจะเดินทางมาเมืองหลินซาน เขาก็ไปเลียบๆเคียงๆถามในหมู่บ้านสกุลต้วนทิศใต้มาแล้ว ว่าพอจะมีช่องทางไหนบ้างที่สามารถหาหินเทพได้
เป็นธรรมดาว่าวิธีที่ง่ายที่สุดก็คือนำของที่เขามีไปขาย
แต่แน่นอนล่ะว่าเขาไม่อาจนำของที่อาจจะเป็นภัยต่อชีวิตของเขาออกมาขายได้ หาไม่แล้วเมื่อเขานำของล้ำค่าอะไรออกมาขาย เกรงว่ายังไม่ทันได้หินเทพ ก็อาจถูกผู้อื่นเข่นฆ่าชิงทรัพ์ซะก่อน
บ่มเพาะพลังทั้งคืน รุ่งเช้าก็ไปยังเหลาสุราเลิศล้ำเพื่อดื่มกินฟังข่าวเรื่องราวทั้งวัน…
ต้วนหลิงเทียนก็ทำเช่นนี้อยู่ 2-3 วัน
“ท่านลูกค้า วันนี้มิทราบท่านอยากทานอะไรบ้างขอรับ?”
บริกรคนเดิมที่ต้อนรับต้วนหลิงเทียนวันแรก พอเห็นต้วนหลิงเทียนมา มันก็โร่เข้ามาถามด้วยรอยยิ้มแช่มชื่นทันที เนื่องเพราะไม่กี่วันที่ผ่านมา ต้วนหลิงเทียนมานั่งดื่มกินในเหลาติดๆแถมยังสั่งสุราอาหารไม่น้อย ทำให้ทางเหลาสุราเลิศล้ำถือว่าเขาเป็น ลูกค้า ประจำไปแล้ว
และเมื่อต้วนหลิงเทียนจับจ่ายมากขึ้น บริกรที่คอยรับใช้ต้วนหลิงเทียนก็จะได้ค่าส่วนแบ่งเพิ่มขึ้น
อีกทั้งที่สำคัญที่สุดเลยก็คือไม่ว่าจะสุราอาหารที่ต้วนหลิงเทียนสั่งนั้น ล้วนแล้วแต่เป็นของขึ้นชื่อเหลาสุราเลิศล้ำทั้งสิ้น แม้จะมีราคาแพง แต่ก็ช่วยส่งเสริมการบ่มเพาะเช่นกัน!
เป็นธรรมดาว่าอาหารหรือสุราที่ช่วยส่งเสริมในการบ่มเพาะ หากรับประทานไป 2-3 ครั้ง ผลกระทบมันก็จะไม่ค่อยดีเหมือนครั้งแรก
“เสี่ยวเอ้อ ยังมีอาหารกับสุราขึ้นชื่อของทางเหลาที่ข้ายังไม่เคยลองหรือไม่? หากว่ายังมีเจ้าไปจัดมาให้ข้าเถอะ”
ต้วนหลิงเทียนพยักหน้าให้บริกรจากนั้นก็โยนผลึกอมตะขั้นสูงให้อีกฝ่าย เนื่องจากบริกรคนนี้คอยตอบคำถามและรับใช้เขาตลอดไม่กี่วันที่ผ่านมา เช่นนั้นทุกครั้งที่เขามาที่นี่ เขาก็จะให้ทิปแก่อีกฝ่ายเสมอ
และนี่เป็นอีกหนึ่งเหตุผล ที่ไฉนบริกรคนนี้ถึงได้ต้อนรับต้วนหลิงเทียนอย่างกระตือรือร้นนัก
สำหรับบริกรคนนี้ ต้วนหลิงเทียนเป็นลูกค้าที่มั่งมีที่สุดในรอบร้อยปีเลยทีเดียว!
“ขอบคุณท่านลูกค้า”
หลังบริกรรับทิปไปแล้ว มันก็เร่งไปทำงานของมันทันที
ขณะเดียวกัน ต้วนหลิงเทียนก็คอยเงี่ยหูฟังผู้คนในเหลาพูดคุยสืบต่อ
ไม่นานก็มีบทสนทนาหนึ่งดังขึ้นเข้าหูเขา “เฮ่ พวกเจ้าได้ยินเรื่องนี้แล้วหรือยัง เห็นว่าเมื่อ 2 วันก่อนคุณชายรองตระกูลเฉียนรับอนุภรรยาคนหนึ่งจากเขาไร้สิ้นสุดมา หน้าตานับว่างดงามไม่เบา…แต่ทว่าเพราะอนุนั่น มันเล่นทำลายหมู่บ้านสกุลต้วนทิศใต้จนราบ!”
“สหายข้าเล่าให้ฟังว่า…หมู่บ้านสกุลต้วนที่ว่าถูกเข่นฆ่าล้างหมู่บ้าน อย่าว่าแต่ผู้คนกระทั่งไก่สุนัขสักตัวยังไม่เหลือรอด!”
“อ้อ เรื่องนี้ข้าก็ได้ยินมาแล้ว อนุของคุณชายรองตระกูลเฉียนเหมือนจะเป็นบุตรีของหัวหน้าหมู่บ้านสกุลเถี่ยสาขา 2 ใช่หรือไม่?”
“ใช่ๆ เมื่อวานน้องข้าก็ผ่านไปแถวนั้น มันได้ยินคนสกุลเถี่ยบอกว่า ที่หมู่บ้านสกุลต้วนทิศใต้ถูกทำลาย ต้นตอเกิดจากหมู่บ้านสกุลเถี่ยสาขา 2 กับสาขา 4…เรื่องเป็นเช่นนี้ ฯลฯ”
…
บทสนทนาประเด็นดังกล่าว พอดังขึ้นก็ทำให้ต้วนหลิงเทียนอึ้งไปทันที
พอต้วนหลิงเทียนกลับมารู้สึกตัว เขาก็บีบจอกสุราในมือจนแตกดัง เพล้ง กระทั่งเชือกรัดผมเขายังขาดผึง
ปัง!
ต้วนหลิงเทียนยกมือขึ้นก่อนจะโยนผลึกอมตะขั้นสูงทิ้งไว้บนโต๊ะ 2 ผลึก จากนั้นร่างเขาก็อันตรธานหายไปท่ามกลางสายตาตกตะลึงของผู้คน
“นั่นมันความลึกซึ้ง เคลื่อนมิติ!”
ถึงแม้ผู้ที่มาดื่มกินในเหลาส่วนใหญ่จะไม่ใช่เทพ แต่ก็ไม่ยากที่พวกมันจะบอกได้ว่าการเคลื่อนไหวของต้วนหลิงเทียนเมื่อครู่เป็การเคลื่อนย้ายข้ามมิติ จากความลึกซึ้งเคลื่อนมิติของกฏมิติ
“ท่านลูกค้า!?”
ด้านบริกรที่ถูกเรียกหาว่าเสี่ยวเอ้อ ซึ่งกำลังยกสำหรับอาหารกับสุรามา พอเห็นต้วนหลิงเทียนหายไปต่อหน้าต่อตามันก็ร่ำร้องเรียกออกมาด้วยความตกใจ
อย่างไรก็ตาม พอมันเห็นว่าบนโต๊ะมีผลึกอมตะขั้นสูงอยู่ 2 ผลึก มันก็พอได้ระบายลมหายใจออกมาอย่างโล่งอก เพราะถ้าลูกค้าคนนี้ไม่ทิ้งผลึกอมตะขั้นสูงไว้ มันก็ต้องเป็นคนจ่ายค่าสุราอาหารที่ยกมาเอง แต่ตอนนี้ที่อีกฝ่ายจ่ายมายังถือว่ามากเกินไปด้วยซ้ำ…
“ดูเหมือนท่านลูกค้าจะมีธุระด่วนที่ต้องรีบไปจัดการ…”
บริกรย่ยอมเดาได้ไม่ยาก
ด้านต้วนหลิงเทียนหลังออกจากเหลาสุราเลิศล้ำแล้ว เขาก็เคลื่อนมิติติดๆกัน มุ่งหน้าไปยังภูเขาไร้สิ้นสุดด้วยความเร็วสูง
เขาคิดไปยืนยันข้อเท็จจริงของสิ่งที่ได้ยินมาเมื่อครู่…