War sovereign Soaring The Heavens - ตอนที่ 3611
ตอนที่ 3611 : คารวะนายน้อยตัวน!
ฉากเรื่องราวเบื้องน้ามันเกิดขึ้นรวดเร็วเกินไป แม้แต่เทพขั้นต่ำอย่างเฉียนเยว่จิ้นและเฉียนชิว ก็ยังไม่ทันคืนสติดีด้วยซ้ำ ต้วนหลิงเทียนกับเฉียนซู่หวนก็ปะทะกันแล้ว!
และพอพวกมันกลับมารู้สึกตัว พวกมันก็เร่งกางม่านพลังป้องกันละอองน้ำที่ซ่านกระเซ็นไปทั่วฟ้าทันที
หยดน้ำเหล่านี้เป็นพลังของเฉียนซู่หวน แถมยังซ่านกระเซ็นมาจากการปะทะกันของพลังอันน่ากลัว เช่นนั้นกระทั่งเทพขั้นต่ำยังมองตามแทบไม่ทัน ผู้ที่ยังไม่บรรลุถึงขอบเขตเทพก็มองไม่เห็นอะไรเลย พวกมันก็ได้ยินแต่เสียงแหวกฝ่าสายลมฉับไวซัดเข้าหาตัวเท่านั้น…
ทำไม?
เพราะมันเร็วเกินไป!
ซ่า! ซ่า! ซ่า! ซ่า! ซ่า!
…
เมื่อหยดน้ำตกกระทบม่านพลังที่เหล่าเทพทั้งหลายช่วยกันกาง ม่านพลังก็สั่นไหวสะเทือนอย่างรุนแรง คล้ายจะพังแหล่มิพังแหล่!
และในกระบวนการป้องกันดังกล่าว สีหน้าท่าทีของเหล่าเทพขั้นต่ำทั้งหลายก็แลดูตึงเครียดนัก แต่ละคนทำราวกับกำลังพบเจอศัตรูอันทรงพลังน่าเกรงขาม
ฉัวะ!!
เมื่อ ‘มรสุม’ ในสายตาของเหล่าเทพขั้นต่ำหยุดลง เสียงสับเนื้อตัดกระดูกหนึ่งก็ดังขึ้นถนัดถนี่ ทำให้แต่ละคนหันมองไปทางต้นเสียงโดยไม่รู้ตัว
และมองไปปราดเดียว พวกมันก็พบว่าเฉียนซู่หวน บรรพบุรุษของตระกูลเฉียนลอยร่างอยู่ตรงนั้น ใบหน้าของมันซีดลงปานขี้เถ้า แขนขวาขาดด้วนเสมอไหล่ สภาพแลดูน่าเวทนาไม่น้อย
เห็นฉากเรื่องราวดังกล่าว พวกมันก็พากันสูดลมหายใจเข้าด้วยความหนาวเหน็บ!
เทพขั้นสูง…แพ้พ่ายใต้เงื้อมมือเทพขั้นต่ำ!?!
เป็นความจริง?
หากวันนี้พวกมันไม่ได้มาเห็นกับตาตัวเอง พวกมันไม่มีวันเชื่อแน่!
ให้กวาดมองไปทั่วเขตคฤหาสน์ตงหลิง เกรงว่าจะมีก็แต่รุ่นเยาว์อัจฉริยะที่โดดเด่นที่สุดในคฤหาสน์ตงหลิงเท่านั้น ที่สามารถเอาชนะเฉียนซู่หวนได้แม้จะเป็นเทพขั้นต่ำ!
“โชคดีนัก…”
เมื่อเหล่าเทพขั้นต่ำไม่เว้นเฉียนเยว่จิ้นเห็นผลลัพธ์การปะทะ หลังสูดลมหายใจเข้าด้วยความสะท้านหนาวใจ พวกมันก็ตกตะลึงอย่างบอกไม่ถูก ด้านเฉียนซู่หวนเองที่โดนตัดแขน บัดนี้ไม่เพียงไม่โกรธ แต่ยยังถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก กล่าวพึมพำออกมาด้วยรอยยิ้ม…
ขณะเดียวกัน พอมันหันไปมองต้วนหลิงเทียนอีกครั้ง ในแววตาก็เต็มไปด้วยความสำนึกขอบคุณนัก ยังโค้งหัวคำนับพลางกล่าวด้วยความหวาดกลัว “ขอบพระคุณนายน้อยต้วนที่เมตตา…”
ในปัจจุบันเฉียนซู่หวนสัมผัสได้ว่วาแผ่นหลังของมันชุ่มโชกไปด้วยเหงื่อเย็น กระทั่งทั่วร่างยังปรากฏเหงื่อกาฬไหลหลั่งออกมาไม่หยุด
เมื่อครู่…มันคิดว่ามันถึงที่ตายแล้ว…
ในห้วงเวลาสุดท้ายแห่งความเป็นตาย ไม่คิดเลยว่าแสงกระบี่มิติที่เข่นฆ่าเข้ามาด้วยความเร็วอัศจรรย์อยู่ๆก็วูบเบี่ยงออกไปด้านข้าง หลีกเลี่ยงจุดตายและทำลายเพียงแค่แขนข้างเดียวของมัน…
มันย่อมชัดเจนในใจ ว่าเป็นอีกฝ่ายเมตตาไว้ชีวิต…
“ตอนนี้เจ้ายังจะจับข้าส่งไปยังนิกายฟ้าจรัสแสง เพื่อให้นิกายฟ้าจรัสแสงตัดสินข้าอยู่อีกหรือไม่เล่า?”
เผชิญกับการโค้งหัวกล่าวขอบคุณของเฉียนซู่หวน ต้วนหลิงเทียนเพียงหยีตาลงพลางกล่าวด้วยรอยยิ้มหยอกล้อ
ถึงแม้ว่าเฉียนซู่หวนจะเป็นตัวตนที่แข็งแกร่งที่สุดที่เขาพบเจอหลังจากขึ้นมายังดินแดนดาราพิศวงแห่งนี้ แถมอีกฝ่ายยังเป็นเทพขั้นสูงอีกด้วย ทว่าความเข้าใจในกฏของอีกฝ่ายนั้นอ่อนด้อยเกินไป เขาอาศัยแค่ใช้การผสานรวมความลึกซึ้งของกฏมิติ 4 ประการชุดเดียวเท่านั้น ก็ยังเอาชนะอีกฝ่ายได้อย่างง่ายดาย
ขณะเดียวกัน เขาก็อดทอดถอนในใจไม่ได้
ในระนาบเทพ ดูเหมือนยังมีขอบเขตเทพมากมายที่ ‘คาบช้อนเงินช้อนทอง’ มาเกิด ด้วยความเข้าใจอันจำกัด ถึงแม้ด่านพลังฝึกปรือของพวกมันจะสูงกว่าเหล่าเซียนอมตะในระนาบเทวโลก แต่พวกมันไม่ได้ดิ้นรนทำความเข้าใจความลึกซึ้งของกฏเพื่อยกระดับพลังฝีมือกันเลย…
เขาเชื่อมั่นเป็นอย่างยิ่ง ว่าหากมีเทพขั้นต่ำจากระนาบเทวโลกขึ้นมายังระนาบเทพล่ะก็ หากเป็นในพื้นที่ชนบทแบบนี้ พวกมันสามารถเอาชนะเทพขั้นกลางได้ไม่ยาก..
วันนี้เขาเองก็ได้สยบเทพขั้นสูงคนหนึ่ง
ถึงแม้แต่ต้นจนจบอีกฝ่ายจังไม่ได้ใช้อุปกรณ์เทพ แต่เขาใช้หรือไม่?
ยิ่งไปกว่านั้นอุปกรณ์เทพที่เขามีให้ใช้ ก็ไม่ได้มีแค่ระดับต่ำเท่านั้น!
“นายน้อยต้วน ท่านอย่าล้อข้าเล่นอีกเลย…”
เฉียนซู่หวนกล่าวด้วยรอยยิ้มเหยเก “อาศัยความสามารถและความเข้าใจของนายน้อยต้วน ตราบใดที่ท่านเต็มใจเข้าร่วม…นับประสาอะไรกับนิกายฟ้าจรัสแสง ต่อให้เป็นขุมกำลังที่แข็งแกร่งที่สุดในคฤหาสน์ตงหลิง ก็ต้องอ้าแขนรับและพยายามเต็มที่เพื่อส่งเสริมท่านแน่!”
“ทั้งหมดเป็นเพียงแค่ข้าผู้เฒ่าโง่เขลา จนไม่ทันนึกว่าหลังจากที่ใต้เท้าเย่เป่ยหยวนสูญเสียศิษย์เพียงคนเดียวไปเมื่อ 30 ปีก่อน วันนี้จักรับอัจฉริยะเช่นนายน้อยต้วนเป็นศิษย์…ดูเหมือนครั้งนี้ใต้เท้าเย่เป่ยหยวนจะได้รับพรหลังประสบเคราะห์แล้วจริงๆ”
กล่าวถึงจุดนี้เฉียนซู่หวนก็ถอนหายใจออกมาอย่างสะทกสะท้อน และยังไม่ลืมที่จะกล่าวประจบประแจงต้วนหลิงเทียน
ถึงแม้ว่าในคำพูดของมันจะเต็มไปด้วยการประจบประจง แต่ก็เป็นคำประจบยกยอจากใจจริงๆ
ด้วยพลังฝีมือที่ต้วนหลิงเทียนเผยออกเมื่อครู่ ไม่ทราบว่าร้ายกาจว่าอัจฉริยะอันดับหนึ่งของนิกายฟ้าจรัสแสงที่มันเคยได้ยินมาตั้งเท่าไหร่…หากข่าวลือเกี่ยวกับอีกฝ่ายที่มันได้ยินมาเป็นความจริงล่ะก็
สุดท้ายแล้วมันเองก็เพียงได้ฟังเรื่องราวของอัจฉริยะของนิกายฟ้าจรัสแสงมาเท่านั้น ไม่ได้พบเจอและเห็นอีกฝ่ายลงมือกับตา
“อ้อ…เช่นนั้นเรื่องนี้เจ้าไม่ยุ่งแล้ว?”
ถึงแม้ตอนนี้ต้วนหลิงเทียนจะสามารถกล่าวความจริงออกไปว่าเขาไม่ใช่ศิษย์ของนิกายฟ้าจรัสแสง แต่ต้วนหลิงเทียนก็ไม่คิดอธิบายอะไรอีก เพราะเขารู้สึกว่ามันเสียเวลาและสิ้นเปลืองน้ำลายเปล่าๆ ในเมื่อผลลัพธ์มันออกมาอย่างที่เขาต้องการแล้ว ใดอื่นล้วนไม่สำคัญ
“ไม่ยุ่ง! ไม่ยุ่ง!!”
เฉียนซู่หวนเร่งกล่าวพร้อมส่ายหัวยกใหญ่ จากนั้นมันก็กวาดตามองไปยังคนของตระกูลเฉียน จนในที่สุดก็ไปหยุดลงบนร่างเฉียนเยว่จิ้น ใบหน้าแย้มยิ้มของมันบดนี้ได้เปลี่ยนเป็นจริงจัง ยังจมลง กล่าวคำด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า “ข้าไม่นึกเลยว่าตระกูลเฉียนเราจักมีตาแต่ไร้แววถึงเพียงนี้!!”
“มิว่าผู้ใดที่ล่วงเกินนายน้อยต้วน ก็ปล่อยให้นายน้อยต้วนจัดการได้ตามความพอใจเสีย!”
“หาไม่แล้ว อย่าได้หาว่าข้าบรรพบุรุษไม่เตือน!”
พอกล่าวจบคำ ไม่ทันที่คนตระกูลเฉียนจะได้พูดอะไร เฉียนซู่หวนก็หันไปโค้งหัวกล่าวคำลาต้วนหลิงเทียน จากนั้นก็เร่งรุดเหินร่างจากไปเร็วไว ด้วยกลัวว่าชายหนุ่มผู้นี้ หลังระบายโทสะกับเฉียนเฟยแล้วยังไม่สาแก่ใจ จะลงมือเข่นฆ่าคนตระกูลเฉียนและเปลี่ยนใจมาฆ่ามันอีกคน…
ตอนนี้มันสามารถเก็บกู้ชีวิตมาได้ ก็นับเป็นพรอันประเสริฐถึงที่สุด
สำหรับเรื่องที่ตระกูลเฉียนอาจจะถูกต้วนหลิงเทียนฆ่าล้าง บัดนี้มันได้สนใจอะไรมากนัก เพราะในสายตาของมัน ราคาชีวิตของมันสูงกว่าตระกูลเฉียนทั้งตระกูลเสียอีก เพราะหากต้องการ มันสามารถผลิตลูกหลานได้เท่าไหร่ก็ทำได้ทุกเมื่อ จะสร้างตระกูลขึ้นอีกครั้งก็ไม่ใช่ปัญหา
เรียกว่าเฉียนซู่หวนมาเร็วไปไวนัก
จนเมื่อแผ่นหลังของเฉียนซู่หวนหายลับตาไปแล้ว ทุกคนในที่เกิดเหตุค่อยดึงสติกลับมาอยู่กับร่องกับรอยได้อีกครั้ง
เมิ่งเหนียนอี้ ผู้นำตระกูลเมิ่งเองก็เป็นคนแรกที่ฟื้นคืนสติ มันเร่งรุดเหินร่างเข้ามาหยุดลงด้านหลังต้วนหลิงเทียน จากนั้นก็มองไปยังผู้นำตระกูลเฉียน เฉียนเยว่จิ้น และตะโกนออกมาเร็วไว “เฉียนเยว่จิ้น หากเจ้ากับตระกูลเฉียนยังคิดปกป้องเฉียนเฟยอีก วันนี้ข้าเมิ่งเหนียนอี้พร้อมด้วยคนตระกูลเฉียนด้านหลัง จะฆ่าล้างตระกูลเจ้าให้สิ้น!!”
พอเมิ่งเหนียนอี้โพล่งคำออกมา สีหน้าเฉียนเยว่จิ้นและคนตระกูลเฉียนทั้งหลายก็ซีดเป็นไก่ต้ม
ขณะเดียวกัน ซือหม่าคงหมิง ประมุขนิกายเมฆอรุณ ไม่เว้นจ้าวอี้เฟิงประมุขนิกายฟ้ายุทธ์ ก็เร่งรุดมาหยุดลงด้านหลังต้วนหลิงเทียนราวผู้ติดตามตัวน้อย และมองกล่าวกับเฉียนเยว่จิ้นอย่างดุดันไม่ต่าง “เฉียนเยว่จิ้น ยังไม่รีบกุดหัวสารเลวน้อยเฉียนเฟยนั่นอีก หรือต้องรอให้ข้าจ้าวอี้เฟยถล่มมารดาตระกูลเฉียนเจ้าจนราบก่อน!?”
“เฉียนเยว่จิ้น เจ้าหักใจฆ่าลูกไม่ลงหรือ? เช่นนั้นก็มอบเฉียนเฟยออกมาให้ข้าสำเร็จโทษมันเสีย นายน้อยต้วนจักได้มิต้องลดตัวลงไปฆ่าสวะให้แปดเปื้อน! หากเจ้ายังคิดปกป้องมันอยู่อีก เช่นนั้นวันนี้นิกายฟ้ายุทธ์ของข้าจักลงมือเข่นฆ่าพวกเจ้าให้ตายไร้ที่ฝัง!!”
…
ในเมืองหลินซานแห่งนี้ ตระกูลเฉียน ตระกูลเมิ่ง นิกายเมฆอรุณ และนิกายฟ้ายุทธ์ ก็คือ 4 ขุมกำลังที่แข็งแกร่งที่สุด ทว่าบัดนี้ผู้นำ 3 ใน 4 ขุมกำลังดังกล่าว กลับยืนอยู่เบื้องหลังชายหนุ่มที่พึ่งจะเป็นที่รู้จักในเมืองหลินซานได้ไม่นาน แถมยังพร้อมจะเปิดฉากลงมือฆ่าล้างตระกูลเฉียนได้ทุกเมื่อ…
ทันใดนั้นเอง
ที่ตั้งตระกูลเมิ่ง
ฟุ่บ! ฟุ่บ! ฟุ่บ!
ปรากฏร่าง 3 ร่างเหินออกจากตระกูลเมิ่ง พุ่งลัดฟ้าแหวกฝ่าสายลมหายไปจากตระกูลฉับไว เป็นชายวัยกลางคน 2 คน ที่ติดตามชายชราใบหน้าอ่อนวัยปานทารกผู้หนึ่งออกไป
“เมื่อครู่…ท่านบรรพบุรุษ!!”
คนของตระกูลเมิ่งแปลกใจไม่น้อยที่เห็นร่างชายชราและชายวัยกลางคนที่พึ่งจากไป “ท่านบรรพบุรุษมิใช่ว่าเก็บตัวบ่มเพาะหลายร้อยปีโดยมิได้ออกไปไหนหรอกหรือ…ไฉนวันนี้อยู่ๆถึงออกมาได้เล่า?”
ชายชราที่มีใบหน้าอ่อนวัยปานทารกที่ว่า เป็นเทพขั้นกลางเพียงคนเดียวที่ยังอยู่ในตระกูลเมิ่ง
เป็นธรรมดาว่าที่ตระกูลเมิ่งมีเทพขั้นกลางเหลืออยู่แค่คนเดียว ไม่ใช่ว่าพวกมันไม่มีเทพขั้นกลางคนอื่น หรือไร้ตัวตนขอบเขตเทพขั้นสูงในตระกูล แต่เพราะ 4 ขุมกำลังใหญ่ในเมืองหลินซานทำข้อตกลงกันแล้ว ว่าเทพขั้นสูงนั้นไม่ได้รับอนุญาติให้เข้ามาแทรกแซงเรื่องราวความขัดแย้งของขุมกำลังทั้ง 4
อีกทั้งถึงจะเป็นเทพขั้นกลาง ก็สามารถสอดมือเข้ามายุ่งเรื่องราวได้แค่คนเดียวเท่านั้น
ดังนั้นปกติแล้วขุมกำลังทั้ง 4 ของเมืองหลินซาน จะมีเทพขั้นกลางรั้งอยู่ในขุมกำลังแค่คนเดียว ส่วนเทพขั้นกลางที่เหลือก็ละทิ้งตระกูลหรือขุมกำลังเพื่อออกไปแสวงหาความก้าวหน้าที่อื่น
การจมปลักอยู่ในเมืองหลินซานแห่งนี้ สำหรับพวกมันก็ไม่ต่างอะไรกับหายใจทิ้งไปวันๆ…ไม่เกิดประโยชน์อันใด
การออกไป ยังมีความหวังและมีโอกาสพบพานโชควาสนาอะไร โดยเฉพาะเหล่าเทพขั้นสูงก็ไม่แน่ว่าอาจจะพบหนทางบรรลุถึงขอบเขตราชาเทพก็เป็นได้
ถึงแม้ว่าในประวัติศาสตร์ของทั้ง 4 ขุมกำลังใหญ่แห่งเมืองหลินซาน จะไม่เคยปรากฏตัวตนขอบเขตเทพราชาเทพออกมาแม้แต่คนเดียว แต่พวกมันก็ยังกระตือรือร้นและวาดหวังที่จะทะวงผ่านไปให้ถึงขอบเขตราชาเทพ…เพราะถึงตอนนั้นไม่ว่าใครก็ตามที่สามารถทะลวงถึงขอบเขตราชาเทพได้ก่อน ยามย้อนกลับมาเมืองหลินซาน ก็สามารถกวาดล้างฮุบกลืนขุมกำลังอื่นๆ เพื่อทำให้ขุมกำลังของตัวกลายเป็นนายเหนือแห่งเมืองหลินซานแต่เพียงผู้เดียว…
และไม่เพียงแต่ตระกูลเมิ่งเท่านั้น แต่ตอนนี้ประมุขนิกายเมฆอรุณ รวมถึงประมุขนิกายฟ้ายุทธ์ ก็ได้ส่งข้อความไปยังเทพขั้นกลางในขุมกำลังของตัวแต่แรก และเหล่าเทพขั้นกลางเหล่านั้นก็กำลังเร่งรุดเดินทางมายังตระกูลเฉียนเช่นกัน
“ท่านผู้นำ พวกเรามิอาจปกป้องเฉียนเฟยได้!”
“ผู้นำ ทุกสิ่งอย่างเป็นคุณชายรองผู้นี้ก่อเรื่องเอง! เช่นนั้นก็ให้มันแบกรับไปคนเดียวเถอะ อย่าได้ลากทั้งตระกูลเฉียนของพวกเราให้ล่มจมไปกับมันเลย!!”
“ท่านผู้นำ ตอนนี้หากท่านตัดสินใจผิดพลาดอันใด ตระกูลเฉียนของพวกเราก็ถึงกาลอวสานแล้ว!!”
…
สำหรับคนของตระกูลเฉียนแล้ว ภัยคุกคามของอีก 3 ขุมกำลังนั้นไม่ได้มีความหมายอันใดและพวกมันก็ไม่ได้ใส่ใจวาจาขู่ข่มของอีกฝ่ายแม้แต่น้อย สิ่งที่พวกมันให้ความสำคัญที่สุดตอนนี้ก็คือท่าทีของชายหนุ่มชุดม่วงเบื้องหน้า…เพราะอีกฝ่าย กระทั่งบรรพบุรุษตระกูลเฉียนที่บรรลุถึงเทพขั้นสูงกว่าหมื่นปีแล้วของพวกมัน ยังสยบได้ในกระบี่เดียว!
บางทีต่อให้วันนี้บรรพบุรุษของตระกูลเฉียน ที่แข็งแกร่งที่สุดในบรรดาขอบเขตเทพขั้นสูงของพวกมันจะย้อนกลับมา แต่ดูทรงแล้วเต็มที่ก็แค่สูสีกับอีกฝ่ายเท่านั้น…
ให้ถอยไปหมื่นก้าว…
ต่อให้บรรพบุรุษขอบเขตเทพขั้นสูงที่แข็งแกร่งที่สุดของพวกมันจะมีพลังสูงพอฆ่าอีกฝ่ายได้ แต่เกรงว่าคงไม่มีความกล้ามากพอจะฆ่าอีกฝ่าย เพราะอีกฝ่ายก็เป็นถึงศิษย์ของนิกายฟ้าจรัสแสง กอปรทั้งพรสวรรค์ความเข้าใจที่อีกฝ่ายเผยออก เกรงว่าอีกฝ่ายไม่พ้นต้องเป็นสุดยอดอัจฉริยะที่แข็งแกร่งที่สุดของนิกายฟ้าจรัสแสงในปัจจุบันแน่นอน
หากเกิดอะไรขึ้นกับอัจฉริยะระดับนี้ น่ากลัวว่านิกาฟ้าจรัสแสงต่อให้ต้องขุดดินลึก 3 ฉื่อ ก็ต้องตามฆ่าล้างคนตระกูลเฉียนของพวกมันจนพินาศสิ้น!
นั่นไม่ใช่ราคาที่ตระกูลเฉียนของพวกมันจะมีปัญญาจ่ายไหว!
พอได้ยินคำพูดของคนตระกูลเฉียนทั้งหมด เฉียนเยว่จิ้น ผู้นำตระกูลเฉียนก็ได้แต่เผยสีหน้าขมขื่น ในแววตานั้นเต็มไปด้วยความสิ้นหวังจับใจ…ด้วยไม่คิดไม่ฝันเลยว่าความหวังจะช่วยชีวิตของลูกชายคนเล็กสุดรักที่พึ่งจะปรากฏขึ้นมา ไม่ทันไรก็ดับมอดลง และต้องกลับมาเผชิญกับความเป็นจริงอันโหดร้ายอีกครั้ง…
บัดนี้ต่อให้ไม่มีคนตระกูลเฉียนเร่งเร้าให้มันประหารลูกชายตัวเอง ก็เป็นไปไม่ได้ที่มันจะมีวิธีช่วยชีวิตลูกชายคนนี้…
ในขณะที่เฉียนเยว่จิ้นกำลังหันไปมองร่างเฉียนเฟย ลูกชายที่มันรักที่สุดนั้นเอง…
ฟุ่บ! ฟุ่บ! ฟุ่บ!
พลันปรากฏร่าง 3 ร่างขึ้นมาปานภูตผี
“เมิ่งจินหัว แห่งตระกูลคารวะนายน้อยต้วน!”
“นิกายเมฆอรุณ โหยวเซี่ยวหาน คารวะนายน้อยต้วน!!”
“โอวหยางหวู่ตี้ นิกายฟ้ายุทธ์ คารวะนายน้อยต้วน!”
พร้อมๆกับการมาของร่าง 3 ร่าง เสียงคารวะทักทายมากเคารพพลันดังขึ้น