War sovereign Soaring The Heavens - ตอนที่ 3620
ตอนที่ 3620 : คณบดีสถานศึกษาหมอกเร้นลับ!
“ได้สิ”
เห็นด้วนเฉียวอมองมาด้วยท่าทางน่าสงสาร ก็ทําให้ใจตัวนหลิงเทียนอ่อนยวบลงทันทียากจะปฏิเสธคําขอ ของนางได้ลงคอ กล่าวตอบรับกลับไปเสียงอ่อน
ด้านด้วนเฉียวอรี่ พอได้ยินคําตอบของต้วนหลิงเทียน นางก็คลี่ยิ้มสดใสออกมาทันที ยังกระเถิบเขามานั่งใกล้ๆด้วนหลิงเทียน จากนั้นก็เอื้อมมือมากอดแขนด้วนหลิงเทียน จากนั้นก็เอียงศีรษะน้อยๆมาพิงไหล่ด้วนหลิงเทียนอย่างออดอ้อน
ด้วนหลิงเทียนก็รู้สึกได้ว่าต้วนเฉียวอวทําตัวสนิทสนมกับเขาเหมือนน้องสาวกับพี่ชายอย่างบริสุทธิ์ใจไม่ได้ มีอะไรแอบแฝงแม้แต่น้อย
ยังให้ความรู้สึกคล้ายหานเฉวี่ยไนในอดีตมาก
อวชิวชวนที่นั่งห่างออกไปไม่ไกล พอเห็นการกระทําของด้วนเฉียวอวีก็คิดจะหยุด แต่หลังจากลังเลอยู่ครู่หนึ่งสุดท้ายก็ไม่อาจพูดห้ามออกมา สุดท้ายจึงปล่อยให้ด้วนเฉียวอีกอดแขนพึงไหล่ตัวนหลิงเทียนตามใจ
ไม่นานนักสายตานางก็ตกลงบนร่างด้วนหลิงเทียนอีกครั้ง ยังฉายแววซับซ้อนนัก
ในตอนนี้คงมีแต่ตัวนางเองเท่านั้น ที่รู้ว่านางกําลังคิดอะไรอยู่ หากข้ามิได้มาเห็นกับตา…ข้าคงมิอาจเชื่อเรื่องนี้ได้จริงๆ
เดิมที่บรรากาศในห้องส่วนตัวก็เปลี่ยนเป็นเงียบงันอึมครึมไปพักหนึ่ง แต่พอต้วนเฉียวอวกระเถิมมานั่งองไหล่ตัวนหลิงเทียนแถมยังกอดแขนเขาเอาไว้อย่างสนิทสนม นางก็เริ่มคุยกับตัวนหลิงเทียน…แน่นอนว่าเป็นนางถามน่นนี่นั่นอยู่ฝ่ายเดียว
“พี่ชายท่านเป็นคนเมืองวายุสวรรครีเปล่า”
ด้วนหลิงเทียนส่ายหัวไปมา เขาไม่ได้โกหกนางทั้งหมด เพียงบอกว่าเขามาจากระนาบเทวโลกและขึ้นมาดินแดนดาราพิศวงมาได้หลายพันปีแล้ว แน่นอนว่าขณะพูดก็ไม่มีพิรุธอะไรเพราะอายุกระดูกเขาตอนนี้ก็มีเกือบ 2,700 ปี
เขาคงไม่อาจบอกนางว่าเขาพึ่งจะขึ้นมาดินแดนดาราพิศวงผ่านระนาบสมรภูมิกระมัง?
หากเขาบอกไปแบบนั้นแล้วเขาจะอธิบายเรื่องที่เข้าฉีกเปิดมิติมายังระนาบสมรภูมิได้อย่างไร?
นอกจากนั้นเขาก็ไม่อาจโกหกเรื่อง บังเอิญมียอดคนประมือกันจนห้วงมิติฉีกเปิดกับด้วนเฉียวอวได้แน่นอนเพราะนางกับอว์ชิวซวนที่นั่งข้างๆมีความเป็นมาลึกลับเกินไป อีกทั้งเขายังรู้สึกว่าพวกนางน่าจะอยู่เหนือขอบเขตราชาเทพ ไม่แน่อาจจะมีความเกี่ยวข้องกับนิกายระดับจักรพรรดิเทพก็เป็นได้
ตอนที่เขายังอยู่ในเมืองหลินซาน เขาอาจจะหลอกคนอื่นได้ว่าเขามาจากนิกายฟ้าจรัสแสง
แต่อยู่ต่อหน้าทั้งคู่ มีความเป็นไปได้สูงที่เขาจะถูกเปิดโปง
“ว้าว พี่ชาย ระนาบเทวโลกเป็นเยี่ยงไรบ้าง เห็นว่ากว้างใหญ่กว่าระนาบเทพเสียอีก มีอันใดให้เล่นมากหรือไม่?”
“พี่ชาย แล้วท่านเป็นผู้ที่ขึ้นสวรรค์ด้วยหรือไม่?”
ตัวนเฉียวอวี่กล่าวถามออกมาไม่หยุด ด้านอวชิวซวนที่ได้ยินคําตอบของต้วนหลิงเทียนสีหน้าของนางก็สงบไร้คลื่นลมใดๆ ราวกับนางล่วงรู้ทุกอย่างมานานแล้ว
แน่นอนว่ายังดูเหมือนไม่สนใจมากกว่า
ตัวนเฉียวอวีคล้ายเด็กน้อยอยากรู้อยากเห็น นางถามด้วนหลิงเทียนไม่หยุด จนกระทั่ง เสียงของพิธีกรงานประมูลดังขึ้นจากด้านล่าง ตัวนเฉียวอวจึงหยุดถาม
อย่างไรก็ตาม แลดูจากสีหน้าของนางตอนนี้ ช่างเต็มไปด้วยความพึงพอใจนัก ราวกับการได้คุยกับตัวนหลิงเทียนและถามนุ่นนี่นั่นทําให้นางมีความสุขมาก
“ไม่มีที่นั่งเหลือเลย…ดูเหมือนเคล็ดวิชาบ่มเพาะระดับจอมราชั้นเทพ มิใช่เรื่องเล็กน้อยสําหรับคนในละแวกเมืองวายุสวรรค์?”
ด้วนเฉียวอวีที่นั่งข้างๆด้วนหลิงเทียน กล่าวออกมาหลังกวาดตามองลงไปนอกหน้าต่าง
“พี่ชาย ท่านว่าอย่างไร?”
ด้วนเฉียวอวหันมามองถามด้วนหลิงเทียน
“ก็นะ”
ตัวนหลิงเทียนพยักหน้า ขณะเดียวกันเขาก็ให้ความสนใจกับโถงประมูลรวมด้านล่างเช่นกัน
เรียกว่าที่นั่งในโถงรวมนั้นมีผู้คนนั่งกันเต็มทุกที่ และบนเวทีประมูลด้านหน้า ก็ปรากฏร่างสตรีหน้าตางดงามมาในชุดเสื้อผ้าสีสันสดใสยืนอยู่ตรงนั้นอยย่างสง่างาม สองตาใสปานน้ําของนางกําลังกวาดมองไปรอบๆ ใบหน้าแม้อ่อนวัยแต่กลับให้ความรู้สึกผ่านพ้นวันเวลามาเนิ่นนาน
เห็นได้ชัดว่านางเป็นพิธีกรที่จะดําเนินการประมูลวันนี้
“โจวอน?”
และเมื่อพิธีกรเช่นนางประกาศออกมา ผู้คนที่พูดคุยกับสหายทั้งหลายก็หันมามองบนเวทีทันที
ขณะเดียวกันในโถงรวมก็มีหลายคนที่จดจ่านางได้ “ไม่คิดเลยว่าตระกูลโจวจะส่งอาวุโสโจวอนออกมาเป็นพิธีกรงานประมูลครั้งนี้ได้..อาวุโสโจวอนผู้นี้แม้เป็นสตรีแต่พลังฝีมือร้ายกาจนัก เป็นเทพขั้นสูงที่ใกล้จะทะลวงถึงขอบเขตจอมราชั้นเทพมากที่สุดของตระกูลโจว!”
“เห็นได้ชัดว่าทางตระกูลโจวให้ความสําคัญกับงานประมูลครั้งนี้มาก…งานประมูลครั้งก่อนๆอย่างดีก็เพียงส่งเทพขั้นกลางมาเป็นพิธีกรเท่านั้น หรือที่ร้ายกาจหน่อยก็เป็นเทพขั้นสูง”
“นั่นมันแน่อยู่แล้ว…สุดท้ายงานประมูลครั้งนี้ก็นํา เคล็ดวิชาบ่มเพาะระดับจอมราชั้นเทพที่หายสาบสูญไปนานอย่างเคล็ดเทพ 6 เงาออกมาประมูล…”
“ความกล้าของตระกูลโจวช่างสูงเทียมฟ้าจริงๆ…เคล็ดวิชาระดับนี้ ยังกล่าน้าออกมาประมูลให้ผู้คนล่วงรู้ว่ามีอยู่…”
“เหอะๆ…กล้าเสียงก็ยังดีกว่าลังเลจนตาย หากตระกูลโจวพยายามครอบครองมันไว้ลับๆไม่ให้ผู้ใดรู้ได้ก็ดีไปแต่ถ้าเรื่องมันแดงขึ้นภายหลัง เกรงว่าหายนะได้มาเยือนแน่ เพราะตระกูลระดับราชาเทพที่เหลือคงไม่คิดปล่อยให้ตระกูลโจวมีเวลาฝึกปรือจนด่านพลังก้าวหน้า”
“เรื่องนั้นข้าก็ทราบ แต่อย่างไรเสียตระกูลโจวก็ยังกล้าหาญอยู่ดีมิใช่รีไร? ต้องทราบด้วยว่าขุมทั้งอื่นต่อให้ได้เคล็ดวิชาบ่มเพาะระดับจอมราชั้นเทพมา เผลอๆไม่มีความกล้าแม้แต่จะนํามันมาประมูลด้วยซ้ํา…ในประวัติศาสตร์ของเขตตงหลิงเรา มิใช่ไม่มีกรณีที่ขุมกําลังนําเคล็ดวิชามาออกประมูลเพราะกลัวเภทภัยแต่ทันทีที่ข่าวเรื่องครอบครองเคล็ดวิชาเลิศล่หลุดออกมาไม่ทันได้นําขึ้นประมูลก็ถูกผู้อื่นบุกมาเข่นฆ่าชิงของไปเสียก่อน…”
ถึงแม้วนหลิงเทียนจะนั่งอยู่ในห้องส่วนตัว แต่เขาก็ได้ยินบทสนทนาของผู้คนในโถงรวมด้านล่าง
และเรื่องที่ได้ยิน ก็ทําให้ใจเขาเต้นแรงขึ้นทันที
ดูเหมือนระนาบเทพจะโหดร้ายกว่าที่เขาคิด…แค่เคล็ดวิชาบ่มเพาะระดับจอมราชั้นเทพก็ทําให้ผู้คนจากขุมกําลังระดับราชาเทพเข่นฆ่าช่วงชิงกันอย่างอ่ามหิตแล้ว
เขานึกภาพออกเลย ว่าหากสมบัติที่เขาครอบครองอยู่ถูกเปิดเผยออกมา ไม่ว่าจะเทพเบญจธาตุก็ดีกระบหลิงหลง 7 เปลี่ยนก็ดี หรือเคล็ดวิชาบ่มเพาะที่เขามี…เกรงว่าเขาได้พบเจอหายนะไม่หยุดหย่อนแน่!
เรียกว่าในใจตัวนหลิงเทียนบังเดความระวังขึ้นหลายส่วน
“ครั้งนี้แขกผู้มีเกียรติทั้งหลายมายังเมืองวายุสวรรค์เราไม่น้อย…ข้า โจวอน ในนามของตระกูลโจวและเมืองวายุสวรรค์ยินดีต้อนรับทุกท่าน”
เสียงของโจวอนผู้อาวุโสของตระกูลโจว ผู้ที่รับหน้าที่เป็นพิธีกรดําเนินการจัดประมูลดังขึ้นอีกครั้งหลังกล่าวจบคํานางที่ยืนอยู่บนเวทีประมูลด้านหน้า ก็กวาดตามองทุกคนรอบหนึ่งก็โค้งคารวะเล็กน้อย
“ข้าหวังว่าท่านแขกผู้มีเกียรติทั้งหาที่ต้องตาพึงใจเคล็ดวิชาบ่มเพาะระดับจอมราชั้นเทพจักอดใจรอประมูลกันอย่างผู้มีอารยะ ไม่ลงมือก่อการทั้งสร้างความเดือดร้อนอันใดให้แก่โรงประมูลตระกูลโจวของพวกเรา”
พอโจวอนกล่าวค่าพูดประโยคนี้จบ บรรยากาศในโถงประมูลก็เงียบลงทันที
มีหลายคนที่มาเข้าร่วมเพราะคิดชมดูบรรยากาศงานประมูลอันสนุกสนาน
อย่างไรก็ตามพอได้ยินคําพูดดังกล่าวของโจวอน พวกมันก็ตระหนักได้ถึงอันตรายที่แฝงอยู่ในงานประมูลครั้งนี้…นั่นสิ หากผู้คนไม่คิดประมูลอย่างถูกต้องตามกระบวนการแต่เลือกจะใช้กําลังเข้าปล้นชิงขึ้นมาเล่า?
ถึงตอนนั้นพวกมันที่เสมือนอยู่กลางสนามรบ ไม่ถูกลูกหลงของยอดฝีมือระดับราชาเทพหรือแม้แต่จอมราชันเทพจนดับอนาถหรือไร?
พลังของจอมราชั้นเทพใช่เรื่องล้อเล่นหรือ?
และต่อให้มีแค่ราชาเทพขั้นสูง ไร้จอมราชั้นเทพใดๆที่มาครั้งนี้ แต่การลงมือของตัวตนระดับดังกล่าวเอาแค่เศษพลังที่ซัดออกส่งๆก็มากพอจะระเบิดทุกสิ่งในโถงประมูลให้แหลกเป็นผุยผงแล้ว!
“ขอผู้อาวุโสโจวอนอย่าได้กังวลไป…”
ทันใดนั้นเอง พันมีสุรเสียงสง่างามหนึ่งดังออกจากห้องส่วนตัวห้องหนึ่งอย่างประจวบเหมาะ “เมืองวายุสวรรค์ไม่ได้มีแต่ตระกูลโจวของท่านเท่านั้น…แต่ยังมีสถานศึกษาหมอกเร้นลับของข้าด้วยหากวันนี้มีผู้ใดกล้าก่การ ใดๆในโรงประมูล ก็เสมือนดูหมิ่นไม่ไว้หน้าสถานศึกษาหมอกเร้นลับของข้า! ข้ามู่หรงสุยเฟิง ไม่มีวันปล่อยมัน ไปแน่!”
มู่หรงสุยเฟิง!?
ชื่อนี้ไม่ได้แปลกหูด้วนหลิงเทียนเลย เพราะตั้งแต่ที่เขามาถึงเมืองวายุสวรรค์เขาได้ยินมามากกว่าหนึ่งครั้ง
มู่หรงสุยเฟิง เป็นคณบดีของสถานศึกษาหมอกเร้นลับ และเป็น 1 ใน 2 รองประมุขของนิกายหมอกเร้นลับว่ากันว่าด่านพลังบรรลุถึงขอบเขตราชาเทพขั้นสูงมาเนิ่นนานแล้วในปัจจุบันสมควรบรรลุถึงขอบเขตจอมราชันเทพเป็นที่เรียบร้อย
แต่เป็นธรรมดาว่าเรื่องที่มันอาจทะลวงถึงขอบเขตจอมราชั้นเทพ ก็เป็นแค่การคาดเดาของคนนอกเท่านั้น
สําหรับความจริง เกรงว่าคงมีแต่ตัวมู่หรงสุยเฟิง กับชนชั้นผู้อาวุโสของนิกายหมอกเร้นลับเท่านั้นที่ล่วงรู้
สุดท้ายแล้วขอบเขตจอมราชั้นเทพก็ไม่ใช่ว่าจะบรรลุถึงได้ง่ายๆ
“ท่านคณบดีมู่หรงกล่าวออกมาเช่นนี้ ข้าแม้แต่ตระกูลโจวก็สามารถวางใจได้แล้ว”
หลังได้ยินคําพูดของมู่หรงสุเฟิง โจวอชิ้นที่ยืนอยู่บนเวทีประมูลก็พอได้ระบายลมหายใจออกมาอย่างโล่งอกรอยยิ้มสดใสยังคลี่กางขึ้นมาบนหน้างาม
เหล่าผู้คนที่มาเข้าร่วมงานประมูลเพราะความสนุกก็เริ่มสงบลง “ไม่คิดเลยว่าแม้แต่คณบดีมู่หรงก็มา…ดูเหมือนพวกเราไม่ต้องลัวว่าจะมีผู้ใดสร้างปัญหาในงานประมูลวันนี้แล้ว”
“ท่านคณบดีมู่หรงถึงกับมาเอง…หรือว่าสถานศึกษาหมอกเร้นลับไม่เว้นนิกายหมอกเร้นลับก็ต้องการเคล็ดวิชาระดับจอมราชั้นเทพด้วย?”
“เผลอๆ อาจเป็นคณบดีมู่หรงเองด้วยซ้ําที่ต้องการมัน!”
“ก็ไม่แน่นักหรอก อย่างไรเสียเมืองวายุสวรรค์ก็เสมือนอาณาเขตของนิกายหมอกเร้นลับกลายๆ…หากนิกายหมอกเร้นลับต้องการมันจริงๆ ไม่ใช่ว่าตระกูลโจวสมควรไปเสนอขายเป็นการลับเพื่อสร้างความโปรดปรานหรือไร?”
ในขณะที่ทุกคนกําลังกระซิบกระซาบกันด้วยความอยากรู้ เสียงชราแหบแห้งหนึ่ง พลันดังขึ้นจากห้องส่วนตัวห้องอื่น“มู่หรงสุยเฟิง…นิกายหมอกเร้นลับของเจ้า ก็สนใจเคล็ดวิชาจอมราชันเทพด้วยรึ?”
“เจ้าเป็นผู้ใด?”
มู่หรงสุยเฟิงเอ่ยถามเสียงเรียบ
“ข้าคืออาวุโส 2 ของนิกายหมื่นปีศาจ หานลี่กัง”
เสียงชราดังขึ้นสืบต่อ
“ไม่เคยได้ยิน
หมู่หรงสุยเฟิงเอ่ยออกเสียงเรียบ “นอกจากนั้น เจ้าไม่คู่ควรจะพูดกับข้ามู่หรงสยเฟิงคนนี้”
“เจ้า…!”
อาวุโสลําดับ 2 ของนิกายหมื่นปีศาจ หานลีกัง เป็นชายชราร่างสูงนึกขึ้นมาในชุดสีดําเส้นผมเป็นสีดอกเลาทั้งหยิกหยอยรุงรัง พอได้ยินวาจาไม่แยแสของมู่หรงสุยเฟิง มันก็ถึงกับลุกขึ้นยืนพลังอันน่าสะพรึงกลัวงแผ่ซ่านออกมาป่นปี้จนเก้าอี้พังพินาศไม่มีชิ้นดี
ข้างกายมัน ชายวัยกลางคน 2 คนเร่งรุดล่าถอยออกไปห่างตัวมันทันที ยังเร่งเร้าพลังเพื่อป้องกันตัวจ้าละหวั่นจากนั้นก็หันไปมองหานลี่กังอย่างจนปัญญา อาวุโสลําดับ 2 ของพวกมันยังอารมณ์ร้ายไม่แปรเปลี่ยน
“อาวุโสรองท่าน…ท่านมิใช่คู่มือมัน”
สุดท้ายชายวัยกลางคนผู้หนึ่งก็กล่าวเตือนออกมาอย่างกล้าๆกลัวๆ
“ข้ารู้แล้ว ไม่ต้องให้เจ้ามาบอก!”
หานลี่กังหันไปถลึงตามองชายวัยกลางคนอย่างเย็นชา พาลให้อีกฝ่ายหน้าซีดไปด้วยความตกใจส่วนชายวกลางคนอีกคนก็เร่งรุดลี้ภัยออกไปด้านนอกห้องทันที ยังไม่ลืมกล่าวทิ้งท้ายว่า “อาวุโสรองข้าจักไปบอกคน ของตระกูลโจวให้นําเก้าอี้ชุดใหม่มา…”
นิกายหมื่นปีศาจก็เป็นขุมกําลังระดับจอมราชันเทพเช่นกัน และชื่อเสียงก็พอๆกับนิกายหมอกเร้นลับอีกทั้งยังขัดแย้งกับนิกายหมอกเร้นลับมาโดยตลอด
และนี่ยังเป็นเหตุผลหลักที่ทําให้มู่หรงสุยเฟิง รองประมุขนิกายหมอกเร้นลับ พูดจาไม่ไว้หน้าหานลีกังที่เป็นถึงอาวุโสลําดับ 2 ของนิกายหมื่นปีศาจ…
ในเมื่อเป็นศัตรูกับนิกายต้นสังกัดของมัน แล้วไฉนมันต้องสุภาพกับอีกฝ่ายด้วย?