War sovereign Soaring The Heavens - ตอนที่ 3662
ตอนที่ 3662 : ความคิดในใจถึงชุน
ในนิกายหมอกเร้นลับนั้น อาวุโสหลักก็ถือเป็นอาวุโสฝ่ายในเช่นกัน
อย่างไรก็อาวุโสฝ่ายในทั่วไปนั้น จะไม่ได้รับการจัดอันดับแต่อย่างไร ทั้งหมดจะถูกเรียกรวมๆว่าอาวุโสฝ่ายในเท่านั้น…มีเพียงอาวุโสหลักของฝ่ายในนิกาย ที่จะมีอันดับ อย่างเช่น อาวุโสใหญ่ อาวุโสรอง อาวุโส 3 …ฯลฯ
คนของนิกายหมอกเร้นลับคนแรกที่เดินทางมาชักชวนต้วนหลิงเทียนยังสถานศึกษาหมอกเร้นลับ ให้ไปกราบอาจารย์ตัวเองเป็นศิษย์นั้น ก็คือศิษย์ของอาวุโสรองแห่งนิกายหมอกเร้นลับ
อาวุโสรองของนิกายหมอกเร้นลับ ก็คืออาวุโสหลักคนหนึ่งที่มีสถานะค่อนข้างสูงในนิกายหมอกเร้นลับ
แต่เป็นธรรมดาว่า ไม่ใช่อาวุโสรองนั้น จะเป็นยอดฝีมือระดับแนวหน้าของนิกายหมอกเร้นลับแล้ว
เพราะในนิกายหมอกเร้นลับ ยังมีอาวุโสหลักรุ่นก่อนๆที่ไม่ได้อู่ในการจัดอันดับอาวุโสอีกต่อไป แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะถูกตัดออกกจากลำดับอาวุโส เพียงแค่ถูกนิกายหมอกเร้นลับแต่งตั้งให้เป็นอาวุโสสูงสุดแทน
“เป็นเช่นนั้น”
หลังได้ยินคำอธิบายของถังชุน ต้วนหลิงเทียนก็คลี่ยิ้มกล่าวว่า “อาวุโสถังชุน อันที่จริงท่านไม่ต้องอธิบายให้ข้าฟังหรอก ข้าเองก็พอจะเข้าใจแต่แรก”
“สุดท้ายแล้ว อย่างไรเสียสำหรับนิกายหมอกเร้นลับ ข้าก็ไม่ได้มีน้ำหนักมากไปกว่าตระกูลจ้ง”
กล่าวจบคำ มุมปากต้วนหลิงเทียนก็ขดยิ้มเย้ยเยาะตัวเอง
“ต้วนหลิงเทียน เจ้าอย่าได้กล่าวล้อเล่นอีกเลย”
ถังชุนส่ายหัวไปมาพลางกล่าว “อยู่ดีๆท่าทีของคนตระกูลจ้งก็เปลี่ยนไปราวหน้ามือเป็นหลังมือ หากข้าเดาไม่ผิด…เจ้าสมควรมีความเป็นมายิ่งใหญ่กระมัง?”
กล่าวถึงจุดนี้ ถังชุนก็มองต้วนหลิงเทียนด้วยสายตาลึกซึ้งราวกับจะหาเบาะแสอะไรจากปฏิกิริยาตอบสนองของต้วนหลิงเทียน
เพื่อดับโทสะของต้วนหลิงเทียน นายรองตระกูลจ้ง จ้งเอ้อ ผู้นั้น ถึงกับลงมือสังหารลูกชายในไส้ของตัวเองกับมือโดยไม่ลังเลแม้แต่นิดเดียว
ดั่งคำกล่าว ‘เสือร้ายยังไม่กินลูกตัว’ ดูจากการลงมือของมัน ก็ทำให้ทราบได้ว่ามันต้องตัดสินใจเด็ดเดี่ยวขนาดไหน…และผู้ลงมือก็ไม่ใช่ชนชั้นไก่กาแต่เป็นนายรองแห่งตระกูลจ้ง จ้งเอ้อ คนนั้น! กล่าวได้ว่าในสายตาของจ้งเอ้อ ต้วนหลิงเทียนนั้นเป็นคนที่ตระกูลจ้งทั้งตระกูลก็ไม่อาจตอแยด้วยได้ หาไม่แล้วคงไม่ยอมทำทุกอย่างเช่นนั้น
แต่ใครดูก็รู้ว่าอาศัยพลังฝีมือส่วนตัวของต้วนหลิงเทียน ยังไม่ทรงพลังมากพอให้ตระกูลจ้งกริ่งเกรง
ดังนั้นจึงไม่ยากที่ถังชุนจะคาดเดาได้ว่า…
เบื้องหลังต้วนหลิงเทียน สมควรมีบางสิ่งที่สร้างแรงกดดันอันใหญ่หลวงต่อตระกูลจ้ง ถึงขั้นต้องยอมลงให้ขนาดนี้…
ได้ยินคำถามดังกล่าวของถังชุน ต้วนหลิงเทียนเพียงคลี่ยิ้มบางๆ แต่รอยยิ้มบางๆของเขา พอตกอยู่ในสายตาถังชุนแล้วมันช่างลี้ลับมีเลศนัยอย่างไรไม่ทราบ สิ่งนี้ทำให้ถังชุนยืนยันได้ว่าเรื่องที่ตัวคาดเดาไม่น่าจะผิดแล้ว
“แต่กก่อนหน้านั้น…พวกมันสมควรคิดจะฆ่าเจ้าจริงๆ ยังเป็นการคิดลงมือโดยรู้ทั้งรู้ว่าเบื้องหลังเจ้าไม่ธรรมดา…”
หากบอกว่า ก่อนหน้าถังชุนไม่ได้ใส่ใจอะไรต้วนหลิงเทียนมากนักล่ะก็
มาตอนนี้มันไม่กล้าละเลยต้วนหลิงเทียนอีกต่อไป เพราะมันทราบแล้วว่าต้วนหลิงเทียนมี ‘ไพ่ตาย’ อันทรงพลังบางอย่าง ถึงขั้นบีบให้ตระกูลจ้งทั้งตระกูลยินดีก้มหัวให้ จนจ้งเอ้อยอมฆ่าลูกชายแท้ๆกับมือ!
นอกจากนั้น มันังทราบอีกว่าเพราะการกระทำก่อนหน้า ทำให้ใจของต้วนหลิงเทียนเริ่มเย็นลงเรียบร้อย
ถึงแม้ต้วนหลิงเทียนจะยังสุภาพกับมันอยู่ แต่มันก็สัมผัสได้ถึงความห่างเหินมากกว่ากาลก่อนชัดเจน ไม่ได้เป็นกันเองเหมือนก่อนหน้าอีกต่อไป
ตอนนี้มันจึงพายามจะเชื่อมไมตรีกับต้วนหลิงเทียนอีกครั้ง
ไม่ว่า ‘ไพ่ตาย’ ที่ต้วนหลิงเทียนถือไว้จะเป็นอะไรก็ตาม แต่ในเมือมันมีอำนาจถึงขั้นสะกดกข่มตระกูลจ้งได้ ก็หมายความว่าคุ้มค่าแล้วที่มันจะพยายามเชื่อมไมตรีกับต้วนหลิงเทียน
“ก่อนหน้านี้พวกมันสมควรจัดตั้งค่ายกลอะไรบางอย่าง…หากข้าเดาไม่ผิดก็สมควรเป็นค่ายกลปิดกั้นการส่งข้อความ”
“ทั้งหมดเป็นเพราะพวกมันตรวจสอบด่านพลังฝึกปรือของข้าแล้วพบว่าข้าเป็นเทพขั้นสูงเท่านั้น จึงตัดสินใจฆ่าเจ้ากับข้าทิ้งไปเสีย…ด้วยวิธีนี้ต่อให้เจ้าจะมีภูมิหลังยิ่งใหญ่เพียงใด ขอเพียงพวกมันทำให้มือสะอาด ไร้ร่องรอยให้เบื้องหลังเจ้าสืบสาว พวกมันก็รอดตัว”
“เพียงแค่มันไม่คิดไม่ฝันว่าเป็นข้า ถังชุน ที่อยู่กับเจ้า…พอข้าเปิดเผยพลังฝึกปรือที่แท้จริงออกมา พวกมันก็เปลี่ยนแผน และเลือกจะคลายค่ายกล เพื่อส่งข้อความไปขอความช่วยเหลือแทน”
“สุดท้ายแล้ว หากค่ายกลยังเปิดใช้อยู่พวกมันก็ไม่อาจส่งข้อความขอความช่วยเหลือได้”
“จากนั้น ทวดของพวกพี่น้องสกุลจ้ง จ้งเทียนฉิงนั่น ก็เลยขอให้ข้าเมตตาละเว้นพวกมัน เพื่อแลกกับผลประโชน์บางอย่าง”
“ผลประโยชน์ที่ว่า เมื่อข้าได้รับมันแล้ว ข้าจักมอบให้เจ้าครึ่งหนึ่ง เพราะสุดท้ายแล้วที่ข้าสามารถได้รับผลประโยชน์กินเปล่าครั้งนี้ สาเหตุก็มาจากเจ้าครึ่งหนึ่งก็ว่าได้”
ถ้อยคำที่ถังชุนพูดออกมานั้น มีความหมาย 2 ประการ
หนึ่งเลย วันนี้เป็นเพราะมัน ต้วนหลิงเทียนถึงรอดตายมาได้
หาไม่แล้วไม่ว่าพื้นหลังต้วนหลิงเทียนจะทรงพลังแค่ไหน หากถูกล้อมฆ่าโดยที่ไม่อาจขอความช่วยเหลือได้ก็ไร้ประโยชน์
นอกจากนั้น ผลประโยชน์ที่มันได้มาจากจ้งเทียนฉิง ทั้งที่จริงไม่ต้องแบ่งให้ก็ได้ แต่มันก็ยินดีแบ่งให้ครึ่งหนึ่งแล้ว
กล่าวได้ว่าหมากตานี้ของถังชุน นับว่าใจกว้างไม่เบา
“ผู้อาวุโสถังชุนคิดมากเกินไป”
ต้วนหลิงเทียนไหนเลยจะไม่เข้าใจสิ่งที่ถังชุนจะสื่อ “อย่างไรเสียบุญคุณช่วยชีวิตของอาวุโสถังชุน ข้าต้วนหลิงเทียนย่อมจดจำไว้ในใจ วันหน้าข้าต้องชดใช้ให้แน่…สำหรับผลประโยชน์ที่ตระกูลจ้งจะมอบให้นั้น ท่านเก็บไว้เองเถอะ”
“ข้าเชื่อว่า ‘ความจริงใจ’ ที่ตระกูลจ้งจะมอบให้ข้าหลังจากนี้ ไม่น่าจะน้อยกว่าผลประโยชน์ที่พวกมันจะมอบให้อาวุโสถังชุน”
ต้วนหลิงเทียนหัวเราะ
ถังชุนยังไม่คิดล้มเลิก และเลือกจะโน้มน้าวต้วนหลิงเทียน อย่างไรก็ตามต้วนหลิงเทียนยังเลือกยืนกรานปฏิเสธถ่ายเดียว สุดท้ายถังชุนก็ไม่เซ้าซี้สืบไป สุดท้ายแล้วการสงมอบผลประโยชน์ที่ว่าออกไปครึ่งหนึ่ง ก็ทำให้มันเจ็บปวดไม่น้อย
ถึงแม้มันจะรู้ดีว่าความสัมพันธ์ระหว่างมันกับต้วนหลิงเทียนไม่อาจหวนกลับไปเป็นดั่งก่อนหน้าได้อีก แต่ในเมื่อต้วนหลิงเทียนพูดออกมาเองว่ามันมีบุญคุณช่วยชีวิต และจะตอบแทนให้ในภายภาคหน้าหลังตั้งหลักได้ อย่างน้อยๆต้วนหลิงเทียนก็ไม่ได้จะตัดขาดจากมันโดยสมบูรณ์
‘รอให้ไปถึงนิกายก่อนแล้วกัน วันหน้าหากมีโอกาสค่อยสานไมตรตีกับมันใหม่…รีบร้อนไปตอนนี้ก็เสียการเปล่าๆ’
พอคิดถึงจุดนี้ ถังชุนก็ไม่รีบร้อนแก้ไขความสัมพันธ์กับต้วนหลิงเทียนอีกต่อไป ตั้งหน้าตั้งตาเดินทางถ่ายเดียว
…
และในขณะที่ต้วนหลิงเทียนติดตามถังชุนไปยังนิกายหมอกเร้นลับนั้น…
ด้านจวนตระกูลจ้ง ก็หาความสงบไม่เจอ
ภายในโถงบรรพชนตระกูลจ้ง ศพของจ้งเค่อฉี บัดนี้กำลังนอนอยู่บนเตียงและถูกคลุมไว้ด้วยผ้าขาวผืนหนึ่ง ข้างเตียงปรากฏร่าง 4 ร่างยืนอยู่ ไม่ใช่ใครที่ไหนเป็น จ้งเอ้อ นายรองตระกูลจ้ง จ้งซื่อ นาย 4 ตระกูลจ้ง จ้งซัน นาย 3 ตระกูลจ้ง สุดท้ายก็คือ จ้งต้า ผู้นำตระกูลจ้งคนปัจจุบัน!
“ฉีเอ้อ เจ้าตายเพื่อตระกูล เช่นนั้นตระกูลจักไม่มีวันลืมเจ้า…ข้าจักสลักชื่อเอาไว้ในผังตระกูล และติดชื่อเจ้าไว้ในหอวีรชนที่จักสืบทอดกันต่อไปจากรุ่นสู่รุ่น ยังจะลงบันทึกไว้ว่าเจ้ายินดีตกตายเพื่อช่วยให้ตระกูลรอดพ้นหายนะ!”
ขณะมองปังร่างไร้วิญญาณของจ้งเค่อฉีที่ถูกคลุมไว้ด้วยผ้าขาวบนเตียง จ้งเอ้อ ก็กล่าววาจาออกมาเสียงหนัก
เสียงของมันยังดังลั่นก้องไปทั่วโถงวีรชนที่ปิดสนิท
“พี่รอง ข้าเสียใจกับท่านด้วย…”
จ้งซันเอื้อมมือไปวางบนไหล่จ้งเอ้อ พลางกล่าวคำด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“เจ้า 3 ไม่ต้องกังวล ข้าไม่เป็นอะไร…เพื่อมรดกของตระกูลจ้งแล้ว การเสีสละของฉีเอ้อนับว่าคุ้มค่า”
ถึงแม้ปากจ้งเอ้อจะพูดมาแบบนั้น แต่น้ำเสียงของมันก็สั่นเครือฟังดูเศร้าโศกนัก
“น้องรอง….”
ตอนนี้เองจ้งต้าพลันหันไปมองกล่าวกับจ้งเอ้อด้วยความห่วงใย “ข้าได้เปิดใช้ค่ายกลปิดกั้นโถงบรรพชนเต็มอัตราแล้ว ไม่ว่าในนี้จะเอะอะเพียงใด ผู้คนด้านนอกก็ไม่มีทางรับรู้…เจ้าอย่าได้ทนเก็บมันไว้กับตัวอีกเลย เพียงระบายออกมาเถอะ”
แทบจะพร้อมๆกันกับที่จ้งต้ากล่าวจบคำ ชุดคลุมของจ้งเอ้อก็ระเบิดออก จากนั้นพลังเทพอันเกรี้วกราดก็ปะทุออกมาจากร่างมันปานจุดระเบิด ก่อให้เกิดคลื่นลมววิปริตกวาดกรรโชกไปทั่วโถงบรรชน พาลให้เครื่องเรือนทั้งหลายเริ่มสั่นสะเทือน บ้างก็พลิกคว่ำวุ่นวายไปหมด
จากนั้นครู่หนึ่ง จ้งเอ้อก็ก้าวออกมาหยุดลงใกล้ๆเตียงอันมีร่างจ้งเค่อฉีที่ถูกคลุมไว้ด้วยผ้าขาวนอนอยู่ ในแววตาของมันเริ่มฉายชัดถึงความกระหายเลือด “ฉีเอ้อ เป็นบิดาไม่เอาไหน ไร้หนทางล้างแค้นให้เจ้า!”
“เป็นบิดาไม่เอาไหน!!”
…
จ้งเอ้อตะโกนออกมาปานสัตว์ร้ายคำราม เนิ่นนานเสียงของมันจึงค่อยๆแผ่วลง หลังแน่นิ่งไปสักพัก จ้งเอ้อ ก็เรียกชุดคลุมตัวใหม่ออกมาสวม ร่างของมันค่อยๆหวนกับสู่รูปลักษณ์ปกติ ไม่ได้สั่นระริกเพราะถูกอารมณ์ครอบงำอีกต่อไป ยังหันกลับมาและเดินไปหาจ้งต้าพลางกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “พี่ใหญ่ ท่านไม่ต้องห่วง ข้าไม่เป็นไรแล้ว”
“เจ้าไม่เป็นไรก็ดีแล้ว”
จ้งต้าตบไหล่จ้งเอ้อเบาๆ ก่อนพยักหน้ากล่าวว่า “พวกเราทุกคนเชื่อว่า ฉีเอ้อ ต้องเข้าใจความจำเป็นของเจ้า…”
“และถึงแม้จะให้ฉีเอ้อเป็นคนเลือก…ข้าก็เชื่อว่าหลานข้ายินดีใช้ความตายของตัวเอง เพื่อลบล้างหายนะของตระกูลแน่”
จ้งต้ากล่าว
ได้ฟังคำพูดของพี่ใหญ่ จ้งเอ้อก็ได้แต่ลอบยิ้มขื่นขมในใจ นิสัยลูกชายของมันไหนเลยมันจะไม่รู้ ลูกมันไม่ใช่คนที่ยินดีจะยอมตายเพื่อตระกูลแน่นอน….
หากให้จ้งเอ้อเป็นคนเลือก เกรงว่าจะเลือกหนีไปมากกว่ายอมตายเพื่อตระกูล
เช่นนั้นมันก็ได้แต่ลงมือเอง
เพราะมันกลัวว่าหากลูกชายร่ำร้องขอชีวิตนานเข้า มันอาจจะเกิดอาการใจอ่อน สุดท้ายก็หักใจลงมือไม่ได้
“พี่ใหญ่ ข้าไม่เป็นไรแล้วจริงๆ…ลูกชายถึงเสียไปก็มีใหม่ได้ แต่หากตระกูลล่มสลาย พวกเราก็จบสิ้นกันหมด”
จ้งเอ้อพยายามคลี่ยิ้มฝืนๆออกมา
“พี่ใหญ่…”
จากนั้นจ้งเอ้อก็ขมวดคิ้วย่นยู่ กล่าวถามออกมาว่า “เงื่อนไขข้อที่สอง…ต้วนหลิงเทียนผู้นั้นเห็นได้ชัดว่าคิดขูดรีดตระกูลจ้งเราจแห้งเหือด…เช่นนั้นพวกเราควรเตรียมของขวัญขอขมามันอย่างไรดี?”
พอกล่าวถึงคำ ‘ของขวัญขอขมา’ สีหน้าจ้งเอ้อก็อดไม่ได้ที่จะเปลี่ยนเป็นมืดดำ สองตายังฉายแววดุร้ายออกมา
“เฮ่อ หากมันพูดระบุออกมาเลยก็ดีไป…แต่มันกลับใช้คำว่า ‘ความจริงใจ’ เช่นนี้ก็ลำบากพวกเรายิ่งนัก”
จ้งต้าได้แต่ระบายลมหายใจออกมาอย่างทอดถอน “ก่อนที่จะมายังโถงบรรพชน ข้าได้แจ้งให้ท่านทวดทราบเรื่องราวทั้งหมดแล้ว…ท่านทวดบอกว่าให้พวกเราส่งมอบหินเทพครึ่งหนึ่งที่หมุนเวียนในตระกูลจ้งเราแก่มัน อีกทั้งอุปกรณ์เทพ โอสถเทพ และสมุรไพรเทพล้ำค่าในคลังของตระกูล พวกเราต้องนำออกมาครึ่งหนึ่งเพื่อมอบให้มัน…”
“ท่านทวดเองก็รู้เรื่องราวที่เกิดขึ้นในโรงประมูลตระกูลโจวแล้ว…จากที่ท่านทวดคาดเดา เด็กหญิงนางนั้น 9 ใน 10 ไม่พ้นต้องมาจากขุมกำลังระดับจักรพรรดิเทพเป็นแน่”
ขุมกำลังระดับจักรพรรดิเทพ!
เดิมทีคนอื่นๆก็รู้สึกไม่เต็มใจกับ สิ่งของที่จ้งต้ากล่าวบอกว่าทวดของพวกมันจะมอบให้ต้วนหลิงเทียนเพื่อขจัดภัยพิบัติ
แต่หลังได้ยินคำ ขุมกำลังระดับจักรพรรดิเทพ แต่ละคนก็รู้สึกเสมือนมือไม้อ่อนแรง และตระหนักได้ว่าต้วนหลิงเทียนสมควรมีขุมกำลังระดับจักรพรรดิเทพหนุนหลัง ทำให้พวกมันไม่มีความคิดจะเบี้ยวค่าชดเชยของต้วนหลิงเทียน
ต่อให้ไร้สมบัติทรัพย์สิน ขอแค่ไม่ตายสักวันก็หาใหม่ได้
แต่ถ้าตระกูลล่มสลาย ผู้คนตกตายหมดสิ้น ยังจะเหลืออะไรอีก…
“พี่ใหญ่ เรื่องนี้ข้าไม่มีความเห็นใดอื่น”
จ้งซันกล่าวเห็นด้วยออกมาคนแรก
“ข้าก็ไม่คัดค้าน”
จ้งซื่อก็กล่าวตาม
สุดท้ายจ้งเอ้อก็กล่าวตอบรับออกมาหลังสุด “ข้าเองก็เชื่อในวิจารณญาณของท่านทวด”
“น้องรอง ท่านทวดยังฝากข้ามาบอกเจ้าว่า…หลังต้วนหลิงเทียนไปถึงนิกายหมอกเร้นลับแล้ว ท่านรทวดจะตรวจสอบความเป็นมาของต้วนหลิงเทียนโดยละเอียด หากมันไม่ได้มีความเป็นมายิ่งใหญ่จริง ไม่ว่ามันกลืนของพวกเราไปกี่คำ ท่านทวดก็จะทำให้มันคายออกมาจนหมด!”
จ้งต้าหันไปมองกล่าวกับจ้งเอ้อ
ทันใดนั้น สองตาจ้งเอ้อก็ฉายแววเยียบเย็นขึ้นมา จิตสังหารอำมหิตยยังพวยพุ่งออกมาอย่างไม่คิดจะกักเก็บ “หากมันไร้ความเป็นมายิ่งใหญ่จริง…ข้าจักสับร่างมันให้แหลกเป็นชิ้นๆ ป่นกระดูกมันทุกชิ้น ยังจะเผาร่างและเอาเถ้าของมันไปสาดเท!”