War sovereign Soaring The Heavens - ตอนที่ 3676
ตอนที่ 3676 : ข้าให้โอกาสเจ้าแล้ว
ก่อนจะมายืนบนสังเวียนของแท่นยอดยุทธ์ ฉีอวี่ไม่ได้ใช้สํานึกเทวะตรวจสอบด่านพลังฝึกปรือของต้วนหลิงเทียนเลย เพราะมันเชื่อไปตามจิตใต้สํานึก ว่าต่อให้ต้วนหลิงเทียนอยากทะลวงขั้นพลัง ก็คงไม่อาจจะทะลวงขั้นพลังได้ระหว่างเดินทางมายังนิกายหมอกเร้นลับ
จนกระทั่งมายืนบนสังเวียนใหญ่ของแท่นยอดยุทธ์ พอเห็นว่าต้วนหลิงเทียนยังใจเย็นแปลกๆ ฉีอวก็อดไม่ได้ที่จะลองแผ่สํานึกเทวะไปตรวจสอบด่านพลังของต้วนหลิงเทียนดู
พอพบว่าด่านพลังฝึกปรือของต้วนหลิงเทียน ที่แท้บรรลุถึงขอบเขตเทพขั้นสูงแล้วจริงๆ ใจมันก็เต้นระส่ําไปไม่เป็นจังหวะทันที ความรู้สึกยังเสมือนพลิกคว่าร้อยแปดสิบองศา
ต้วนหลิงเทียนทะลวงขั้นพลังแล้วกับยังไม่นั้น เป็นสองเรื่องที่แตกต่างกันราวฟ้าดิน!
หากบอกวว่าตอนที่ต้วนหลิงเทียนยังไม่ทะลวงผ่าน มันไม่เกรงกลัวเลยล่ะก็…
มาตอนนี้หลังต้วนหลิงเทียนทะลวงขั้นพลังแล้ว มันไม่เหลือความมั่นใจอีกต่อไป!
ถึงมันจะเข้าใจการผสานรวมความลึกซึ้งของกฏ 3 ประการเช่นกัน แต่กฏที่ต้วนหลิงเทียนเข้าใจกลับเป็นกฏมิติ 1 ใน 4 กฏสูงสุด! ส่วนกฎที่มันเชียวชาญเป็นแค่ 1 ใน 5 กฏทั่วไปอย่างกฎแห่งลมเท่านั้น!!
“ต้วนหลิงเทียน ข้าไม่คิดเลยว่าเจ้าจะทะลวงถึงเทพขั้นสูงได้แล้ว…”
ท่ามกลางสายตาผู้คน ฉือที่มองไปยังต้วนหลิงเทียนด้วยสีหน้าจริงจัง กล่าวค่าออกมาเสียงหนัก
และเสียงพูดของมันก็ไม่ได้จงใจกล่าวให้เบาแต่อย่างใด ยังคล้ายตั้งใจพูดออกมาชัดๆ ทําให้ดังเข้าหูทุกคนชัดเจน รวมถึงอาวุโส 2 คนที่ควบคุมดูแลแท่นยอดยุทธ์ด้วย
อาวุโสคนหนึ่ง แซ่เผิง
“อาวุโสเฉิน…ข้าว่าท่านกังวลเรื่องต้วนหลิงเทียนเกินจําเป็นแล้วกระมัง?”
อาวุโสเผิงดังกล่าว หลังจากได้ยินคําพูดฉือว มันก็แผ่สานึกเทวะกวาดผ่านร่างต้วนหลิงเทียนโดยไม่รู้ตัว หลังยืนยันด่านพลังฝึกปรือต้วนหลิงเทียนได้แล้ว มันก็ส่งข้อความไปหาอาวุโสฝ่ายในที่ทําหน้าที่เฝ้าบันไดสวรรค์ทันที
“ทําไมเล่า?”
อาวุโสเฉินที่ทําหน้าที่เฝ้าบันไดสวรรค์ พอได้รับข้อความดังกล่าวย่อมสงสัยเป็นธรรมดา
“ก็ต้วนหลิงเทียนมันเป็นเทพขั้นสูงเช่นกันน่ะสิ จากกฏที่มันเข้าใจมิใช่ว่าเป็นต่อฉือวหรือไร เช่นนั้นที่ท่านให้ข้ากล่าวเดือนมันเรื่องยอมรับความพ่ายแพ้ ไม่ใช่เรื่องเหลวไหลหรือไร?”
อาวุโสเพิ่งส่งข้อความไปด้วยน้ําเสียงขุ่นข็ง
“อะไร!? ต้วนหลิงเทียนเป็นเทพขั้นสูงแล้ว!?”
ด้านผู้อาวุโสเฉินพอได้ยินข้อความ ก็ตกใจไม่น้อย “แต่ก่อนเจ้าหนูนั่นจะเข้าไปในบันไดสวรรค์ ด่านพลังฝึกปรือของมันยังอยู่ในขอบเขตเทพขั้นกลางชัดๆ เป็นข้าใช้สํานึกเทวะตรวจสอบมันเอง…หรือมันจะทะลวงขั้นพลังระหว่างสู่กับผู้เฝ้าด่าน?”
“สมควรเป็นเช่นนั้น”
“มิน่าล่ะ…มันสมควรทะลวงขั้นพลังในบันไดสวรรค์ขั้นที่ 7 เป็นแน่ และหลังจากมันทะลวงถึงเทพขั้นสูงและปรับพลังสักพัก อาศัยพลังระดับเทพขั้นสูง เจ้าหนูนั่นย่อมสามารถเอาชนะผู้เฝ้าด่านขั้นที่ 8 ได้ในเวลาอันสั้น…ที่แท้ผู้เฝ้าด่านไม่ได้ปล่อยมันไปเฉยๆอย่างที่ทุกคนคาดเดา!”
“ส่วนผู้เฝ้าด่านในบันไดสวรรค์ชั้น 9 ที่มันพบเจอ 9 ใน 10 สมควรเป็นศิษย์สายในที่ด่านพลังทะลวงถึงขอบเขตราชาเทพแล้ว เช่นนั้นมันที่ยังเป็นเพียงเทพขั้นสูงก็ยากจะรับมือไหว จะแพ้ก็ไม่แปลก”
บัดนี้อาวุโสเฉินได้เข้าใจเรื่องราวกระจ่าง
ขณะเดียวกันมันก็พบว่าความกังวลก่อนหน้าช่างเกินจําเป็นจริงๆ
ความแข็งแกร่งของต้วนหลิงเทียนในปัจจุบัน ไม่ได้เป็นรองฉีอวี่อีกต่อไป เผลอๆยังจะร้ายกาจกว่าด้วยซ้ํา!
“เรื่องเป็นมาอย่างไรข้าไม่รู้หรอก…ตอนนี้ข้ารอดูการประมือระหว่างเจ้าหนูทั้ง 2 ก่อน ได้ผลอย่างไรข้าจักแจ้งให้ทราบ…อย่างไรก็ตาม ข้าเชื่อว่า 9 ใน 10 ไม่พ้นต้องจบลงเพราะฉือวี่ยอมแพ้ เพราะข้าเห็นความกลัวในสายตามัน!”
อาวุโสเผิงส่งข้อความไปด้วยความมั่นใจ “ความกลัว เป็นข้อห้ามร้ายแรงที่สุดก่อนการต่อสู้!”
หลังอาวุโสเพิ่งส่งข้อความแล้วเสร็จ มันก็มองจ้องไปยัง 2 ร่างบนสังเวียนใหญ่ของแท่นยอดยุทธ์ไม่วางตา เสียงสนทนาจากรอบๆก็ดังขึ้นระงม “ไม่คิดเลยว่าที่แท้ต้วนหลิงเทียนจะทะลวงถึงขอบเขตเทพขั้นสูงได้แล้ว!”
“มิน่าล่ะ มันถึงกล้ารับคําท้าของศิษย์พี่ฉอวี เพราะมันทะลวงขั้นพลังแล้วนี่เอง!”
“ข้าเข้าใจแล้ว! ที่แท้ที่ต้วนหลิงเทียนรั้งอยู่ในบันไดสวรรค์ขั้นที่ 7 เนิ่นนาน ไม่ใช่เพราะสู้กับผู้เฝ้าด่านอย่างยากล่าบาก สมควรเป็นทะลวงขั้นพลังอย่างกะทันหัน จึงเสียเวลาปรับด่านพลังในขั้นที่ 7 อยู่นานสองนาน พอไปถึงขั้นที่ 8 จึงเอาชนะผู้เฝ้าด่านได้ง่ายๆ…แต่สุดท้ายพอขึ้นไปที่ชั้น 9 ก็คงพบเจอผู้เฝ้าด่านขอบเขตราชา เทพจึงแพ้ออกมา”
“สมควรเป็นเช่นนั้น!”
ในขณะที่ศิษย์สายในของนิกายหมอกเร้นลับกําลังคาดเดาเรื่องราว ถังอู่เยี่ยนที่อยู่ปะปนในฝูงชน ก็มองต้วนหลิงเทียนด้วยสายตาซับซ้อน “เช่นนั้นมันทะลวงขั้นพลังได้จริงๆ”
“เรื่องที่ข้าพูดไปลวกๆก่อนหน้า กลับกลายเป็นความจริง?”
ก่อนหน้านี้ถึงอู่เยี่ยนก็ได้บอกกับฉือไปว่า ต้วนหลิงเทียนอาจทะลวงขั้นพลังได้สําเร็จ จึงสามารถผ่านขั้นที่ 8 ของบันไดสวรรค์ จนปืนไปถึงขั้นที่ 9 ได้…
เป็นธรรมดาว่านางไม่ได้มั่นใจในตัวต้วนหลิงเทียนมากนัก เพียงแค่ไม่สบอารมณ์ฉือวเท่านั้น
แต่ไม่คิดไม่ฝันจริงๆ ว่าสิ่งที่นางพูดก่อนหน้าดันกลายเป็นจริงขึ้นมา
“ทําไม? เจ้าอยากยอมแพ้เลย?”
หลังได้ยินคําพูดอว์ที่ล่วงรู้ระดับพลังบ่มเพาะของเขา สีหน้าท่าที่ต้วนหลิงเทียนยังไม่เปลี่ยนแปลง เพียงมองลีกไปทางมัน พลางถามด้วยน้ําเสียงทีเล่นทีจริง
“ท้ายที่สุดแล้ว…เท่าที่ข้ารู้มา แท่นยอดยุทธ์ก็มีกฏอยู่ข้อหนึ่ง หลังจากขึ้นสังเวียนแล้วนับตั้งแต่เริ่มการประลอง 10 ลมหายใจแรก ยังไม่อนุญาตให้กล่าวค่ายอมแพ้”
ต้วนหลิงเทียนเอ่ยกฎข้อหนึ่งของแท่นยอดยุทธ์ที่เขารู้จากคู่มือศิษย์สายใน ขณะกล่าวสหน้ายังฉายความเย้ยหยันออกมาอยู่บ้าง
“ผู้ใดบอกเจ้าว่าข้าจะยอมแพ้
เมื่อสัมผัสได้ถึงสาตาแปลกๆจากผู้คนโดยรอบ ถึงแม้ฉือวจะบังเกิดความหวั่นใจอยู่บ้าง แต่มันก็แสร้งทําเป็นไม่กลัว “ต้วนหลิงเทียน เจ้าเป็นเทพขั้นสูงแล้วอย่างไร…สุดท้ายเจ้าก็พึ่งทะลวงขั้นพลัง!”
“หากข้าเดาไม่ผิด เจ้ายังไม่มีเวลาควบด่านพลังให้มั่นคงด้วยซ้ํา แต่เจ้ากลับต้องการให้ข้า ถือว่ายอมรับความพ่ายแพ้?”
“ช่างน่าขันนัก!”
พอฉีอวกล่าวจบค่า ก็ปรากฏสายลมรุนแรงพัดม้วนไปทั่วร่าง เป็นพลังเทพที่ผสานเข้ากับพลังธาตุลม ทําให้พลังของมันเริ่มก่อตัวเป็นพายุใต้ฝุ่นขนาดย่อม
นอกจากนั้นพายยุใต้ฝุ่นดังกล่าว ยิ่งมากยิ่งขยายใหญ่ แถมทรงพลังอํานาจมากขึ้นทุกขณะ
ฉากการเร่งเร้าพลังของฉือวี่” ต้วนหลิงเทียนเพียงนิ่งมองอย่างใจเย็น
– – –
ชายวัยกลางคนในชุดบัณฑิตนักศึกษาที่เป็นผู้เฝ้าด่านที่เขาพบเจอในบันไดสวรรค์ขั้นที่ 9 ก็เป็นผู้ใช้กฏแห่งลมดุจเดียวกับฉือ แถมพลังฝีมือของมันยังเหนือกว่าฉือวี่มาก เพราะฉือวเพียงเข้าใจการผสานรวมความลึกซึ้งของกฎแห่งลม 3 ประการได้แค่ชุดเดียวเท่านั้น แต่ผู้เฝ้าด่านดังกล่าวเข้าใจถึง 2 ชุดแล้ว!
ความแข็งแกร่งของทั้งคู่ไม่ได้อยู่ในระดับเดียวกันเลย
และเรื่องของเรื่องก็คือ…
แม้แต่ชายวัยกลางคนในชุดบัณฑิตนั่น ยังถูกต้วนหลิงเทียนเอาชนะได้อย่างง่ายดาย
“ตอนนี้ข้าจะให้โอกาสสุดท้ายแก่เจ้า”
หลังต้วนหลิงเทียนเห็นถือวเร่งเร้าพลังใกล้เสร็จแล้ว เขาก็ค่อยๆกล่าวค่าออกมาด้วยน้ําเสียงไม่แยแส “คุกเข่าลงไปแล้วโขกหัวขอขมาข้า 10 ครั้ง ข้าจะไว้ชีวิตเจ้า…”
พอต้วนหลิงเทียนกล่าวจบค่า ผู้ชมโดยรอบก็อดไม่ได้ที่จะตกใจ ด้วยไม่มีใครคิดว่าต้วนหลิงเทียนจะกล่าวคําพูดเหล่านั้นออกมา คําพูดของคนที่กอบกุมชัยชนะไว้ในกํามือแน่นอนแล้ว!
“อวดดี!!”
ด้านอวี่ที่ได้ยินถึงกับหัวร้อนจนสติขาดผึ้ง มันคํารามออกมาอย่างเกรี้ยวกราด ซัดพายุพลังที่เร่งเร้าอยู่นานเข้าใส่ถ้วนหลิงเทียนทันที จากนั้นคนก็ถีบเท้าโจนทะยานตามพุมาติดๆ
และทันใดนั้นเอง ฉีอวก็สะบัดมือเรียกดาบโค้งราวเสี้ยวจันทร์ออกมากระชับเป็นมั่นเหมาะ และพอถ่ายทอดพลังเทพที่รวมผสานเข้ากับธาตุลมลงไป ตัวดาบก็เปล่งแสงพลังสีเขียวสว่างจ้า!
ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าดาบในมือถือที่เป็นอุปกรณ์เทพ
อนิจจามันเป็นแค่อุปกรณ์เทพขั้นต่ําเท่านั้น
อย่างไรก็ตาม ถึงจะเป็นแค่อุปกรณ์เทพขั้นต่ํา แต่เมื่ออยยู่ในมือถือที่จ่ายพลังลงไปเต็มที่ ตัวดาบก็สําแดงอานุภาพเพิ่มพูนพลัง พาลให้ไอพลังทั่วร่างฉือวสูขึ้นในฉับพลัน มันยังรวมรั้งพลังห่วงใหม่ผนึกลงสู่ตัวดาบ ก่อนจะตวัดฟัน ซัดคมมีดสายลมลักษณ์เสี้ยวจันทร์กรีดฟ้าไปฉับไว รวดเร็วยิ่งกว่าฟ้าผ่าเสียอีก!!
เสียงดาบกรีดฟ้าฉับไวดังขึ้นอีกก้อง คลื่นดาบพลังสังหารเข่นฆ่าไปทางต้วนหลิงเทียนอย่างอํามหิต!
แต่กระนั้น แม้การลงมือของฉือวจะรวดเร็วแค่ไหน จะพุพลังก็ดี คลื่นดาบก็ดี ต้วนหลิงเทียนอาศัยความลึก ซึ่งเคลื่อนมิติก็หลบได้อย่างง่ายดาย แถมยังหายตัวไปปรากฏขึ้นไม่ไกลฉ้อวอีกด้วย
“หาที่ตาย!!”
แม้จะเป็นการเคลื่อนย้ายข้ามมิติมาผุดโผล่ด้านหลังซึ่งเป็นจุดบอด แต่ฉีอวีที่แผ่สํานึกเทวะออกไประวังตัวแต่แรกย่อมสัมผัสได้ทันที มันรีบวกดาบมาตวัดฟันไปด้านหลังโดยไม่มอง อุบัติคลื่นพลังสะบั้นสีเขียวอีกสาย คลีกางออกมาปานพัด กวาดสะท้านเข่นฆ่าไปเร็วรี่ แม้จะไม่ได้รุนแรงเท่ากระบวนดาบแรก แต่ก็ไม่อาจดูเบาได้
ซูมมม!
พร้อมกันนั้นเอง คลื่นดาบสังหารแรกที่ต้วนหลิงเทียนหายตัวหลบมา ประหนึ่งจะมีดวงตางอกเงย มันหักเห เปลี่ยนทิศทางกลางอากาศ วกกลับมาเข่นฆ่าเข้าใส่ถ้วนหลิงเทียนอีกครั้ง!
“ข้าให้โอกาสเจ้าแล้ว…”
ต้วนหลิงเทียนค่อยๆปริปากกล่าวค่าด้วยน้ําเสียงเฉยเมย สองตานิ่งสงบไร้ระลอก เท้าย่าออกไปหนึ่งก้าว ทันใดนั้นรอบตัวเขาพลันปรากฏเงาร่างชุดเกราะขึ้นมารางๆ ยังผสานรวมเข้ากับพลังมิติทั่วร่าง ราวม่านน้ําสีเทาฉาบเคลือบ แม้จะแลดูบอบบาง แต่กลับสามารถต้านทานทั้งท่าลายคลื่นดาบของฉือวีที่รีบร้อนซัดกลับหลังมาได้อย่างง่ายดาย
จากนั้นก่อนที่คลื่นดาบแรกของฉือจะวกมาถึง ต้วนหลิงเทียนเพียงยกมือขึ้นโบกออกไปเบาๆต่อหน้าผู้คนทั้งหมด
การกระทํามันช่างแช่มช้อยราวเมฆคล้อยน้ําไหล สงบนิ่งบางเบา..
ฟัฟ!!
ทันใดนั้นเอง บังเกิดเสียงหอนกระบี่ดังขึ้นคราหนึ่ง
และขณะที่ทุกคนพบว่าไม่ทราบในมือต้วนหลิงเทียนถือกระบี่เอาไว้ตั้งแต่เมื่อไหร่ หัวกับตัวฉือว์ก็แยกออกจากกันเสียแล้ว และพริบตาต่อมาก็ปรากฏพลังมิติอันน่าพรั่นพรึงแผ่ออกไปคลุมฟ้าราวเครื่องบดเนื้อ ป่นปี้ร่างฉีอวี่จนกลาเป็นหมอกเลือดในบัดดล…
คลื่นดาบแรกของฉอรี่ที่กําลังเข่นฆ่าเข้ามา เมื่อฉีอวตกตายพลังอานุภาพของมันก็เริ่มสลายหายไปทันที กว่าจะปะทะเขากับม่านพลังบางเบาลักษ์ชุดเกราะสีเทาทั่วร่างต้วนหลิงเทียน ก็เหลือไม่ถึงครึ่งแล้ว
ชุดเกราะที่ต้วนหลิงเทียนสวม ก็คือ 1 ใน 10 อุปกรณ์เทพขั้นต่ําท่ามกลาง ความจริงใจ” ของตระกูลจังแห่ง เมืองวายุสวรรค์ แต่ด้วยความที่มันเป็นชุดเกราะ เช่นนั้นในแง่มูลค่าแล้ว มันก็ไม่ได้ด้อยไปกว่าศาสตราเทพขั้นกลางเลย
กระทั่งกระบี่เทพที่เขาเรียกออกมา ก็เป็นอุปกรณ์เทพขั้นต่ําที่ตระกูลจังให้มาเช่นกัน
ชั่ว…
ซ่า…
ละอองโลหิตที่ฟังไปทั่ว ไม่นานก็เริ่มตกลงบนพื้นสังเวียนของแท่นยอดยุทธ์ กลายเป็นร่องรอยชวนสยอง บ่งบอกว่าหนึ่งชีวิตพึ่งดับลง เห็นฉากดังกล่าวทุกคนโดยรอบก็พร้อมใจกันเงียบกริบ ไม่มีใครพูดอะไรออกมาสัก
ไม่มีใครคิดใครฝัน ว่าเรื่องราวมันจะจบลงรวดเร็วถึงขนาดนี้
ตั้งแต่ที่ถือว์เร่งเร้าพลัง จวบจนตกตายกลายเป็นละอองเลือดเปรอะสังเวียน ยังผ่านไปม่ถึง 3 ลมหายใจด้วย
และหากนับจากที่ต้วนหลิงเทียนเริ่มเคลื่อนไหว เวลาที่ใช้ไปก็ไม่ทันครบ 1 ลมหายใจดี..
“ฟีด—!!”
อาวุโสสายในทั้ง 2 ที่รับหน้าที่ควบคุมดูแลแท่นยอดยุทธ์ แม้มันจะมีประสบการณ์มากมาย ผ่านอะไรมากไม่น้อย ทําให้ถึงฉากเบื้องหน้าจะน่าตกใจ พวกมันก็ดึงสติกลับมาได้แทบจะทันที แต่กระนั้นพวกมันก็อดสูดลมหายใจเข้าลึกๆไม่ได้
พอมองไปยังร่างในชุดสีม่วงอีกครั้ง ในแววตาก็ฉายให้เห็นถึงความพึง
ถึงแม้พวกมันจะคิดว่าต้วนหลิงเทียนสมควรเป็นผู้ชนะแต่แรก
อย่างไรก็ตาม พวกมันไม่คิดเลยว่าต้วนหลิงเทียนจะชนะได้หมดจดขนาดนี้
นั่นคือฉอรี่!
ในบรรดาศิษย์สายในนิกายหมอกเร้นลับขอบเขตเทพ จะอย่างไรมันก็คือ 1 ใน 10 ตัวตนที่แข็งแกร่งที่สุด!
กล่าวได้ว่า ยามมันออกไปด้านนอก ก็เป็นดั่ง “ป้ายยี่ห้อ” แทนความแข็งแกร่งศิษย์ขอบเขตเทพของนิกายหมอกเร้นลับได้อย่างไม่อายใคร…
แต่ตอนนี้คนกลับตกตายไปง่ายดายเพียงเท่านั้น…
แน่นอนว่าพวกมันไม่ได้รู้สึกเศร้าโศกเพราะตัวตนที่เป็นดัง ป้ายยี่ห้อ ตกตายแม้แต่นิดเดียว อันที่จริงพวกมันยังตื่นเต้นมากกว่า เพราะการตายของฉือวี ได้บ่งบอกว่าบัดนี้นิกายหมอกเร้นลับได้ปรากฏตัวศิษย์สายในขอบเขตเทพสุดแกร่งคนใหม่ขึ้นมาแล้ว
ต้วนหลิงเทียน!
ศิษย์สายในคนใหม่ที่ถูกรองประมุขนิกายหมอกเร้นลับ มู่หรงสุยเฟิง ผู้ซึ่งดารงตําแหน่งคณบดีสถานศึกษา หมอกเร้นลับประจําเมืองวายุสวรรค์แนะนํามาด้วยตัวเอง…นี่คือ ป้ายยี่ห้อ บ่งบอกถึงความแข็งแกร่งของนิกายหมอกเร้นลับคนใหม่
ยังเป็น ป้ายยี่ห้อที่แข็งแกร่งกว่าฉือวเสียอีก!
ถังอู่เยี่ยนที่ยืนอยู่ท่ามกลางผู้คน หลังจากอึ้งไปอยู่นานในที่สุดนางก็ดึงสติกลับมาได้สําเร็จ และหลังจากได้สติกลับมาแล้ว นางก็มองไปยังแผ่นหลังของร่างในชุดสีม่วงด้วยความเหลือเชื่อ “มัน…มันพึ่งทะลวงถึงเทพขั้นสูงมิใช่หรือไร ไฉนร้ายกาจนักล่ะ?”
“ฉือวี่…ถูกมันฆ่าในกระบี่เดียว!?”