War sovereign Soaring The Heavens - ตอนที่ 3677
ตอนที่ 3677 : อาวุโส 2 นิกายหมอกเร้นลับ อู่ฟงหยิน
กลางสังเวียนใหญ่ของแท่นยอดยุทธ์ ชายหนุ่มในชุดสีม่วงยังคงยืนอยู่ตรงนั้นอย่างนิ่งสงบ ราวกับการเข่นฆ่าที่พึ่งจบลงเมื่อครู่ไม่ได้มีอะไรเกี่ยวข้องกับตัวเอง
ไร้ซึ่งความยินดียินร้ายใดๆทั้งสิ้น ราวกับล่วงรู้แต่แรกวว่ามันต้องจบลงเช่นนี้
ด้วยเหตุนั้น ทําให้การยืนนิ่งอยู่ตรงนั้น ได้สร้างความรู้สึกยากหยั่งถึงต่อผู้คนมากขึ้นทุกขณะ
“ข้าให้โอกาสเจ้าแล้ว…”
คําพูดก่อนหน้าของชายหนุ่มชุดม่วง คล้ายดังก้องอยู่ในหูของทุกคนซ้ําไปซ้ํามา ทําให้ทุกคนเริ่มตระหนักได้ว่า ที่แท้จื่อวีผู้นั้นไม่ต่างอะไรกับไก่สุนัขต่อหน้าชายหนุ่มชุดม่วงแต่แรก เพียงหนึ่งกระบีก็จบชีวิตสุนัขของมันได้ง่ายดาย
ให้โอกาสรอดชีวิตแก่เจ้า หากไขว่คว้าก็รอด
ไม่เห็นค่าก็ตาย ง่ายดายเพียงเท่านั้น
“ว่าแต่ ผลการแข่งขันไต่บันไดสวรรค์เมื่อไหร่จะออกหรือ?”
ท่ามกลางสายตายเกรงของผู้คนมากมาย ต้วนหลิงเทียนก็หันไปมองถามถึงอู่เยี่ยนเสียงเรียบ
“เอ๊ะ เอ่อ…”
ถังอู่เยี่ยนที่ยังเหม่อลอยอยู่ พอได้ยินเสียงกล่าวถามของต้วนหลิงเทียน นางก็ได้สติ จากนั้นก็บอกต้วนหลิงเทียนไปว่าการแข่งขันไต่บันไดสวรรค์จะจบลงวันไหน แล้วผลจะออกเมื่อไหร่
“เข้าใจแล้ว เช่นนั้นขาขอตัวก่อน”
หลังได้รับรู้ในสิ่งที่ต้องการ ต้วนหลิงเทียนก็พยักหน้ากล่าวลาถึงอู่เยียน ก่อนจะใช้เคลื่อนมิติหายตัวไปต่อหน้าต่อตาผู้คน
บนสังเวียนใหญ่ของแท่นยอดยุทธ์ ก็เหลือเพียงละอองโลหิตอุ่นๆเปรอะเวที…
หลังจากส่วนหลิงเทียนจากไป ก็ไม่ต้องสงสัยเลยว่าในสถานที่เกิดเหตุจะปั่นป่วนกันแค่ไหน “มารดามันเถอะ!”
“เจ้านั่นมันฆ่าฉือวด้วยวิธีใดกันแน่ ใช้เวลาไม่ถึงหนึ่งลมหายใจด้วยซ้ํา เจ้าทันเห็นมันลงมือหรือไม่?
“ข้าเห็นก็แค่มันตวัดกระบออกไปตามอําเภอใจเท่านั้น แต่กระบี่ที่ฟันไปส่งๆของมัน ฉอว กลับไม่แม้แต่จะมีเวลาต้านทานใดๆได้เลย”
“จริง นอกจากมันตวัดกระบีฟันไปฉับหนึ่ง ข้าก็ไม่เห็นอะไรเลย”
หลายคนไม่เข้าใจว่าต้วนหลิงเทียนฆ่าฉือวได้อย่างไร และเท่าที่พวกมันจับสัมผัสได้ ก็มีแต่กลิ่นอายพลังจากการผสานรวมความลึกซึ้งของกฏมิติ 3 ประการ ที่เปล่งออกมาวูบหนึ่งเท่านั้น
แต่ในเมื่อเป็นพลังของการผสานรวมความลึกซึ้งของกฏมิติ 3 ประการ มันก็ไม่น่าจะทรงพลังเหนือกว่ากระบวนท่าของฉือวถึงขนาดนี้ไม่ใช่หรือไร?
“หรือว่านี่จะเป็นความต่างระหว่างกฏสูงสุดกับกฎทั่วไป?”
บางคนเริ่มคาดเดาไปในทิศทางดังกล่าว
อย่างไรก็ตาม ข้อสันนิษฐานของมันก็ถูกหลายคนส่ายหัวคัดค้านทันที “ไม่ใช่หรอก ถึงแม้ 4 กฏสูงสุดจะทรงพลังกว่ากฏทั่วไปทั้ง 5 ธาตุจริง แต่มันก็ไม่ถึงขั้นร้ายกาจจนสู้กันไม่ได้แบบนี้…บางทีอาจเป็นต้วนหลิงเทียนเปิดใช้พลังสายเลือดในพริบตาสังหาร…”
แม้แต่ถึงอู่เยี่ยนเอง ก็ไม่เข้าใจเช่นกัน
ด้วยเหตุนี้นางจึงได้แต่ส่งข้อความไปถามต้วนหลิงเทียนอย่างอดไม่ได้ “ต้วนหลิงเทียน เจ้าลงมือฆ่าฉือได้ง่ายๆเช่นนั้นได้อย่างไร พลังจากกฏมิติที่เจ้าใช้ มันไม่น่าจะรุนแรงถึงขั้นฆ่ามันได้ในพริบตาเช่นนั้นกระมัง?”
ด้านต้วนหลิงเทียน ก็ไม่ให้นางลุ้นนาน ตอบกลับมาแทบจะทันที “พื้นฐาน มรรคากระบี่”
“พื้นฐานมรรคากระบี่!!”
ในขณะที่ถังอู่เยี่ยนได้รับคําตอบจากต้วนหลิงเทียน อาวุโสเผิงที่เฝ้าดูแลแท่นยอดยุทธ์วันนี้กับอาวุโสสายในอีกคนของนิกายหมอกเร้นลับ ก็หันมามองสบตากันครู่หนึ่ง ก่อนจะกล่าวพึมพําออกมาโดยไม่รู้ตัว
เป็นธรรมดาว่าเสียงกล่าวพึมพําของพวกมัน ก็มีแต่พวกมัน 2 คนเท่านั้นที่ได้ยิน
คนอื่นๆนั้นอยู่ห่างจากพวกมันพอสมควร แถมตอนนี้ยังอื้ออึงไปด้วยเสียงถกเถียงคาดเดา จึงยากที่จะมีบุคคลที่ 3 ได้ยินเสียงพึมพําดังกล่าว
“ให้เทียบกับการเปิดเผยการผสานรวมความลึกซึ้งของกฏมิติ 3 ประการชุดที่ 2…การเผยพื้นฐานมรรคากระ ที่ดูเหมือนจะมีค่าน้อยกว่า”
ต้วนหลิงเทียนที่บัดนี้กลับมาถึงบ้านพักของตัวเองแล้ว ก็กล่าวพึมพํากับตัวเองเบาๆ จากนั้นเขาก็น่าโอสถเส ริมโชคทั้ง 5 เม็ดที่ได้รับจากตระกูลจังออกมาตบเข้าปากในคําเดียว!
ในปัจจุบัน หากต้วนหลิงเทียนรับประทานโอสถเสริมโชคครบ 9 เม็ดล่ะก็ ด่านพลังของเขาจะทะลวงถึงขอบเขตราชาเทพขั้นต่ําได้ทันที
สุดท้ายแล้วคํา โอสถเสริมโชค 9 เม็ดยาทะลวงราชาเทพ” ก็ไม่ใช่ค่าพูดลอยๆ…
ในประวัติศาสตร์ของระนาบเทพ มีผู้คนนับไม่ถ้วนที่ทะลวงถึงขอบเขตเทพขั้นสูงได้ไม่ทันไร ก็ใช้โอสถเสริมโชค 9 เม็ด เพื่อทะลวงถึงขอบเขตราชาเทพต่อเลย
อย่างไรก็ตาม แม้จะมีโอสถเสริมโชคไม่ถึง 9 เม็ด แต่การรับประทานโอสถเสริมโชค 5 เม็ดในคราวเดียวของต้วนหลิงเทียน ก็ทําให้ด่านพลังบ่มเพาะที่พึ่งทะลวงผ่าน บังเกิดความเสถียรในเวลาอันสั้น แถมระดับพลังยังเพิ่มพูนสูงขึ้นอย่างน่ากลัว จนผ่านมาถึงครึ่งทางก่อนจะบรรลุขอบเขตราชาเทพแล้ว!
ที่ไฉนเขารีบร้อนกลับมา ก็เพราะอยากจะรับประทานโอสถเสริมโชคนั้นเอง
ฟังจากคํากล่าวพึมพําของต้วนหลิงเทียนก่อนหน้า เห็นได้ชัดว่าการเปิดเผยมรรคากระบีเพื่อฆ่าฉือวีบนสังเวียนใหญ่ของแท่นยอดยุทธ์นั้น เป็นต้วนหลิงเทียนตั้งใจท่า
เป็นธรรมดาว่าเขาไม่ได้เปิดเผยความเข้าใจในมรรคากระบี่มิติของเขาออกไปทั้งหมด เพียงใช้มันออกในรูปแบบเรียบง่ายเสมือนผู้ที่พึ่งเห็นประตูสู่มรรคากระบี่เท่านั้น
ต้วนหลิงเทียนที่เข้าใจมรรคากระบีมิติของตัวเองถึงขั้นตอนความสําเร็จเบื้องต้นแล้ว ย่อมใช้มรรคากระบี่มิติได้เสมือนแขนขา ไม่ยากที่จะเปิดเผยพลังส่วนน้อย และปกปิดพลังอํานาจที่แท้จริงเอาไว้
และพื้นฐานมรรคากระบี่ ที่ผู้คนมักเรียกกันว่าประตูสู่มรรคากระนั้น บางทีก็ไม่ได้เกิดจากความเข้าใจที่สูงล้ำ แต่อาจจะเป็นโชค หรือความบังเอิญก็ได้
ในระนาบเทพ มีมือกระบี่และนักดาบไม่เว้นมือหอกหรือนักธนูมากมาย ที่อาศัยการฝึกฝนนานเข้า ก็บังเอิญเข้าใจพื้นฐานมรรคาศาสตราของตัวเอง ยังมีกระทั่งผู้ที่พบเจอบางสิ่ง เห็นฉากบางอย่าง ก็เข้าถึงพื้นฐานมรรคาศาสตราได้โดยไม่รู้ตัว…
ด้วยเหตุนี้ สําหรับต้วนหลิงเทียนแล้ว การเปิดเผยมรรคากระประดับพื้นฐานออกไปนั้น ยังมีความสําคัญน้อยกว่าเปิดเผยเรื่องที่เขาเข้าใจการผสานรวมความลึกซึ้ง 3 ประการของกฏมิติชุดที่ 2 เสียอีก และสิ่งนี้ก็ไม่ทําให้เขาโดดเด่นเกินไป
ดังคํากล่าว หมูกลัวอ้วน ผู้คนกลัวโด่งดังเกินไป..
อัจฉริยะที่โดดเด่นเกินไป ย่อมเป็นเป้าอิจฉาริษยาจากผู้อื่น
และเขาเองก็พึ่งมาถึงนิกายหมอกเร้นลับได้ไม่นาน ไม่มีผู้ใดหนุนหลัง แถมเขาก็ไม่มีเจตนาจะกราบผู้ใดเป็นอาจารย์ด้วย เช่นนั้นเขาก็ทําได้แค่ทําตัวติดดินให้มากที่สุด
อย่างไรก็ตาม หากเรื่องราวยังอยู่ในขอบเขต เขาก็ไม่คิดจะยั้งมือหรือถ่อมตัวจนเกินไป
เช่นวันนี้ การฆ่าฉือนั้น เขาไม่คิดยั้งมือไว้ไมตรีมันแม้แต่นิดเดียว
และการลงมือครั้งนี้ ไม่เพียงแต่จะเป็นการกําจัดฉือว์ที่มุ่งร้ายกับเขาเท่านั้น ยังเป็นการประกาศบอกทุกคน ให้ทราบกลายๆว่าเขา ต้วนหลิงเทียน แม้จะเป็นศิษย์ใหม่ที่พึ่งเข้านิกายหมอกเร้นลับมา ก็ไม่ใช่พลับสุกนุ่มนิ่มที่ใครคิดจะบีบเล่นได้ตามใจชอบ
รอให้สามารถผ่านการทดสอบและกลายเป็นศิษย์หลักของนิกายหมอกเร้นลับให้ได้ก่อน ถึงตอนนั้นก็จะได้ รับการปกป้องสนับสนุนจากนิกายหมอกเร้นลับ…ต่อให้เป็นชนชั้นอาวุโสหลักทั่วไป ก็ไม่กล้าแตะต้องลงมือกับ ข้าโดยง่าย…
คิดไปคิดมา ต้วนหลิงเทียนก็อดคิดถึงอาวุโส 2 แห่งนิกายหมอกเร้นลับ ที่เป็นอาจารย์ของถูเฟิงขึ้นมาไม่ได้
ถูเฟิงนั่น สักวันเขาต้องมอบบทเรียนให้มันแน่ แค่ตอนนี้ยังไม่ถึงเวลา
และดังคํากล่าวที่ว่า “ตีตัวเล็ก ตัวใหญ่มา เขาเชื่อว่าหลังจากสั่งสอนถูเฟิงแล้ว อาวุโส 2 แห่งนิกายหมอกเร้นลับนั้น มีแนวโน้มที่จะออกหน้าเพื่อถูเฟิง ถึงอีกฝ่ายจะไม่ได้ลงมือกับเขาด้วยตัวเองอย่างโจ่งแจ้ง แต่ลับหลังต้องส่งคนมาสร้างปัญหาให้เขาแน่
หากเขายังเป็นแค่ศิษย์สายใน อีกฝ่ายก็สามารถหาข้ออ้างเพื่อจัดการเขาได้ไม่ยาก
แต่ถ้าเป็นศิษย์หลักแล้ว เรื่องราวจะต่างออกไป
อาวุโส 2 ของนิกายหมอกเร้นลับกับศิษย์หลักนั้น มันยังไม่มีอานาจมากพอจะชี้กวางเป็นม้าได้…
“ต่อไปก็มุ่งเน้นทะลวงด่านพลังให้ถึงขอบเขตราชาเทพโดยเร็ว…โอสถเสริมโชค 5 เม็ดสามารถทําให้ข้าก้าวหน้าขึ้นไม่น้อยแล้ว
และการแข่งขันไต่บันไดสวรรค์รอบนี้ หากไม่มีอะไรผิดพลาดอันดับ 1 ก็สมควรเป็นข้า ถึงตอนนั้นก็จะได้รับโอสถเสริมโชคเพิ่มอีกเม็ด
“ด้วยโอสถเสริมโชค 6 เม็ด ระห่างจากขอบเขตราชาเทพก็จะสั้นลงอย่างมาก
“รอให้ทะลวงถึงขอบเขตราชาเทพเมื่อไหร่…ข้าก็จะมีพลังมากพอปกป้องตัวเองในสถานที่แปลกถิ่นอย่างดินแดนดาราพิศวงแห่งนี้แล้ว
หลังครุ่นคิดเรื่องราวในใจสักพัก ต้วนหลิงเทียนก็เริ่มสงบสติอารมณ์ และตั้งหน้าตั้งตาบ่มเพาะพลังอีกครั้ง
และในขณะที่ต้วนหลิงเทียนกําลังบ่มเพาะพลังอย่างขยันขันแข็ง ผู้คนที่มารวมตัวกันที่แท่นยอดยุทธ์ก็เริ่มทยอยจากไป
เหล่าศิษย์ที่แยกย้ายกันจากไป แน่นอนว่าย่อมบังเกิดอาการคันปากอยากบอกกล่าว จึงทําให้เรื่องราวการต่อสู้ระหว่างต้วนหลิงเทียนกับฉือว์เริ่มแพร่กระจายออกไปดั่งไฟลามทุ่ง พริบตาก็สร้างความรู้สึกสะเทือนไปทั่วนิกายหมอกเร้นลับ
กระทั่งเหล่าอาวุโสระดับสูงในนิกายหมอกเร้นลับเอง หลังได้รับทราบเรื่องนี้แต่ละคนก็อื้ออึงไปพักหนึ่ง “ฉือวี่ ผู้นั้นตายแล้วรี?”
“เจ้าหนูฉือนั่นกลับด่วนจากไปแล้วหรือ ข้ากําลังคิดจะไปรับมันมาเป็นศิษย์คนที่ 3 ของข้าพอดี…”
“ถึงจะเสียฉือว์ไปคน แต่ได้ต้วนหลิงเทียนมา…นิกายหมอกเร้นลับเราถือว่าได้กําไร มิได้ขาดทุนอันใด”
ในขณะที่ระดับสูงของนิกายหมอกเร้นลับได้รับทราบข่าวเรื่องราวการตายของฉือ ถูเฟิงที่เดิมปิดด่านบ่มเพาะอยู่ ก็ถูกอาจารย์ของมันอาวุโส 2 แห่งนิกายหมอกเร้นลับส่งข้อความมาปลุก
“ถเฟิง ตอนนั้นคนที่เจ้าไปชักชวนมาเป็นศิษย์ให้ข้าที่สถานศึกษาหมอกเร้นลับของเมืองวายุสวรรค์ ก็คือต้วนหลิงเทียนใช่หรือไม่?”
อาวุโส 2 แห่งนิกายหมอกเร้นลับ อู่ฟงหยิน มีรูปลักษณ์เป็นชายวัยกลางคนในชุดคลุมยาวหลวมโครกสีเขียว หว่างคิ้วมันมีปานรูปเพชรเด่นหรา ใบหน้าแลดูเด็ดเดี่ยวเอาเรื่อง แม้จะสวมใส่ชุดคลุมยาวหลวมๆไม่พอดีตัว แต่สิ่งนี้ก็ไม่อาจปิดซ่อนท่าที่ทระนงดุดันของมัน
“เจ้าไปหาต้วนหลิงเทียนนั้นอีกครั้งและเชิญมันมาที่นี้ ข้าจะชวนมันเป็นศิษย์ด้วยตัวเอง”
นี่คือข้อความที่อู่ฟงหยินส่งให้ถูเฟิง
หลังได้รับข้อความดังกล่าวจากอาจารย์ ถูเฟิงที่พึ่งตื่นจากการบ่มเพาะก็รู้สึกงุนงงสงสัยอยู่บ้าง จึงส่งข้อความกลับไปถามผู้เป็นอาจารย์ทันที “ท่านอาจารย์ ครั้งก่อนมิใช่ท่านบอกข้าเองหรือ ว่าในเมื่อเจ้านั่นมันไม่รู้ว่าอะไรดีต่อตัว ก็ไม่ต้องไปแยแสมัน และท่านก็ไม่สนใจเรื่องจะรับมันเป็นศิษย์แล้วนี่นา…”
“หืม?”
อู่ฟงหยิน “ถึงแม้ข้าจะพูดไปเช่นนั้น แต่ข้าก็แค่พูดไปส่งๆ ตอนนี้เจ้าไปเชิญมันมาหาข้าเถอะ…เจ้าหนูนั่นอายุยังไม่ทันถึง 3,000 ปี แต่กลับอาศัยกระบี่เดียวจบชีวิตฉือนั่นได้ หากข้าได้มันเป็นศิษย์ ไม่แน่ในอนาคตข้า อู่ฟงหยินอาจมีหน้ามีตาเพราะมัน”
“ที่สําคัญหากข้าอู่ฟงหยินมีศิษย์อัจฉริยะเช่นนั้น ฐานะข้าในนิกายหมอกเร้นลับก็เห็นช่องทางก้าวหน้าแล้ว”
เมื่ออู่ฟงหยินส่งข้อความมาอีกครั้ง น้ําเสียงยังแฝงความเร่งร้อนอยู่บ้าง
“อะไร?!”
ด้านถูเฟิงเมื่อได้ยินข้อความตอบกลับของอาจารย์ มันก็อดไม่ได้ที่จะโพล่งออกมาลั่นห้องด้วยความตกใจ “ต้วนหลิงเทียนนั่นมันฆ่าฉือว์ในกระบี่เดียว!?”
“ท่านอาจารย์ ท่านเข้าใจอะไรผิดมาหรือไม่ ฉีอวีที่ท่านกล่าวถึงใช่ฉอรี่ที่ติด 1 ใน 10 ศิษย์สายในขอบเขตเทพที่แข็งแกร่งที่สุดหรือไม่? ยังเป็นคนที่ได้อันดับ 3 ในการแข่งขันไต่บันไดสวรรค์ครั้งก่อนผู้นั้น?”
ถเฟิงอดไม่ได้ที่จะส่งข้อความไถ่ถามดังกล่าวไปหาอาจารย์ เพราะมันไม่อยากจะเชื่อเลยว่าต้วนหลิงเทียนจะฆ่าฉือวีที่มันรู้จักได้…
“นอกจากมันแล้วยังมีฉือวคนไหนอีก?”
อู่ฟงหยินตอบกลับเสียงเรียบ “ข้ารู้ว่าเจ้ากําลังคิดอะไรอยู่…หากเป็นต้วนหลิงเทียนที่พึ่งมาถึงนิกายหมอกเร้นลับในฐานะเทพขั้นกลาง ย่อมไม่ใช่คู่ต่อสู้ของฉือวแน่”
“อย่างไรก็ตาม เห็นว่าตอนมันขึ้นไปถึงขั้นที่ 7 ของบันไดสวรรค์ มันกลับบังเกิดความก้าวหน้า บรรลุถึงขอบเขตเทพขั้นสูง…จากนั้นมันจึงสามารถขึ้นไปถึงขั้นที่ 8 กระทั่งยังผ่านไปจนถึงขั้นที่ 9 ของบันไดสวรรค์ก่อนจะ กลับออกมา…”
“หากไม่มีใดผิดพลาด การแข่งขันไต่บันไดสวรรค์ครั้งนี้ ศิษย์สายในขอบเขตเทพที่จักได้รับอันดับ 1 ย่อมเป็นมันแน่นอน”
“นอกจากนั้น มันไม่ใช่แค่เข้าใจการผสานรวมความลึกซึ้งของกฎมิติ 3 ประการเท่านั้น แต่ยังเข้าใจพื้นฐานมรรคากระบี่แล้วด้วย ยังอาศัยพื้นฐานมรรคากระบี่ดังกล่าว ฆ่าฉือวี่ได้ในกระบี่เดียว!”
“ถึงแม้ว่าการเข้าใจพื้นฐานมรรคาใดๆอาจเป็นเพราะโชค แต่ก็ไม่มีใครกล้าพูดว่าวันหนึ่งมรรคากระบี่ของมันจะไม่มีความก้าวหน้า!”
“มรรคากระบี่ อย่างไรก็คือมรรคากระบี่…1 ในจตุรวิถีแห่งสวรรค์และโลก เป็นอะไรที่ข้า อู่ฟงหยินแม้จะอยู่มาหลายหมื่นปี แต่กลับไม่เคยสัมผัสแม้แต่เส้นขนของจตุรวิถีแห่งสวรรค์และโลก”
“ศิษย์อนาคตไกลเช่นนี้ ข้าอู่ฟงหยินต้องการรับ!”
“เอาล่ะ เจ้ารีบไปเชิญมันมาให้ข้าได้แล้ว”
ข้อความสุดท้ายของอู่ฟงหยิน น้ําเสียงขณะกล่าวเรียกว่าไม่อนุญาตให้ปฏิเสธ…
“ทราบแล้วท่านอาจารย์”
ลูกตาลูเฟิงเผยประกายเยียบเย็นเรื่องขึ้นรูบหนึ่ง แต่กับอู่ฟงหยิน มันยังไม่มีความกล้าพอจะขัดคําสั่งอีกฝ่าย หลังจากตอบกลับข้อความแล้วเสร็จ มันก็โมโหจนทุบเตียงที่นั่งอยู่จนแหลกเป็นเสี่ยงทันที
“มารดามันบัดซบนัก!”
“เดรัจฉานน้อยต้วนหลิงเทียนนั่น ไฉนแข็งแกร่งขนาดนี้ได้?”
“พื้นฐานมรรคากระบ? โชคมันจะดีไปถึงไหนกัน!?”
ถูเฟิงย่อมรู้แก่ใจดี ว่าเกิดต้วนหลิงเทียนเป็นศิษย์ของอาจารย์มันขึ้นมา แม้จะเป็นศิษย์น้องของมัน แต่ฐานะอีกฝ่ายในสายตาอาจารย์ เกรงว่าคงต้องเหนือกว่ามันมากมายแล้ว
เช่นนั้นเสมือนมันถูกลิขิตไว้ให้ถูกอีกฝ่ายเหยียบย่าในวันหน้า ถึงแม้วันนี้อีกฝ่ายจะยังไม่เก่งกล้าเท่ามันก็