(WN) หลังจากช่วย [องค์หญิงน้ำแข็ง] จากโรงเรียนอื่น เราก็เริ่มต้นด้วยการเป็นเพื่อนกันล่ะครับ - ตอนที่ 1 : เรื่องราวของผมที่โดนคุกคาม(?)หลังจากเข้าไปช่วยเด็กสาวหน้าคุ้นที่กำลังโดนลวนลามบนรถไฟ
- Home
- (WN) หลังจากช่วย [องค์หญิงน้ำแข็ง] จากโรงเรียนอื่น เราก็เริ่มต้นด้วยการเป็นเพื่อนกันล่ะครับ
- ตอนที่ 1 : เรื่องราวของผมที่โดนคุกคาม(?)หลังจากเข้าไปช่วยเด็กสาวหน้าคุ้นที่กำลังโดนลวนลามบนรถไฟ
Chapter 1 : เรื่องราวของผมที่โดนคุกคาม(?)หลังจากเข้าไปช่วยเด็กสาวหน้าคุ้นที่กำลังโดนลวนลามบนรถไฟ
ภายในรถไฟที่แกว่งไปมา อากาศร้อนอบอ้าวท่ามกลางผู้คนที่แออัด
ผมสามารถทนกับสภาพอากาศแบบนี้ได้ก็เพราะมีเธออยู่ตรงนั้น
เธอมักขึ้นรถไฟที่สถานีหนึ่งเสมอ เด็กสาวผู้งดงามกับผมสีขาวนวล เธออาจจะเป็นนักเรียนแลกเปลี่ยนจากต่างประเทศหรือไม่ก็อะไรสักอย่าง ดวงตาและสันจมูกของเธอค่อนข้างเด่นชัดพร้อมทั้งปล่อยบรรยากาศเย็นยะเยือกออกมา
ดวงตาของเธอคมได้รูปและไม่ค่อยแสดงสีหน้าออกมาให้เห็น
ผมจะไม่เข้าหาเธอ ไม่อยากเข้าใกล้ถึงขั้นสนิทชิดเชื้ออะไรแบบนั้น
…….แน่ล่ะสิ ส่วนหนึ่งก็เพราะผมเห็นนักเรียนคนอื่นที่พยายามเข้าไปคุยกับเธอและถูกปฏิเสธในทันที ใครก็ตามที่เข้ามาใกล้เธอไม่ว่าชายหรือหญิงจะต้องถูกบรรยากาศกดดันกลับไป……ไม่ก็ถูกปฎิเสธเพราะพยายามเข้าไปจีบเธอจนต้องรีบย้ายขบวนหนี
จนถึงตอนนี้เหลือแค่ผมกับเธอเท่านั้นที่โดยสารรถไฟขบวนนี้
มีเหตุผลอีกอย่าง…..จะว่ายังไงดีล่ะ? ผมคิดว่าเธออาศัยอยู่ในโลกที่แตกต่าง เธอเหมือนไอดอลหรือนักแสดงไม่ก็คนดังในทีวี
ถึงแม้ว่าคนที่ประทับใจจะยืนอยู่ตรงหน้าผมก็ไม่มีความกล้าพอที่จะเข้าไปชวนคุยหรอก
อย่างแรกเลย ว่ากันว่าผู้หญิงสามารถรับรู้ได้ว่าคุณกำลังมองพวกเธอแบบไหน ถ้าเป็นผมล่ะก็คงจะกลัวผู้ชายที่เอาแต่จ้องตลอดเวลาแล้วพยายามเข้ามาชวนคุยแน่
เพราะงั้นผมถึงอยู่ดูจากระยะไกล
วันแล้ววันเล่า
จนกระทั่ง…
คงจะเพราะผมเฝ้ามองเธอมาโดยตลอดเลยทำให้รู้ว่าวันนี้เธอมีบางอย่างผิดปกติไป
การแสดงออกของเธอแข็งทื่อ ไม่สิ ถึงปกติจะแข็งอยู่แล้วก็เถอะ แต่นี่มันมีบางอย่างที่ต่างออกไป
เกิดอะไรขึ้นกับเธอรึเปล่านะ?
และมันก็เป็นแบบที่ผมคิด ผมสังเกตเห็นอะไรบางอย่างที่ผิดปกติ
…..ชายวัยกลางคนกำลังล้วงมือเข้าไปใต้กระโปรงเธอ
—ไอพวกลวนลาม
ถึงพยายามจะเข้าไปหยุดเขา แต่รอบข้างมีคนมากเกินไป
…..ยืนดูต่อไปงั้นหรอ? ไม่ล่ะ เป็นความคิดที่แย่มาก
‘ก็ถูกแล้วนี่นะ เรามันเห็นแก่ตัวโคตรๆ…’
ผมเมินเสียงในหัวใจก่อนจะหายใจเข้าลึกๆและ…
“ลุงคนนั้นเป็นโรคจิต!!!”
ตะโกนออกมา…
ตอนนั้นเองที่ตาลุงคนนั้นสะดุ้งเฮือกแล้วรีบเดินออกไปอย่างรวดเร็ว ผู้คนรอบๆเขาดูจะรำคาญเจ้าตัวแต่ก็ไม่ได้พยายามจะจับเขาไว้ หรือบางทีผมควรจะตะโกนไปว่า ‘ไอลุงตรงนั้นไง!! นั่นน่ะ!!!’ แต่ก็ต้องหยุดความคิดเมื่อได้เห็นใบหน้าของเธอ
เธอมองมาที่ผมด้วยใบหน้าที่สั่นเทา…
◆◆◆
“นี่ ฉันได้ข่าวมาว่าเมื่อเช้ามีโรคจิตอยู่แถวสถานีรถไฟใกล้ๆนี้ นายรู้อะไรบ้างป่ะ?”
“……ไม่ล่ะ ไม่รู้เลย”
เพื่อนของผม ‘มาจิซากะ เออิจิ’ พูดขึ้นมาลอยๆในขณะที่ผมพยายามหันหน้าหนี
“หรอ? ไม่รู้หรอ? เหมือนจะได้ยินมาอีกว่าเจ้านั่นอยู่บนรถไฟขบวนเดียวกับแฟนแกด้วยนี่ ไม่รู้อะไรเลยจริงดิ?”
“……ก็บอกว่าไม่รู้ไง”
“เอาเถอะ ไม่รู้ก็ไม่รู้ นายไม่ได้เป็นคนทำใช่ไหมล่ะ?”
“แน่สิฟะ….”
ผมเล่าเรื่องของเธอให้เออิจิไปแล้ว
“ที่สำคัญกว่านั้นเลยนะ ทำไมแกยังหาแฟนไม่ได้อีกเล่า?”
“เปลี่ยนเรื่องแล้วหรอ? เอาเถอะ ฉันว่านายน่าจะเข้าใจผิดไปหน่อยนะ ไม่ใช่หาไม่ได้แต่ไม่อยากหาต่างหาก”
“เห้ออ~ นี่แกอยากใช้ชีวิตวัยรุ่นโดยในรั้วโรงเรียนโดยไม่มีแฟนเลยแม้แต่คนเดียวเนี่ยนะ?”
“จะมีหรือไม่มีมันก็ไม่ใช่ตัวกำหนดคุณค่าของชีวิตวัยรุ่นสักหน่อย….ก็คิดอยู่หรอกว่ามันคงจะสนุกขึ้นถ้ามี แต่ตอนนี้ฉันแค่สนุกกับการเรียนหนังสือก็พอแล้ว ก็มีแอบคิดล่ะนะว่าความคิดอาจจะเปลี่ยนถ้าเจอคนที่ชอบ”
น่าเสียเดียที่ผมไม่มีคนที่ชอบหรอก
“หืม~ แล้วแม่สาวบนรถไฟนั่นล่ะ?”
“เธออยู่คนละโลกกับฉัน ถ้าให้ยกตัวอย่าง ฉันชอบนักแสดงหรือพวกไอดอลนะแต่ถ้าจะให้ตกหลุมรักล่ะก็คงเป็นไปไม่ไหวหรอก เพราะคำว่า ‘เป็นไปไม่ได้’ ลอยอยู่ในหัวตลอดเวลาไง อีกอย่าง เธอสวยขนาดนั้นก็น่าจะมีแฟนสักคนสองคนนั่นแหละน่า”
“ถ้าเธอมีสองคนก็แย่สิ แต่เอาเถอะ เข้าใจที่นายจะสื่ออยู่หรอก”
ผมพยักหน้ากับคำพูดของเออิจิ
“แต่ฉันว่าเธอไม่น่ามีหรอก…?”
“หืม? เมื่อกี้นายพูดอะไรรึเปล่า?”
“เปล่า ไม่มีอะไรหรอก ช่างเรื่องนั้นไปเถอะ วันนี้ไปร้องเกะกันไหม?”
“โอ้ ฟังดูน่าสนนี่น่า”
“เนอะ”
ถึงจะมีหลายอย่างเกิดขึ้นมากมายแต่ผมว่าชีวิคตัวเองกำลังค่อยๆกลับเข้าสู่กิจวัตรประจำวันตามปกติแล้วแล้ว
—นั่นเป็นสิ่งที่ผมคิดล่ะนะ
◆◆◆
ระหว่างที่รถไฟกำลังเคลื่อนที่ไปมา ในขณะที่ผมกำลังเล่นโทรศัพท์อยู่นั้น
ผมรู้สึกได้ว่ามีอะไรมาแตะที่ไหล่
บางทีอาจจะเป็นประเป๋าของใครสักคนล่ะมั้ง? ผมเมินมันและไม่สนใจอีก
แต่แล้วผมก็โดนแตะไหล่อีกครั้ง
“….นี่”
มันต้องเป็นจินตนาการของผมแน่ๆ เพราะงั้นแหละเมินต่อไปซะ!
แตะ แตะ
“เอ่อคือ ขอโทษนะคะ…?”
“คะ ครับ? เรียกผมหรอครับ?”
ผมเผลอส่งเสียงงัวเงียออกมาโดยไม่ตั้งใจ เมื่อหันกลับไปกลับพบ—
เด็กสาวคนนั้นกำลังยืนอยู่
เส้นผมและผิวพรรณของเธอขาวนวลราวกับหิมะ ดวงตาของเธอมีสีฟ้าสวยงามและขนตาของเธอยาวสวย
ใบหน้าของเธอคมและสง่างาม สีหน้าของเธอไม่เปลี่ยนแปลงไปจากตอนปกติมากนัก ผมคิดว่าเธอทั้ง……สวยและน่ารัก
“….เอ่อ”
เสียงที่ฟังดูคล้ายกระดิ่งอันแผ่วเบาของเธอทำให้ผมกลับมามีสติอีกครั้ง
เวรละ เธอจ้องเขม็งเลย…
“……มีอะไรหรอครับ?”
ไม่รู้ว่าเพราะอะไร ผมสามารถกลับมาเก๊กเสียงได้ ผมพยายามไม่มองร่างกายส่วนบนที่เย้ายวนของเธอ เพราะงั้นเลยมองไปที่ดวงตาของเธอแทน
ผมรู้สึกแปลกใจกับความสูงของเธอที่ไม่ได้ต่างจากผมมากนัก และนอกจากนั้น…
—เธออยู่ใกล้ผมสุดๆ บนรถไฟมีคนเยอะมาก เมื่อเราเงยหน้ามองกันเราใกล้กันมากจนผมขยับเข้าไปหาก็สามารถจูบเธอได้เลยผมเอาหน้าเข้าไปใกล้ๆ
เอาเถอะ ผมไม่ทำเหมือนไอโรคจิตนั่นหรอก
“เอ่อ……คุณช่วยฉันไว้เมื่อวันก่อน ฉันเลยอยากขอบคุณน่ะค่ะ”
“……อา ตอนนั้นเอง…..? ไม่เป็นไรหรอกครับ….”
ผมเคยคิดว่าตัวเองพูดภาษาสุภาพกับคนอื่นคล่องปล้วนะ ไม่ว่าจะกับครูหรือคนอื่นๆ
แต่ในตอนนี้ผมกลับไม่สามารถคิดคำพูดอะไรตอบกลับไปได้เลย
“…….ไม่ค่ะ ฉัน……กลัวจริงๆนะคะ พวกคนรอบๆก็ไม่ได้เข้ามาช่วยฉัน แต่กลับมองฉันด้วย…..สายตาสกปรกแทน”
“……งั้นหรอครับ”
“เพราะงั้นแหละค่ะ ขอบคุณมากนะคะ”
พูดจบเธอก็ก้มหัวของเธอต่อหน้าผม นี่เป็นครั้งแรกที่ผมได้รับคำขอบคุณจากเด็กผู้หญิง เพราะงั้นผมเลยไม่รู้จะพูดอะไร……
“ดะ ด้วยความยินดีครับ?”
ผมตอบกลับ
เธอที่ได้ยินแบบนั้น……..เลยหัวเราะออกมา
มันต่างจากใบหน้าที่งดงามตามปกติของเธอเล็กน้อย รอยยิ้มที่ขับความน่ารักของเธอออกมานั่น
อ่า เธอยิ้มแบบนี้ก็เป็นสินะ
“….อา ขอโทษนะคะ ฉันไม่ค่อยได้ยินคำว่า ‘ด้วยความยินดี’ บ่อยๆ แต่ก็ใช่ว่าจะไม่ชอบหรอกนะคะ”
“อะ อื้ม ผมโล่งใจที่ได้ยินแบบนั้นครับ……?”
“อื้อ แล้วก็ จะพูดปกติกับฉันก็ได้นะคะ ฉันชอบใช้ภาษาสุภาพจนติดเป็นนิสัยเฉยๆ อีกอย่าง ฉันอยู่แค่ม.ปลายปี1เองล่ะค่ะ”
“…..โอ้ขอบคุณครั ….ไม่สิ หมายถึง ขอบคุณนะ ฉันก็ยังเป็นนักเรียนปี1เหมือนกัน”
เดี๋ยวนะ ทำไมผมกับเธอถึงได้คุยกับแบบนี้ล่ะ?
……ไม่ว่าจะเพราะอะไร ผมเหงื่อแตกพลั่กเลย
ถ้ายังขืนคุยต่อล่ะก็ ผมว่าชีวิตประจำวันของผมต้องเปลี่ยนไปแน่ๆ
“เอาล่ะ ช่างมันดีกว่า…….”
กลับมารักษาระยะห่างและย้อนกลับไปในตอนที่ผมเฝ้าดูเธอจากระยะไกลดีกว่า
ตอนนี้มีคนอยู่ในรถไฟไม่กี่คน เพราะงั้นผมสามารถจะย้ายไปเก้าอี้ตัวอื่นได้ได้
มันยังไม่สายเกินไป
“เดี๋ยวค่ะ”
อยู่ๆความคิดของผมก็หยุดลง
เพราะเธอกำชายเสื้อของผมอยู่
ตึกตัก! หัวใจของผมเต้นแรงผิดจังหวะ แต่นั่นก็เกิดขึ้นเพียงครั้งเดียวเท่านั้น
เพราะหลังจากเห็นสีหน้าของเธอเธอ ท่าทางของผมก็เปลี่ยนไป
ใบหน้าของเธอมัน…..
“ขอร้องล่ะค่ะ ฉันมีเรื่องอยากให้ช่วย นะคะ?”
แสดงสีหน้าราวกับเจ้าตัวกำลังทรมาณอยู่
“…… อยากให้ฉันช่วยอะไรหรอ?”
ผมพยายามตอบด้วยสีหน้าอ่อนโยนที่สุด
เมื่อเห็นผมแสดงสีหน้าแบบนั้นเธอก็มีสีหน้าโล่งใจ
…วันนี้ผมเห็นเธอแสดงสีหน้าออกมาหลายแบบจังนะ หรือว่าวันนี้จะเป็นวัน’ลัคกี้เดย์’ของผม?
ผมเผลอคิดแบบนั้นทั้งๆที่ตัวเองไม่เชื่อเรื่องดวงชะตาแท้ๆ
“เอ่อ คือ…..เรื่องคำขอนะค่ะ….”
แม้ว่าเธอจะพูดตะกุกตะกัก แต่เจ้าตัวก็มองตาของผม
“ในตอนที่ฉันอยู่บนรถไฟ ฉันอยากให้คุณช่วย……อยู่ข้างๆฉันได้ไหมคะ?”
นั่นคือสิ่งที่เธอขอ
ในตอนนั้น สติของผมก็กระเจิง
ทำไม?
ทำไมถึงเป็นงั้นล่ะ?
ผมพยายามคิดหาคำตอบในหัว
และแล้วคำตอบก็ออกมาจนได้
“…….นี่หรือว่า เธอจะกลัวผู้ชายหรอ?”
ผมถามออกไปและเธอก็พยักหน้าตอบ……ด้วยสีหน้าที่ดูลึกลับ
ไม่แปลกใจเลยที่เด็กสาวซึ่งถูกลวนลาม……จะกลัวผู้ชาย กลัวเพศตรงข้ามหรือแม้กระทั่งเพศเดียวกัน
บนโลกนี้มีคนที่ไม่ชอบถูกจับตัวอยู่ และก็มีคนที่ไม่อยากถูกแตะตัวแม้เธอจะตายไปแล้วก็ตาม
ผมพอจะบอกได้ว่าเธอเป็นอย่างหลังซะมากกว่า
“……..เมื่อก่อนฉันเคยโดนคนแปลกหน้าสัมผัสน่ะค่ะ ฉันค่อนข้างกลัวตอนอยู่บนรถไฟ……ที่โรงเรียนก็เหมือนกัน ฉันก็รู้สึกกลัวสายตาที่พวกผู้ชายมองมาที่ฉัน…. แค่เดินออกจากบ้านมาตอนเช้าฉันก็รู้สึกกลัวแล้วค่ะ”
……งี้นี่เอง ไม่ใช่เรื่องเล่นๆเลยแฮะ
แต่ก็ยังเหลือคำถามอยู่อีก…
“ทำไมถึงเป็นฉันล่ะ?”
—นั่นแหละสิ่งที่ผมสงสัย
ผมเป็นเพียงคนแปลกหน้าที่ช่วยเธอไว้แค่ครั้งเดียว
“….เอาจริงๆ นี่เป็นทางเลือกที่เสี่ยงมากๆเลยนะ เธออาจจะแค่โชคดีก็ได้ ฉันก็แค่คนแปลกหน้า เป็นหนึ่งในพวกผู้ชายที่เธอกลัวนะ”
ไม่รู้ว่าทำไมผมถึงรู้สึกผิดหวังมาก
อาจจะเป็นเพราะผมแค่กลัวว่าชีวิตประจำวันของตัวเองจะเริ่มยุ่งเหยิงก็ได้?
“ฉันอยากให้เธอลองคิดใหม่อีกสักครั้งนะ อาจจะขอเพื่อนผู้หญิงหรือไม่ก็เด็กผู้ชายที่ไว้ใจได้ไง”
“….ฉันไม่มีหรอกค่ะ”
เธอพูดขัดผม
“คุณคือคนเดียวที่ฉันรู้จัก….”
เสียงของเธอดังไปถึงหูของผมอย่างชัดเจน
“ไม่อยากจะยอมรับหรอกค่ะ แต่ฉันไม่มีเพื่อนที่เชื่อใจได้เลย เพราะงั้นฉันถึงเลือกจะเดิมพันกับคุณไงล่ะคะ”
เธอวางมือไว้บนหน้าอกของผม
“จริงอยู่ที่สักวันเวลาจะช่วยแก้นิสัยพวกนั้นเอง แต่ ‘สักวัน’ ที่ว่าอาจจะทำให้ฉันพลาดโอกาสดีๆไปค่ะ! ทั้งเรื่องความสัมพันธ์ การเรียน หรือแม้กระทั่งการสอบ ….หรืออาจจะรวมถึงเรื่องอย่างอื่นก็ได้”
……นี่ผมกำลังโดนคุกคามอยู่รึเปล่านะ?
“ฉันไม่ว่าหรอกค่ะถ้าคุณจะคิดว่าฉันกำลังคุกคามคุณอยู่…แต่ถึงอย่างนั้น ฉันก็จำเป็นต้องพยายามลบความกลัวนี้ออกไปให้ได้ค่ะ”
เธอแสดงสีหน้ารู้สึกผิดออกมา
……บางทีอาจจะมีเหตุผลอยู่ก็ได้นี่นะ
“แล้วก็ เหตุผลที่ฉันเลือกคุณ เหตุผลธรรมดามากค่ะ เพราะคุณนั้นต่างจากคนอื่น คุณไม่มองที่อื่นของร่างกายฉันเลยนอกจากหน้านี่คะ ….ก็ตอนที่เราคุยกันคุณเอาแต่จ้องตานี่นา”
ถึงผมจะแปลกใจแต่ก็พยักหน้าเห็นด้วยกับสิ่งที่เธอพูด
“……เข้าใจแล้ว ฉันจะอยู่ข้างๆเธอจนกว่าจะลงรถไฟก็แล้วกัน”
ก็ไม่มีเหตุผลที่ต้องปฎิเสธนี่นะ
“..…ขอบคุณมากนะคะ”
พอผมพยักหน้าเธอก็ดูผ่อนคลายลง….และยิ้มออกมา
หลังจากนั้นเธอก็ส่งเสียงออกมา
“ฉันยังไม่ได้แนะนำตัวเลยค่ะ”
“……จะว่าไปก็”
เธอกระแอมเล็กน้อยแล้วมองมาที่ตาของผม
“ฉันชื่อชิโนโนเมะ นากิค่ะ ฉันรู้ว่าภายนอกฉันดูเหมือนชาวต่างชาติก็จริง แต่ฉันถูกสามีภรรยาคู่หนึ่งรับเลี้ยงค่ะ เพราะงั้นชื่อก็เลยเป็นแบบนี้ นอกจากร่างกาย จะมองว่าฉันเป็นคนญี่ปุ่นแท้ๆก็ได้นะคะ”
—ชิโนโนเมะ นากิ
สังสัยจริงๆว่าทำไมหน้าตาเธอถึงเหมือนชาวต่างชาตินัก
ชื่อนี้ดูเข้ากับเธอดีแฮะ
“ฉันชื่อ มิโนริ โซตะ”
“อื้อ ฝากตัวด้วยนะมิโนริคุง”
พูดจบเธอก็จับมือผมอย่างเขินๆ
จากนั้นเธอ— ชิโนโนเมะ นากิ ก็ยิ้มออกมา
มันเป็นรอยยิ้มอ่อนโยนที่ผมไม่เคยเห็นมาก่อน รอยยิ้มอันอบอุ่น
หลังจากวันนั้น ชีวิตประจำวันของผมก็เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง
◆◆◆
— เรื่องนี้ผมฝึกแปลนะครับ มีตรงไหนไม่ชอบก็สามารถติชมได้
— ผมไม่ได้แปลแบบตรงตัวนะครับ มีปรับเปลี่ยนบางคำไปตามบริบท แต่รับรองว่าข้อความไม่เพี้ยนแน่นอน