(WN) หลังจากช่วย [องค์หญิงน้ำแข็ง] จากโรงเรียนอื่น เราก็เริ่มต้นด้วยการเป็นเพื่อนกันล่ะครับ - ตอนที่ 2 องค์หญิงน้ำแข็งจากโรงเรียนข้างๆ 'ซื่อบื้อ' เรื่องระยะห่างล่ะ
- Home
- (WN) หลังจากช่วย [องค์หญิงน้ำแข็ง] จากโรงเรียนอื่น เราก็เริ่มต้นด้วยการเป็นเพื่อนกันล่ะครับ
- ตอนที่ 2 องค์หญิงน้ำแข็งจากโรงเรียนข้างๆ 'ซื่อบื้อ' เรื่องระยะห่างล่ะ
Chapter 2 : องค์หญิงน้ำแข็งจากโรงเรียนข้างๆ ‘ซื่อบื้อ’ เรื่องระยะห่างล่ะ
“นี่ๆ รู้อะไรไหม?”
“ไม่รู้เฟ้ย”
“แบบว่า คุณองค์หญิงน้ำแข็งของโรงเรียนข้างๆเนี่ย ไม่เย็นชาไปหน่อยหรอ—”
“องค์หญิงน้ำแข็ง?”
พอผมถามกลับไป เออิจิก็ร้องออกมาว่า ‘ไม่นะ’ ออกมา
ผมจ้องไปที่เจ้าตัวก่อนที่เขาจะถอนหายใจแล้วยอมเปิดปาก
“ก็สาวที่นายปิ๊งไง”
……?
……อ๋อ
“นายหมายถึงผู้หญิงบนรถไฟน่ะเหรอ? ฉันก็ไม่ได้ชอบหรือเกลียดเป็นพิเศษหรอก……แล้วก็นะ ทำไมเธอถึงถูกเรียกว่าองค์หญิงน้ำแข็งล่ะ?”
“……คร้าบบบๆ ไอฉันก็ไม่อยากทำลายความฝันของนายหรอกนะ โอเค๊? โอเคนะ? เหตุผลที่สาวคนั้นถูกเรียกว่า ‘องค์หญิงน้ำแข็ง’ นั่นก็คืออ~~”
เออิจิเริ่มอธิบายตั้งแต่ต้น
[องค์หญิงน้ำแข็ง]
สายตาของเธอเฉียบคม ท่าทางและสีหน้าของเธอก็เย็นชา ใครก็ตามไม่ว่าจะชายหรือหญิงพอพยายามเข้าไปคุยกับเธอกลับต้องตัวแข็งเพราะถูกเธอจ้องด้วยสายตาอันเฉียบคม ครอบครัวของเธอเหมือนจะเป็นชนชั้นสูงด้วย แล้วก็นะ หายากสุดๆเลยที่จะมีใครเข้าไปชวนเธอคุย
เธอไม่เคยเปิดใจให้ใครเลย และเพราะหน้าตากับการแสดงออกของเธอที่แข็งทื่อทำให้เจ้าตัวถูกตั้งฉายาว่า [องค์หญิงน้ำแข็ง] ไงล่ะ
“ฉันพึ่งนึกได้ตอนนายอธิบายรูปร่างของแม่สาวบนรถไฟให้ฟังเนี่ยแหละ ฉันว่าเธอไม่น่าเปิดปากคุยกับนายหรอกนะ เพราะงั้นเก็บเธอไว้แค่ในจินตนาการนั่นแหละดีแล้ว”
“งี้นี่เอง…..เข้าใจที่นายพยายามจะบอกแล้วล่ะ”
แต่ว่านะ….. สีหน้าของเธอไม่เคยเปลี่ยนเลยหรอ?
ผมกล้าพูดเลยว่าเธอต้องเคยผ่านเรื่องเจ็บปวดต่างๆมามากมายแน่ๆ
….แต่เอาไว้ก่อนก็แล้วกัน ไม่ว่าการแก้ปมนั่นจะดีหรือไม่ดีสำหรับเธอก็ตาม มันก็ไม่ใช่เรื่องที่ผมต้องตัดสินใจนี่นะ
ตอนนี้เรื่องที่สำคัญจริงๆคือการพยายามแก้อาการกลัวผู้ชายของเธอต่างหาก
◆◆◆
เช้าวันนี้ผมขึ้นรถไฟเช่นเดิม ปกติแล้วผมจะไปนั่งอยู่หลังขบวน แต่ไม่ใช่กับวันนี้…
ผมยืนอยู่แถวๆประตูทางเข้าออกของรถไฟเพื่อจะให้มีช่องว่างระหว่างคนที่จะขึ้นลงไปมา
จากนั้น……อีกไม่กี่สถานีต่อมา ผมก็ตะโกนเรียกเด็กสาวที่เข้ามาในรถไฟ
“ชิโนโนเมะ!”
“……อ๊ะ”
เมื่อเธอสังเกตเห็นผมเธอก็ขยับเข้ามาใกล้ๆ
จากนั้นผมก็ย้ายที่เธอให้ไปยืนพิงกำแพง ส่วนผมก็ยืนบังอยู่ตรงหน้าเธอ
“……ขอบคุณ มากนะคะ”
“ไม่เป็นไรหรอก”
เหมือนว่าเธอคงจะดูออกว่าผมพยายามกันไม่ให้เธอไปชนกับผู้ชายคนอื่น
หลังจากคุยกันไม่กี่คำ พวกเราก็ไม่ได้พูดอะไรต่อ
ความเงียบเข้าปกคลุมพื้นที่ แบบว่า ยังไงดีล่ะ ผมแค่ถูกขอให้อยู่ใกล้ๆบนรถไฟ แล้วจากนี้ผมจะทำอะไรก็ได้ใช่ไหม? หรือว่า ไม่สิ ไม่มีเหตุผลที่ต้องไปชวนเธอคุยนี่นะ
“…..คือ มิโนริคุง?”
แต่เหมือนความคิดของผมจะถูกปัดตกแฮะ
“…..ว่ายังไง?”
“เอ่อ ถ้าไม่ได้ก็ต้องขอโทษด้วยนะคะ คือฉันไม่เคยคุยกับคนอื่นแบบจริงๆจังๆมาก่อน ถ้าคุณไม่ว่าอะไร ฉันอยากจะฝึกวิธีเข้าหาคนอื่นน่ะค่ะ”
โห สารภาพตรงๆเลยแฮะ แต่ก็นะ ไม่มีเหตุผลที่ผมต้องปฎิเสธอีกนั่นแหละ
“ฉันก็ไม่มีปัญหาอะไรหรอกนะ”
“ขอบคุณนะคะ”
จากนั้นเธอก็โค้งคำนับเล็กน้อย
แล้วความเงียบก็เข้ามาปกคลุมอีกครั้ง…
“……แล้วเราจะคุยเรื่องอะไรกันดีคะ?”
ผมเกือบจะลื่นตกรถไฟแน่ะแม่คุ๊ณ!
“กะ ก็นะ เธอยังไม่เคยชวนคนอื่นคุยนี่นะ แต่ก็ใช่ว่าฉันจะชินเหมือนกัน …..อืมม เอ่อ เธอมีงานอดิเรกอะไรรึเปล่า?”
“ก็มีจัดดอกไม้นิดหน่อย……แล้วก็ชอบพิธีชงชากับการเต้นรำแบบดั้งเดิมของญี่ปุ่นน่ะค่ะ”
“โอ้…..”
เหมือนเธอจะพูดอะไรบางอย่างที่น่าตกใจออกมาแฮะ พอมาคิดๆดู เหมือนว่าครอบครัวของเธอจะเป็นชนช้นสูงด้วยนี่นา
“……แล้วของคุณล่ะคะ มิโนริคุง?”
“ฉันหรอ? ก็พวกอนิเมกับการอ่านหนังสือล่ะมั้งนะ แล้วก็ หนังสือที่ว่าเนี่ยหมายถึงหนังสือนิยายอะไรพวกนั้นน่ะ”
“อนิเมะหรอคะ……? ฉันไม่ค่อยได้ดูเลยค่ะ”
ความเงียบเข้าปกคลุมพื้นที่อีกครั้ง ผมว่าเราสองคงคงไม่เก่งเรื่องต่อบทสนทนาล่ะมั้งนะ
“…อืม อ้อ ใช่ๆ มีเหตุผลอะไรรึเปล่าที่เธอเริ่มเรียนพิธีชงชา จัดดอกไม้ หรือการเต้นรำแบบดั้งเดิมของญี่ปุ่น?”
“พ่อแม่บอกให้ฉันเรียนวิชาพวกนี้น่ะค่ะ ตอนแรกฉันรู้สึกว่ามันน่าเบื่อ แต่พอฉันลองพยายามดูฉันก็รู้สึกว่ามันน่าหลงใหลมาก ฉันเริ่มติดใจมันเมื่อตอนที่อยู่ชั้นประถม ……น่าเสียดายที่พอฉันบอกคนอื่นไปพวกเขากลับไม่รู้สึกตื่นเต้นเลยสักนิด”
“……งี้นี่เอง”
ก็เรื่องจริงล่ะนะที่เด็กสาวม.ปลายจะไม่ค่อยสนใจเรื่องแบบนี้กัน
“จะว่าไป เธออยู่ชมรมไหนรึเปล่า?”
“ก็ชมรมชงชาที่พูดถึงก่อนหน้านี้นั่นแหละค่ะ….”
“มีชมรมเกี่ยวกับพิธีชงชาด้วยสินะ….”
“ฉันเป็นสมาชิกคนเดียวของชมรมน่ะค่ะ ถ้าจะเรียกให้ถูกคงเป็นสมาคมมากกว่า”
“…….งั้นหรอ”
ผมรู้สึกประหลาดใจตั้งแต่ต้นเลย หลายๆอย่าง เช่น พิธีชงชา การจัดดอกไม้ และการเต้นรำแบบดั้งเดิมของญี่ปุ่น…ของพวกนี้เป็นสิ่งที่พบเห็นได้ในทีวี แต่ไม่เคยเห็นมันจริงๆกับตามาก่อน
“แล้วของคุณล่ะคะ มิโนริคุง? เรื่องชมรมน่ะ”
คราวนี้ชิโนโนเมะมองมาที่ผมแล้วถามบ้าง
“……ฉันอยู่ชมรมกลับบ้านน่ะ กลับบ้านแบบธรรมดาๆทุกวัน”
“แบบธรรมดาหรอคะ?”
“ก็ใช้ชีวิตเหมือนคนธรรมดาทั่วไปนั่นแหละ”
พอผมพูดไป ….เธอก็เผยยิ้มออกมา
“…ฉันอิจฉาหน่อยๆนะคะเนี่ย”
“คนเรามักจะไม่พอใจในสิ่งที่ตัวเองมีหรอก ……เอาเถอะ ฉันก็หวังว่าตัวเองจะใช้ชีวิตแบบที่ต้องการอยู่ล่ะนะ”
ความคิดมันอาจจะเปลี่ยนไปก็ได้ถ้าผมได้ทำกิจกรรมชมรม แต่ผมโอเคกับแบบที่ผมเป็นอยู่ตอนนี้แล้ว
……ถ้าเจ้าเออิจิมาได้ยินเข้าคงจะโกรธเป็นฟืนเป็นไฟแน่ เพราะงั้นผมจะไม่พูดเรื่องไม่เป็นเรื่องแล้วกัน
“มิโนริคุง—“
ชิโนโนเมะกำลังจะพูดอะไรสักอย่าง แต่ตอนนั้นเองเธอก็มาถึงสถานีเป้าหมายแล้ว
“—มะ ไม่มีอะไรค่ะ ไว้เจอกันพรุ่งนี้นะคะ”
“อื้อ ไว้เจอกันพรุ่งนี้นะ”
และจากนั้นส่วนของวันนี้ก็จบลง
◆◆◆
“โอ๊ะ? อะไรเนี่ย? วันนี้นายอารมณ์ดีหรอ?”
“……เห็นเป็นงั้นหรอ? ไม่ใช่ว่านายจินตนาการเอาเองรึไง?”
ทันทีที่ผมมาถึงในตอนเช้า เออิจิก็พูดกับผมแบบนั้น
“แล้วอารมณ์ดีเรื่องอะไรอ่ะ? หรือว่านายจะเจอสาวที่ชอบแล้ว?”
“ถ้าเจอก็ดีสิ……”
“อะ โอ้ โทษที”
“เออิจิ นายกับแฟนเป็นไงบ้าง?”
“แน่นอนว่าพวกเราน่ะรักกันสุดๆ”
“ดีใจที่ได้ยินแบบนั้นนะ……”
เอจิมีแฟนอยู่แล้ว พวกเขาเป็นเพื่อนร่วมชั้นกันตอนสมัยมัธยมต้น ถึงจะเรียนม.ปลายคนละที่กันก็จริง แต่ดูเหมือนว่าทั้งสองคนจะเข้ากันได้ดีเลย แล้วตอนนี้ผมก็สนิทกับเธอแล้วด้วย
“ฉันล่ะอยากให้แกมีแฟนเร็วๆจัง มันจะเปลี่ยนโลกทั้งใบไปเลยนะรู้ป่าว?”
“ไม่ล่ะ ตอนนี้ฉันยังไม่อยากได้สักหน่อย”
“ถึงจะพูดแบบนั้นก็เถอะ ถ้านายไม่คิดมากฉันแนะนำสาวๆให้ได้นะ?”
“ไว้สักวันแล้วกันนะ”
จากนั้นเราก็คุยกันเรื่อยเปื่อย และแล้วกิจวัตรประจำวันที่โรงเรียนผ่านไปอีกครั้ง
◆◆◆
“อรุณสวัสดิ์ค่ะ”
“โอ้ อรุณสวัสดิ์นะ”
วันต่อมาก็เริ่มขึ้น
“มิโนริคุง วันนี้เราจะคุยเรื่องอะไรกันดีคะ?”
“นี่เธอผลักภาระมาให้เลยหรอ…..งั้นเอาเป็น เรื่องการเรียนเป็นยังไง?”
“ไม่เลวค่ะ”
พอผมตอบชิโนโนเมะไป เธอก็จ้องมองมาที่ผมอย่างตั้งใจ
“อา— เธอถนัดวิชาไหนหรือไม่ถนัดวิชาไหนบ้างล่ะ?”
“ฉันถนัดวิชาประวัติศาสตร์โลกและประวัติศาสตร์ญี่ปุ่นค่ะ มันค่อนข้างน่าสนใจเลย ปกติแล้วฉันก็ถนัดวิชาอื่นๆ เหมือนกัน….แต่ฉันไม่ถนัดวิชาภาษาอังกฤษน่ะค่ะ จริงๆนะคะ”
ผมแปลกใจมากที่ได้ยินแบบนั้น แล้วผมก็กลอกตาไปมา
“เธอฟังอังกฤษไม่ออกหรอ?”
“……ค่ะ มันค่อนข้างน่าอายเลย เวลาถูกชาวต่างชาติเข้ามาทักตอนเดินอยู่บนถนนฉันก็จะเริ่มรนน่ะค่ะ”
…….ผมอดไม่ได้ที่จะหัวเราะเบาๆ จากนั้นชิโนโนเมะก็ทำหน้าบึ้งใส่
“ขอโทษที ฉันผิดเองแหละ มันขัดกับรูปลักษณ์ภายนอกของเธอน่ะ ….ถ้าอย่างนั้นเปลี่ยนมาคุยเรื่องของฉันก็แล้วกัน”
ถึงจะเสียดายหน่อยๆแต่ผมก็เริ่มเปิดปากพูด
“ฉันถนัดวิชาภาษาอังกฤษแต่ไม่ค่อยถนัดจำพวกวิชาวรรณกรรมน่ะ”
“……คุณไม่ถนัดวิชาวรรณกรรมหรอคะ?”
ชิโนโนเมะเบิกตากว้างราวกับกำลังตกใจกับสิ่งที่ผมพูด
“ก็นะ ฉันไม่เข้าใจสิ่งที่พวกคนโบราณเขาคิดกันน่ะสิ แล้วก็ไม่เก่งพวกวิชาวิทยาศาสตร์อย่างฟิสิกส์ด้วย”
“แบบนี้นี่เอง…….วรรณกรรมสมัยก่อนมีคุณค่าที่แตกต่างกันกับยุคปัจจุบันนี่คะ แถมคุณค่าของมันมันยังเปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลาด้วย ……ถ้าคุณไม่รังเกียจ ฉันช่วยสอนคุณได้นะคะ ถ้าพาหนังสือเรียนมาด้วย”
“จะดีหรอ?”
“ค่ะ ….ฉันไม่เคยสอนคนอื่นมาก่อนเลย ถึงจะแค่นิดหน่อยแต่ก็หวังว่ามันจะช่วยคุณได้นะคะ”
ผมไม่แน่ใจว่านี่เป็นวิธีขอบคุณแบบปกติรึเปล่า?
แล้วผมก็ไม่แน่ใจด้วยว่านี่เป็นวิธีการขอบคุณของเธอไหม?
ถ้าผมปฎิเสธไป เธอคงจะต้องกังวลแน่ๆ
“ถ้าอย่างนั้น วันนี้เราเหลือเวลาไม่มากแล้ว บางทีคงต้องเป็นพรุ่งนี้นะคะ….”
“….อาา ใกล้ถึงแล้วสินะ”
ชิโนโนเมะพึมพำกับคำพูดของผม……
ถึงจะแค่นิดหน่อย แต่เหมือนเธอจะแสดงสีหน้าราวกับกำลังเหงาหงอย แต่หลังจากที่ผมสังเกตุเห็น เธอก็กลับมาแสดงสีหน้าไร้อารมณ์อีกครั้ง
หรือบางทีผมอาจจะคิดไปเองก็ได้
“งั้น ไว้เจอกันพรุ่งนี้นะ”
“ค่ะ ไว้เจอกันพรุ่งนี้”
ชิโนโนเมะพูดก่อนจะลงจากรถไฟไป
◆◆◆
“……เห้อออ”
“เป็นอะไรไป เออิจิ หยุดถอนหายใจได้แล้ว”
“ไม่ไหวหรอก รู้ใช่ไหมว่าอีกไม่ถึงเดือนก็ต้องสอบกลางภาคแล้วอ่ะ? ฉันจะเป็นซึมเศร้าแล้วนะ”
“….งั้นหรอ?”
“ไอฉันน่ะไม่เป็นไรหรอก แต่……แฟนฉันเนี่ยสิ”
“โอ๊ะ ……พอนายพูดขึ้นมาก็”
แฟนของเออิจิไร้ความสามารถในการเรียนแบบสุดๆ ถึงขนาดที่่ว่าเขาต้องเค้นความพยายามออกมาเพื่อสอนเธอ อีกอย่าง เหมือนเธอจะใกล้ติดตัวแดงแล้วด้วยสิ
“เอาเถอะ การสอนหนังสือเธอก็เป็นส่วนนึงในชีวิตวัยรุ่นของนายนี่นะ”
“ก็จริง ไม่ใช่ว่าฉันไม่ตั้งใจสอนเธอหรอกนะ แต่ฉันเอารางวัลมาล่อเธอได้ด้วยนะรู้ป่าว? แล้วพอสอบเสร็จเราก็ไปทำอย่างอื่นกันต่อได้อีกน่ะ”
“นี่แกกำลังอวดฉันอยู่รึไง?”
“ไม่รู้สินะ”
ถึงจะรู้อยู่แล้วว่าพอเจ้าตัวหัวเราะเมื่อไหร่เออิจิร่างปีศาจก็จะโผล่ออกมา แต่ผมก็อดถอนหายใจไม่ได้จริงๆ
“ถ้าเธอพยายามจริงๆก็คงไหวล่ะนะ”
“ถ้าเธอพยายามจริงๆเธอต้องทำได้ต่างหาก”
“ฮ่า ฮ่า นั่นสินะ”
จากนั้นผมก็ถอนหายใจอีกครั้งให้กับเออิจิที่ยืนกำลังหัวเราะอยู่
◆◆◆
“อันนี้หมายความแบบนี้ค่ะ…..”
ในเช้าวันถัดมา ผมก็มาเรียนหนังสือกับชิโนโนเมะ
ในตอนแรกก็กะจะให้เธอช่วยแค่วิชาวรรณกรรม แต่คุยไปคุยมาหัวข้อวิชามันกลับงอกขึ้นมาเรื่อยๆซะงั้น
ผมไม่เคยตั้งใจเรียนวิชาอื่นนอกจากภาษาอังกฤษเลยน่ะ
“แล้วตรงนี้ก็….”
ถึงจะรู้สึกผิด แต่พอเธอบอกว่า [การสอนหนังสือเนี่ย สนุกกว่าที่ฉันคิดอีกนะคะ] แล้วดูเหมือนว่าเจ้าตัวจะสนุกจริงๆซะด้วย…เพราะงั้นผมก็เลยปล่อยให้เธอสอนวิชาอื่นต่อไปซะเลย
แต่ว่า มันดันติดปัญหาใหญ่อยู่อย่างหนึ่งเนี่ยสิ
ระยะห่างของเธอกับผม มันใกล้กันมากๆ
เอาเถอะ ก็ช่วยไม่ได้หรอก เราดูหนังสือเล่มเดียวกันอยู่นี่นะ นิ้วของเธอที่ชี้นู่นชี้นี่สัมผัสกับมือของผมเป็นครั้งคราว แถมหน้าเธอยังอยู่ใกล้มากๆด้วย
แล้วกลิ่นก็ยังหอมอีกต่างหาก
“……? มีอะไรรึเปล่าคะ?”
“ปะ เปล่า ไม่มีอะไร”
เมื่อเห็นผมเป็นแบบนั้น ชิโนโนเมะจึงเอียงศีรษะเล็กน้อยก่อนที่เธอจะพยักหน้าราวกับว่าเข้าใจ
“ก็จริงที่มันแคบไปหน่อย ถ้าหาที่นั่งได้ฉันก็คงเขียนไปสอนไปได้อยู่หรอกค่ะ……”
“อะ อื้ม……นั่นสินะ”
ผมเออออไปตามความเข้าใจผิดของเธอ
จากนั้นชิโนโนเมะก็เริ่มเหลือบมองมาที่ผม ราวกับเธออยากจะพูดอะไรบางอย่างก่อนจะกระแอมออกมา
“……ถ้ามิโนริคุงไม่รังเกียจ อยากจะมาติวหนังสือด้วยกันไหมคะ?”
นั่นคือสิ่งที่ออกมาจากปากเธอล่ะ