(WN) Akuma Koujo ~Yurui Akuma no Monogatari~ - ตอนที่ 4 ฉันอายุได้สองขวบแล้วค่ะ
“……แบบนี้ไม่ดีแน่ค่ะ”
รอบๆนี้ไม่มีใคร….. ฉันรับรู้ได้ถึงเสียงหวานเล็กๆที่ดังมาจากห้องเล็กๆห้องหนึ่งในคฤหาสถ์
ในห้องนั้นมีกลิ่นของสีใหม่ที่ยังคงหลงเหลืออยู่อย่างเจือจาง และนอกจากเตียงเจ้าหญิงขนาดใหญ่ที่ตั้งอยู่กลางห้องก็ยังมีโต๊ะเครื่องแป้งขนาดเล็กที่เด็กๆสามารถนำมาใช้เล่นแต่งสวยได้
ในแวบแรกที่มองอาจจะดูเหมือนไม่มีคนอยู่ในห้อง แต่เปล่าเลย
แม้ว่าในโลกนี้แก้วนั้นถือว่าเป็นวัสดุที่มีค่าเป็นอย่างมากกระนั้นภายในห้องกลับถูกตกแต่งด้วยกระจกขนาดยักษ์ที่ใหญ่เสียจนคนที่เห็นต้องอยากรู้ว่ามันแพงขนาดไหนกันอย่างแน่นอน
และผู้ที่กำลังยืนอยู่เงียบๆในห้องแห่งนั้นก็คือเด็กผู้หญิงที่มีเส้นผมสีทองอร่าม
ใช่แล้วล่ะ นั่นคือฉันเองค่ะ
ฉันอายุได้2ขวบแล้ว และตัวฉันในตอนนี้ก็กำลังตะลึงจนพูดไม่ออกหลังจากได้เห็นหน้าตาของตัวเองแบบชัดๆเป็นครั้งแรก
ท่านแม่ของฉันเป็นผู้หญิงที่สวยมากๆ
ผมสีบลอนด์ของเธอก็นุ่มฟูสุดๆ และเพราะอย่างนั้นทุกครั้งที่ท่านแม่อุ้มฉันขึ้นมาบนแขนของเธอฉันก็จะใช้โอกาสนั้นเอาหน้าซุกเข้าไปในเส้นผมของเธออยู่เสมอ
ในวันเกิดครั้งแรกของฉัน ฉันก็ได้เจอกับท่านพ่อเป็นครั้งแรก คิดว่าท่านคงจะมัวแต่ยุ่งอยู่กับงานล่ะมั้ง ท่านพ่อเลยดูจะรู้สึกผิดที่ไม่ได้กลับบ้านมาหาครอบครัวบ่อยนัก
ท่านพ่อเองก็เป็นคนหน้าตาดีสุดๆเช่นกัน ถ้าให้เดาอายุของท่านก็คงจะราวๆยี่สิบกลางๆล่ะมั้งคะ? ด้วยหน้าตาที่พูดได้ว่าหล่อเหลาพร้อมกับผมสีบลอนด์แดงเลยทำให้รู้สึกมีเสนห์น่าดึงดูดปล่อยออกมา
การได้เป็นลูกสาวของทั้งสองท่านทำให้ฉันรู้สึกตื่นเต้นว่าฉันจะโตไปมีหน้าตายังไงกันนะ
ถ้าเป็นระดับเจ้าชายก็คงจะดูหวังสูงไปหน่อย แต่อย่างน้อยๆก็ขอให้สวยพอที่จะตกพวกลูกหลานขุนนางวงศ์ตระกูลดีๆได้ และในขณะที่ฉันกำลังมีความคิดอย่างกับพวกหนูหวังตกถังข้าวสารนั้นเองฉันก็รู้สึกโล่งราวกับภูเขาถูกยกออกจากอกเพราะอนาคตของฉันหลังจากนี้จะต้องโรยไปด้วยกลีบกุหลาบอย่างแน่นอนค่ะ
ในตอนที่ฉันยังเป็นทารกอยู่นั้น ตัวฉันที่ได้เห็นตัวเองขณะที่ถูกอุ้มอยู่บนแขนของท่านแม่ก็ได้คิดว่าถ้าฉันเป็นเด็กที่น่ารักขนาดนี้อนาคตก็คงจะไม่มีปัญหาอะไรแน่
……ทั้งๆที่คิดไว้แบบนั้นแท้ๆ
“……นี่มัน ไม่จริงใช่ไหม”
ไม่ๆๆ ไม่ใช่ว่ารูปร่างหน้าตาของฉันมันแย่หรืออะไรแบบนั้นหรอกนะคะกลับกันมันเป็นไปตามที่ฉันคาดการณ์ไว้
เพียงแต่ว่า มันเป็นการคาดการณ์ล่วงหน้าไปในอนาคตจากนี้อีกหลายปีต่างหาก ฉันคิดไว้ว่าถ้าความงดงามของฉันเริ่มผลิบานในช่วงอายุสักสิบปีและก่อนจะถึงตอนนั้นก็รักษารูปร่างหน้าตาน่ารักไร้เดียงสาไว้ก็คงจะดี แต่ว่า….
เมื่อฉันเอียงคอเส้นผมสีทองสลวยที่ไร้รอยหยิกให้เห็นก็ค่อยๆขยับอย่างละเมียดละไมราวกับการไหลของคลื่นน้ำ
นี่มัน……ไม่ใช่ว่าสีเหมือนร่างเก่า…เหมือนกับสีขนของฉันเป๊ะๆเลยนี่นา…? ไม่มีความไกล้เคียงกับสีบลอนด์เลยสักนิด นี่มันอย่างกับเส้นใยสีทองซะมากกว่า
สีผิวของฉันก็เหมือนกับคนผิวขาวทั่วๆไปอยู่หรอกแต่ดันหาร่องรอยของรูขุมขนไม่เจอเลยสักนิด นี่มันอะไรกันล่ะคะเนี่ย….
ในส่วนของหน้าตา ฉันสืบทอดส่วนดีๆของทั้งสองท่านมาทั้งหมด ริมสีปากจิ้มลิ้มสีชมพูสดและขนตายาวสวยได้รูปนั้นช่วยทำให้มีเสนห์น่าดึงดูด
หากตัดเรื่องที่หน้าตาของฉันมันออกจะดูเด่นเกินไปเสียหน่อย ถ้าแค่นั้นฉันก็คงจะรู้สึกยินดีที่เกิดมามีหน้าตาดีไปแล้ว….และเรื่องก็จะจบอยู่แค่นั้น แต่ว่า ปัญหาจริงๆมันต่อจากนี้ต่างหาก
ร่างกายของฉันมันแบบว่า………ไร้ที่ติเกินไป
เส้นเลือดเอย โครงกระดูกเอย หรือว่าจะกล้ามเนื้อเอย สิ่งมีชีวิตปกติเคยจะมีจุดด่างพร้อยในหัวข้อที่กล่าวมาอยู่บ้างอย่างไม่มีข้อยกเว้นเมื่อเติบโตขึ้นเรื่อยๆซึ่งเป็นผลจาก วิถีชีวิต ความเหนื่อยล้า พฤติกรรมการนอน บลาๆๆ แต่ว่าสิ่งเหล่านั้นมันไม่มีบนฉันแม้แต่น้อยนี่ซิ
ถ้าแค่นั้นก็คงจะพอรับได้อยู่หรอกค่ะ แค่เวลาโดนไอ้การชมประเภทแบบ [สวยอย่างกับตุ๊กตาเลยนะคะ] คงจะให้ความรู้สึกว่าไม่ได้เป็นการพูดเปรียบเปรยเกินเหตุแต่เป็นการบอกตามข้อเท็จจริง
แต่ฉันไม่ใช่ตุ๊กตาซักหน่อย ถ้าให้พูดตรงๆ ฉันไม่ชอบตุ๊กตา(ตัวฉัน)แบบนี้เลยซักนิด
สายตาของฉันมันมีแรงกดดันเกินไป
นัยต์ตาของฉันคือสีชมพูทองอ่อนๆที่คล้ายคลึงกับท่านพ่อและท่านแม่
ทั้งๆที่คล้ายกับทั้งสองท่าน แต่ตาของฉันที่ควรจะมีสีที่อ่อนโยนกลับแผ่รังสีความกดดันเล็ดลอดออกมาไปทุกทิศทางหรือจะบอกว่าตาของฉันมันเรืองแสงแบบแปลกๆดีล่ะ หลักฐานน่ะหรอคะ รู้ไหมว่ามันแย่ถึงขั้นที่ว่าตอนที่ฉันจ้องไปที่คุณเมดคนหนึ่งที่ควรจะเริ่มชินกับฉันได้แล้วตัวเธอยังตัวกระตุกเลย
นี่มันไม่ใช่แล้ว เด็กทารกสองขวบโลกไหนน่ากลัวขนาดนี้กันคะเนี่ย
มันเกิดอะไรขึ้นกับร่างกายของฉันในช่วงสองปีที่ผ่านมากันล่ะคะเนี่ย? หรือว่าเป็นเพราะเส้นผม? เป็นความผิดของไอ้เจ้าเส้นผมปีศาจนี่งั้นหรอ? การโกนหัวหรืออะไรทำนองนั้นอาจจะเป็นทางออกที่มีประสิทธิภาพก็จริง แต่ถ้าทำแบบนั้นมันจะกลายเป็นการแก้ปัญหาที่ปลายเหตุเกินไป
ฉันน่ะอยากจะมีชีวิตอยู่บนโลกนี้ในฐานะของมนุษย์ผู้หญิงทั่วๆไป
ตอนแรกฉันก็มีความคิดว่าบางทีมนุษย์ในโลกนี้คงไม่เอะใจหรือรู้สึกผิดปกติกับรูปลักษณ์ภายนอกของฉันหรอกมั้ง
แต่ฉันรู้ดี การมีความรู้จากโลกแห่งความฝันทำให้ฉันเข้าใจเกี่ยวกับรูปลักษณ์ของตัวเองดี
และความเข้าใจนั่นก็ทำให้ฉันรู้สึกสั่นกลัว
“……นี่ ไม่ใช่รูปลักษณ์ของมนุษย์”
ภายในห้องส่วนตัวที่ได้รับมาเป็นครั้งแรกหลังจากอายุได้สองขวบ…ฉันได้แต่พึมพำประโยคนั้นกับตัวเอง
ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมาเป้าหมายของฉันก็กลายเป็น [มีชีวิตแบบที่มนุษย์ควรจะเป็น]
ถ้าเป็นคนธรรมดาทั่วไปพูดขึ้นมันก็คงจะมีหมายความว่าให้เป็นคนดีและควรค่าแก่การชื่นชมจากผู้อื่น…..หรืออะไรทำนองนั้น แต่เป้าหมายที่ฉันพูดมันมีความหมายตามตัวอักษรแบบตรงๆ
ในเมื่อรูปลักษ์ภายนอกของฉันมันไม่เข้าพวกกับมนุษย์คนอื่นๆ ดังนั้นเพื่อที่จะตบตาพวกมนุษย์ฉันจะต้องทำตัวให้เข้าพวก เพื่ออย่างน้อยๆพวกเขาจะได้มองว่าภายในของฉันเป็นเพียงมนุษย์ธรรมดาๆทั่วไป มันเป็นวิถีชีวิตสำหรับปีศาจอ่อนแอที่หลงอยู่ในฝูงมนุษย์อย่างฉัน
พอลองมานึกดูดีๆแล้วเหมือนจะจำได้ว่าตอนท่านพ่อเห็นฉันสวมชุดสำหรับงานวันเกิดปีที่สองของฉันท่านดูจะตกใจกับอะไรบางอย่าง อย่างงี้นี่เอง ตอนนั้นคงจะตกใจกลัวฉันสินะ…
ถึงจะรู้สึกผิดต่อท่านพ่อก็เถอะแต่ฉันไม่มีทางเลือกอื่นแล้วนอกจากต้องบังคับให้ท่านชินกับรูปลักษ์ภายนอกของลูกสาวคนนี้ให้ได้
ดังนั้นรอบหน้าที่เจอกันฉันจะขึ้นไปนั่งคลอเคลียอยู่บนตักของท่านพ่อเหมือนแบบที่แมวชอบทำ เพราะนั่นน่ะเป็นงานถนัดของฉันยังไงล่ะ
เอาล่ะทีนี้เวลาก็ผ่านมาได้เดือนนึงแล้วนับตั้งแต่ที่ฉันอายุได้สองขวบ
ในวันแรกของเดือนได้มีการกำหนดไว้แล้วว่าท่านแม่ วิโอ และก็ฉัน พวกเราสามคนจะออกไปข้างนอกด้วยกัน
และก็เป็นอีกครั้งที่ฉันถูกจับมาเป็นตุ๊กตาลองเสื้อเป็นระยะเวลายาวนานและสุดท้ายก็จบลงด้วยการได้สวมชุดสุดสวยตัวหนึ่ง
มันเป็นชุดเดรสโกธิคที่ตัดจากผ้าซาตินสีน้ำเงินเข้มพร้อมกับประดับประดาไปด้วยลูกไม้ที่เยอะเสียจนไม่รู้ว่าจะเยอะไปไหน
……แต่ว่านะ ไอ้นี่มันใช่เสื้อสำหรับเด็กที่ไหนกันล่ะคะ ดูยังไงก็เสื้อสำหรับพวกผู้ใหญ่ชัดๆ เพราะงั้นสภาพมันก็เลยออกมาเป็นเหมือนชุดสำหรับผู้ใหญ่ที่ย่อลงมาให้เหลือไซส์สำหรับตุ๊กตาหรือก็คือตัวฉัน
คือแบบว่านะ ไม่ใช่ว่าไอ้แบบนี้มันแพงกว่าพวกชุดสำหรับผู้ใหญ่อีกหรอคะ? รู้กันใช่ไหมคะเนี่ยว่าปีหน้าฉันคงใส่มันไม่ได้แล้วนะ?
ให้ตายซิ…พฤติกรรมการใช้จ่ายของบ้านเราทำเอาตัวฉันที่เพิ่งจะสองขวบรู้สึกกังวลขึ้นมาเลย
“ยูรุ มีอะไรรึเปล่าจ๊ะ รู้สึกไม่สบายหรอ?”
ขณะที่ฉันคร่ำครวญกับตัวเองอยู่ในรถม้าท่านแม่ก็ถามขึ้นมาด้วยความห่วงใย
“ป-เปล่าค่ะ”
ดันเผลอทำให้ท่านแม่เป็นห่วงซะแล้ว แต่ว่าก็ดีใจอยู่นิดๆ
ฉันยิ้มให้กับความรู้สึกเหล่านั้นที่อยู่ในใจก่อนที่จะเข้าไปกอดท่านแม่แน่นๆ
เรื่องการเงินของบ้านก็อย่าพึ่งไปห่วงจะดีกว่า
เรื่องนั้นน่ะเอาไว้ก่อน วันนี้ฉันน่ะตั้งตารอที่จะได้ออกไปข้างนอกสุดๆเลยล่ะค่ะ
“ท่านแม่คะ เราใกล้ถึงรึยังคะ~?”
“อีกแป๊ปนึงนะจ๊ะ พอไปถึงแลวยูรุห้ามดื้อห้ามซนนะ ทำได้ใช่ไหม?”
“ได้ค่า~.”
อาจจะฟังดูเหมือนฉันสามารถพูดคุยได้คล่องแคล่วมากๆสำหรับเด็กที่อายุแค่สองขวบ แต่ที่จริงแล้วถ้าเกิดปิดความสามารถในการปรับแก้แปลภาษาของปีศาจล่ะก็ คำพูดที่ออกมาจริงๆจะกลายเป็นแบบนี้
“ท่าง แม คะ จา ถืง ยาง?”
“ด้ะ ค้าา~.”
สำเนียงการพูดของเด็กสองขวบนี่น่าเอ็นดูจริงๆ แล้วก็เจ้าเลห์สุดๆด้วย
แต่ว่านะถึงท่านแม่จะบอกให้ฉันทำตัวให้เรียบร้อยก็เถอะแต่ถ้าฉันคิดจะขยับไปไหนด้วยตัวเองก็จะมีใครสักคนจับฉันเข้ามากอดไว้ไม่ปล่อยให้ไปไหนทุกรอบเลยนะคะ แล้วแบบนั้นฉันจะไปทำอะไรที่ไหนได้ล่ะคะ? แค่จะเดินยังไม่ได้เดินเลย
แม้แต่ตอนนี้คุณแม่ก็ยังจับฉันอุ้มไว้ไม่ปล่อยไปไหนเลยนี่
จากที่ฉันตายไปแล้วครั้งหนึ่งเมื่อตอนพึ่งเกิดก็เลยพอจะเข้าใจอยู่หรอกว่าทำไมถึงทำตัวห่วงลูกเกินเหตุ แต่แบบนี้มันเยอะเกินไปแล้วค่ะ ถ้าเป็นเด็กปกติล่ะก็โดนขนาดนี้มีหวังคงจะเดินเป็นปกติไม่ได้แหงๆ เข้าใจกันไหมคะเนี่ยทุกๆท่าน?
ขนาดตอนอยู่ที่บ้านฉันก็ได้ทำอย่างมากแค่ตักอาหารเข้าปากเอง นอกจากนั้นเพราะเซ้นส์ในการรับรสของฉันมันค่อนข้างจะแปลกๆถ้าฉันไม่ยอมกินหรือกินน้อยล่ะก็ฉันจะโดนแย่งช้อนไปและถูกจับป้อนอีกด้วยซ้ำ
เอาล่ะกลับมาที่เป้าหมายของการออกไปข้างนอกครั้งนี้ของฉันกัน เหตุผลคือวันนี้เป็นวันที่[พิธีทดสอบความสามารถด้านเวทย์มนต์ของเหล่าเด็กๆ] ถูกจัดขึ้นที่สาขาย่อยของโรงเรียนเวทย์ประจำเมืองนี้สำหรับเด็กที่อายุสองขวบขึ้นไปหรือบุคคลที่ต้องการจะเข้ารับการศึกษาในโรงเรียน
พิธีทดสอบเวทย์มนต์…เวทย์มนต์. ใช่แล้วล่ะ วันนี้น่ะ เป้าหมายก็คือการตรวจสอบว่าฉันมีความถนัดในเวทย์มนต์ชนิดไหนยังไงล่ะ
พูดถึงแนวแฟนตาซีมันก็ต้องเวทย์มนต์นั่นแหละน้า♪
อุตส่าห์ได้เกิดใหม่เป็นปีศาจแท้ๆแต่พวกที่ฉันรู้จักเมื่อก่อนดันมีแต่พวกสมองกล้ามด้วยกำเนิด แถมไม่ต้องบอกก็น่าจะรู้ว่าป่าเถื่อนสุดๆกันทั้งนั้น พวกนั้นเอาแต่ไล่กินปีศาจตัวอื่นๆที่ดูจะมีสติปัญญากันฉันเลยตัดใจเรื่องการเรียนเวทย์มนต์ไปแล้ว
เมื่อมาถึงโรงเรียนคราวนี้ก็เป็นตาของคุณวิโอที่จะเป็นคนอุ้มฉันตอนลงจากรถม้า
“คุณวิโอ หนูเดินเองได้นะคะ?”
อ้อ จะว่าไปประโยคที่ฉันพูดเมื่อกี้ถ้าตัดฟิลเตอร์ออกมันจะกลายเป็น
“คุง บิโอ นุ เดิง เอง ด้ะ นะ?”
แต่เรื่องนั้นก็ช่างมันเถอะ
คุณวิโอที่ดูจะเข้าใจสำเนียงการพูดแบบเด็กๆของฉันได้เป็นอย่างดีส่งยิ้มอันอ่อนโยนมาให้
“ไม่ได้ค่ะ คุณคุณหนูยูรุ ดิฉันต้องขอประทานโทษเพราะข้างนอกนั้นอันตรายเกินไปสำหรับคุณหนู แล้วก็โปรดเลือกใช้คำเรียกข้ารับใช้อย่างดิฉันได้ตามที่คุณหนูต้องการโดยไม่ต้องใช้คำสุภาพก็ได้ค่ะ”
สุดยอดไปเลยค่ะคุณวิโอ สมกับที่เป็นคนที่อายุเยอะที่สุดในสามสาวเมด เธออายุได้แค่สิบเก้า ตัวสูง ผมดำสลวย และสวยสุดๆอีก
เมื่อเดินผ่านประตูทางเข้าหลักเราก็มาถึงที่ลานกว้างขนาดใหญ่
ฉันคิดว่าวันนี้ที่โรงเรียนน่าจะเป็นวันหยุดแต่ดูเหมือนจะมีเด็กวัยรุ่นหอยู่กันเยอะพอสมควร พวกหนุ่มสาวโดนเคียงข้างกันพร้อมกับสนทนากันอย่างสนุกสนาน ดีจังเลยน้า~….
ไม่ต้องแค่เวทย์มนต์ก็ได้ ถ้าเป็นไปได้ก็อยากลองเข้าโรงดรียนแบนี้ดูบ้างจังเลย
ดูเหมือนว่าทั้งท่านพ่อ ท่านแมะ และ วิโอ ทั้งสามคนเองก็เคยเป็นนักเรียนของโรงเรียนนี้เหมือนกัน
จากที่ได้ยินมาจากบทสนทนาเกี่ยวกับความทรงจำสมัยอยู่โรงเรียนของทั้งสามท่านเหมือนว่าในประเทศนี้จะมีโรงเรียนอยู่สองประเภท
ประเภทแรกคือโรงเรียนสำหรับเด็กที่ไม่มีความสามารถด้านเวทย์มนต์
ที่นั่นเด็กๆจะได้เรียนวิชาพื้นฐานทั่วๆไปหรือก็คือพวกวิชาวรรณกรรม เลข ประวัติศาสตร์ จิตสำนึก และ มารยาท และถ้าต้องการก็สามารถขอเรียนฟันดาบหลังเลิกเรียนได้ด้วย
นั่นคือคาบเรียนทั้งหมดที่จะได้รับเป็นระยะเวลาหกปีเริ่มตั้งแต่อายุเจ็ดขวบ ถึงสำหรับโลกนี้อายุยี่สิบปีก็ถือว่าเป็นผู้ใหญ่แล้วก็เถอะแต่ช่วงระยะเวลาในการเรียนมันจะสั้นไปหน่อยรึเปล่าเนี่ย?
ประเภทที่สองคือโรงเรียนเวทย์มนต์ ที่นี่เด็กๆจะได้รับการสอนเกี่ยวกับเวทย์มนต์เสริมขึ้นมาจากการเรียนวิชาทั่วไปจากโรงเรียนธรรมดาอีกที
คงจะต้องเรียนหนักน่าดูซินะคะ…ตอนแรกก็คิดไว้แบบนั้นนั่นแหละแต่กลายเป็นว่าระยะเวลาการเรียนมีแค่สิบปีเอง นอกจากนั้นยังมีแม้กระทั่งชุดนักเรียนให้รวมถึงได้รับสถานะทางสังคมเป็นนักเรียนอีก
ต่างจากโรงเรียนธรรมดาเยอะเลยนะเนี่ย~ แต่พอลองตั้งใจฟังดูดีๆแล้วดูเหมือนเด็กที่มีเวทย์มนต์จะเจอในหมู่ขุนนางเป็นเสียส่วนใหญ่ดังนั้นเรื่องการโดนปฏิบัติที่แตกต่างกันก็คงจะเป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้ล่ะนะ
และด้วยเหตุนั้นฉันจึงอยากเข้าเรียนที่โรงเรียนเวทย์มนต์
มันมีชั้นเรียนขุนนางที่โรงเรียนธรรมดาก็จริงแต่ฉันอยากลองสัมผัสกับชีวิตความรักวัยรุ่นแบบเปรี้ยวอมหวานหรืออะไรประมาณนั้นน่ะนะ~
พวกขุนนางจะเริ่มเปิดตัวหาคู่ในสังคมชั้นสูงในช่วงอายุราวๆสิบสามปีแต่มันให้อารมณ์เหมือนการถูกพ่อแม่จับคลุมถุงชนเสียมากกว่าซึ่งฟังดูจืดชืดไร้รสชาติสิ้นดี
ฉันไม่อยากได้ความรักแบบเด็กๆของพวกเด็กประถม อย่างน้อยๆก็อยากจะสัมผัสรสชาติความรักของเด็กมัธยมต้นซักหน่อย
ใช่แล้ว ฉันมีเจตนาแอบแฝงค่ะ แต่ยังไงก็ตามหากตัวฉันไร้ความสามารถด้านเวทย์มนต์ก็จะถูกส่งไปเรียนที่โรงเรียนธรรมดาโดยอัตโนมัติ
ดังนั้นการทดสอบครั้งนี้ฉันจะพยายามให้ดีที่สุดค่ะ!
ในลานทดสอบมีคนอยู่กันค่อนข้างเยอะ มองแวบแรกจะเห็นว่ามีเด็กอายุรุ่นราวคราวเดียวกับฉันอยู่ราวๆสิบคน
ตอนที่พวกเราไปที่โต๊ะประชาสัมพันธ์ คุณพี่สาวโต๊ะประชาสัมพันธ์ที่หันมาเจอพวกเราก็สะดุ้งด้วยความตกใจ
มองหน้าคนอื่นแล้วสะดุ้งแบบนี้ เสียมารยาทมากค่ะ….พอฉันจงใจจ้องเขม็งไปที่เธอคุณพี่สาวก็มีท่าทางตื่นตระหนกพร้อมกับเริ่มอธิบายขั้นตอนให้แก่ท่านแม่
ท่านแม่กับวิโอไม่แสดงอาการไม่พอใจอะไรออกมาแค่ฟังและพยักหน้าเงียบๆ อืม ทั้งสองท่านสุดยอดไปเลยค่ะ
……โอ๊ะ โอ ไม่ได้ซิตัวฉัน อย่าลืมซิว่าต้องแสดงเป็นมนุษย์ทั่วไปน่ะ
ดูเหมือนการทดสอบเวทย์มนต์จะต้องอาศัยการปฏิบัติอยู่บางส่วน
ไม่มีไอ้การแตะมือลงที่ลูกแก้วแล้วก็บอกว่า “โอ้ ความถนัดทางด้านเวทย์มนต์ของท่านก็คือ….” แต่จะแทนที่ด้วยการที่แต่ละซุ้มของแต่ล่ะสาขาเวทย์มนต์จะมีไม้กายสิทธิ์ชาร์จพลังเวทย์เตรียมไว้ซึ่งจะปล่อยพลังเวทย์เล็กๆออกมาเมื่อแกว่ง และหากเวทย์มนต์ทำงานก็จะถือว่าผ่านหากไม่ทำงานก็แปลว่าไม่ผ่าน ง่ายๆแค่นั้นแหละ
แต่ว่า เด็กสองขวบจะรู้วิธีควบคุมวงจรเวทย์มนต์รึเปล่านี่ซิคะ…?
ฉันแอบส่องไปทางซุ้มๆหนึ่ง เห็นเด็กกำลังปล่อยลูกไฟขนาดเดียวกับไฟของไฟแช็คออกมา ถ้าปล่อยออกมาประมาณนั้นได้แปลว่ามีพลังเวทย์สูงรึเปล่านะ
ยังมีซุ้มอื่นๆที่แปะสัญลักษณ์ไว้แตกต่างกันอยู่เช่น ลม หรือ น้ำ ดังนั้นอาจจะเป็นไปได้ว่าเวทย์มนต์ที่คนๆหนึ่งจะใช้ได้ไม่จำกัดอยู่แค่ชนิดเดียว
งั้นก็ก่อนอื่น ฉันไปลองดูพวกเวทย์มนต์ทั่วไปก่อนดีกว่า มันเป็นเวทย์มนต์ที่จะทำงานผ่านพลังเวทย์และการร่าย
ถึงจะถูกเรียกว่าธรรมดาก็เถอะแต่เจ้าเวทย์มนต์ชนิดนี้มีความอเนกประสงค์สูงมาก
และดูเหมือนว่าตัวมันเองก็จะมีแบ่งออกเป็นหลายชนิด แต่ตอนนี้ก็เอาพวกดินน้ำลมไฟแบบเบสิคๆไปก่อนก็คงไม่เป็นไร
“…ง-งั้นก็ก่อนอื่นคุณหนูลองใช้งานเจ้านี่ดูก่อนนะครับ”
คุณพี่ชายคนนี้เองก็สะดุ้งตอนเจอฉันเช่นกัน….คือว่า ช่วยอย่ากลัวเด็กสองขวบตัวเล็กๆแบบฉันจะได้ไหมคะเนี่ย
เอาล่ะตั้งสติก่อนตัวฉันอย่าวอกแวก
ฉันหยิบไม้กายสิทธิ์ที่ถูกยื่นมาให้…นี่มันดินสอชัดๆ…แล้วก็เริ่มแกว่งไปมา
“………?”
“ดูเหมือนว่าคุณหนูจะไม่มีความถนัดด้านเวทย์ไฟ…. ได้โปรดให้อภัยผมด้วยครับ”
แล้วจะขอโทษหาพระแสงอะไรล่ะคะนั่น? หรือว่าเพราะฉันดูเหมือนพวกขุนนางชั้นสูง? จะว่าไปฐานะของตระกูลเรานี่มันอะไรนะ…?
ฉันดึงสติกลับมาก่อนที่จะไปลองที่ซุ้มอื่นๆต่อ
“………”
“คุณหนูยูรุคะ ยังเหลือเวทย์มนต์ภูติอยู่นะเจ้าคะ”
ความหวังดีมัน….เจ็บจังค่ะ
วิโอพูดปลอบใจฉันที่ทำสำเร็จอย่างสวยงาม….ในการปล่อยเวทย์ไม่ออกเลยในซักสายทั้ง ดิน น้ำ ลม อะนะ
แต่ทำไมเวทย์มันถึงไม่ทำงานกันนะ…? ทั้งๆที่หลังจากคุณลุงของซุ้มเวทย์ซุ้มหนึ่งเห็นไม้กายสิทธฺ์ส่องแสงออกมาจากการแตะแค่นิดเดียวคุณลุงก็บอกว่าฉันมีพลังเวทย์มหาศาลแท้ๆ หรือว่าพลังเวทย์ของฉันมันจะไม่มีความเข้ากันกับพวกเวทย์มนต์พื้นฐานกันนะ ?
ไม่เป็นไร….ยังเหลืออีกตั้งหกซุ้ม
อืมม เวทย์มนต์ภูติสี่ประเภท…หืม? ปกติพวกแนวแฟนตาซีมันน่าจะมีพวกเวทย์ความมืดกับเวทย์แสงซิ หรือว่าที่โลกนี้จะไม่มีกันนะ
และเวทย์มนต์ที่เหลืออีกสองชนิดก็….
พอฉันหันไปมองซุ้มที่เหลืออีกสองซุ้มวิโอก็กระซิบกับพวกเราด้วยเสียงระดับที่มีแค่ท่านแม่และฉันได้ยิน
“ท่านเรียคะ พักหลังมานี้….เวทย์อัญเชิญมีชื่อเสียงที่ไม่ค่อยจะดีซักเท่าไหร่ค่ะ”
“ถึงที่จริงแล้วถ้าไม่นับการอัญเชิญปีศาจมันก็ไม่ค่อยจะเป็นอันตรายเท่าไหร่ก็เถอะ แต่ว่า….”
อัญเชิญปีศาจ….ซินะ? ฉันที่เป็นปีศาจเป็นคนพูดเองมันก็ยังไงๆอยู่ แต่มันเป็นเวทย์ที่ดูจะมีภาพลักษณ์ที่ไม่ดีจริงๆนั่นแหละค่ะ
พอฟังที่วิโอพูดต่อ ฉันก็ได้เรียนรู้ว่าเวทย์อัญเชิญนั้นสามารถใช้เป็นสื่อในการเรียนการเขียนวงแหวนเวทย์ได้ ดูเหมือนว่าจะถึงขั้นที่มีขุนนางบางพวกทำอาชีพเป็นนักวิจัยวงเวทย์ด้วย อืม ก็ฟังดูแล้วก็น่าสนใจอยู่นิดๆนะ
“ท่านแม่คะ แล้วอันนั้นล่ะคะ~?”
“อันนั้นเรียกว่าเวทย์ศักสิทธิ์ มันเป็นเวทย์มนต์ที่เอาไว้ใช้รักษาผู้คนจ้ะ”
“ท่านเรียคะ ถ้ากลายเป็นผู้ใช้เวทย์ศักดิ์สิทธิ์ล่ะก็มีความเสี่ยงที่จะโดนทางโบสถ์บังคับแย่งตัวไปนะคะ….”
วิโอดูจะมีแผลใจอะไรกับโบสถ์รึเปล่านะ….?
เมื่อวิโอที่สามารถใช้เวทย์รักษาได้พูดออกมาด้วยสีหน้าเคร่งเครียดคุณแม่ก็แสดงรอยยิ้มที่เต็มไปด้วยความลำบากใจออกมา
เพราะคุณแม่เองก็เป็นคนรู้จักกับคุณลุงนักบวชคนนั้นที่เป็นคนของโบสถ์เช่นกัน เป็นปัญหาที่ลำบากน่าดู
จะว่าไป เหมือนว่าจริงๆแล้วเวทย์ศักด์สิทธิ์ไม่ได้ถูกจำกัดให้เฉพาะคนของโบสถ์ใช้ด้วย
“ตอนนี้เราลองทุกอย่างดูก่อนดีกว่าจ้ะ ฉันคิดว่าการที่เราจะมาจำกัดความเป็นไปได้ของยูรุมันไม่ถูกต้อง.”
“……เข้าใจแล้วค่ะ.”
เพราะรู้สึกได้ว่าเธอกำลังหดหู่ฉันจึงยื่นมือออกไปลูบหัวของวิโออย่างอ่อนโยนซึ่งดูเหมือนจะช่วยทำให้เธอกลับมาสดใสขึ้นเล็กน้อย
ซุ้มที่ฉันจะเข้าทดสอบต่อคือเวทย์มนต์ภูติ
คราวนี้ฉันรู้สึกคาดหวังอยู่พอสมควร เพราะว่าทั้งปีศาจและภูตินั้นถือว่าเป็นเพื่อนบ้านที่อาศัยอยู่ในโลกแห่งจิตวิญญาณเหมือนกัน พวกเขาจึงเปรียบเสมือนตัวตนที่มีความใกล้เคียงกับฉันอยู่พอสมควร
“…………”
เจ้าพวกภูติลมตัวจิ๋วนั่น……พวกนั้นวิ่งหนีด้วยความหวาดกลัวสุดขีดทันทีที่เห็นหน้าของฉัน
แม้แต่คุณพี่ชายที่คุมสอบยังอึ้งจนพูดไม่ออกเมื่อเห็นพวกภูติลมชั้นต่ำวิ่งหนีกันหัวซุกหัวซุนออกไปอย่างรวดเร็วราวกับสายลม…..ไม่แม้แต่จะมีเวลาให้ฉันพูดทักทายอะไรเสียด้วยซ้ำ
ส่วนพวกภูติน้ำนั้น….ปล่อยโฮทันที….
พอฉันค่อยๆขยับเข้าไปใกล้พวกภูติน้ำที่อยู่ในร่างของหญิงสาวเธอก็เอามือขึ้นมาปิดหน้าตัวเองแน่น ไม่ยอมขยับไปไหนแม้แต่มิลเดียวต่อให้พวกผู้ใช้ภูติจะพยายามสั่งแค่ไหนก็ตาม จนพวกเขาเกิดอาการงงงวยต่อปฏิกิริยาอันแปลกประหลาดของเธอ
แต่ฉันรู้สาเหตุค่ะ ดูเหมือนพวกผู้ใช้ภูติจะไม่ได้ยินก็จริง แต่ฉันได้ยินเต็มสองหูเลยล่ะตลอดที่ผ่านมานี้ เธอกำลังพึมพำ…….
“[ขอโทษค่ะ ขอโทษค่ะ ขอโทษค่ะ ขอโทษค่ะ ขอโทษค่ะ ขอโทษค่ะ ขอโทษค่ะ ขอโทษค่ะ ขอโทษค่ะ ขอโทษค่ะ…]” แล้วก็พึมพำแบบนั้นต่อไปเรื่อยๆไม่ยอมหยุด……..
ส่วนภูติดินน่ะหรอคะ? เหมือนเจ้าตัวจะรับรู้สถานการณ์เลยมุดกลับลงดินทันทีโดยไม่แม้แต่จะพูดจาทักทายอะไรสักคำ แถมยังไม่ยอมตอบรับการอัญเชิญครั้งที่สองด้วย……
ภูติไฟดีกว่าตัวอื่นๆนิดหน่อย แต่ก็แค่นิดหน่อยนั่นแหละ พอฉันพูดทักทายคุณภูติไฟที่จ้องเขม็งมาที่ฉัน
“เอ่อคือว่า สวัสดีค่ะ…?”
ทันทีที่พูดจบ เจ้าตัวก็ฟุ๊บหายไปกลางอากาศ…..
“………”
“……ดูเหมือนว่าคุณหนูจะไม่มีความถนัดในเวทย์มนต์ภูติ ถ้างั้นต่อไปก็….”
เอาล่ะ~ ต่อไปก็เวทย์อัญเชิญ
หืม? อะไร? ฉันไม่ได้รู้สึกเสียใจอะไรเป็นพิเศษหรอกนะคะ…..จริงๆนะ!!!
“ทีนี้หนูช่วยแตะมือลงบนวงเวทย์นี้ที”
คุณลุงตัวสูงตรงที่ให้บรรยากาศแบบศาสตราจารย์มหาลัยกำลังช่วยบอกวิธีทดสอบให้กับฉัน
ก่อนหน้านี้คุณลุงอธิบายความรู้เกี่ยวกับเวทย์อัญเชิญได้ละเอียดยืดยาวสุดๆอย่างกับกำลังฟังอาจารย์สอนวิชาในคลาสเรียนยังไงยังงั้น มันก็ไม่ใช่ว่าไม่ดีหรอกนะคะ แต่แบบ คิดอะไรอยู่ถึงเอาเรื่องแบบนั้นมาพูดให้เด็กสองขวบฟังกันล่ะเนี่ยคุณลุงคนนี้
เดี๋ยวจะย่อแบบง่ายๆให้แล้วกัน ไอ้เจ้าวงเวทย์นี่คือวงเวทย์อเนกประสงค์ทั่วๆไปที่ไม่สามารถเรียกของหรืออะไรที่ใหญ่เกินไปออกมาได้ ตัวมันนั้นจะเชื่อมต่อกับมิติที่เหมาะสมแบบลวกๆแล้วก็จะอัญเชิญพวกแมลงปีศาจออกมาหรือถ้ามีพลังเวทย์ที่สูงพออาจจะสามารถอัญเชิญพวกสัตว์ตัวเล็กๆที่ไม่อันตรายออกมาได้
“……อื้ม.”
ฉันพยักหน้าให้กับตัวเองก่อนจะยื่นมือออกไปแตะที่วงเวทย์
“[………โฮกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก…………]”
จากที่ไหนสักที่ที่ห่างไกลออกไป…ราวกับเล็ดลอดออกมาจากส่วนที่ลึกที่สุดของโลก…ฉันได้ยินเสียงอันแสนคุ้นเคยกู่ก้องคำรามออกมาจากวงเวทย์
ปัง
โดยไม่ได้ตั้งใจหรือพูดให้ถูกคือโดยไม่รู้สึกตัว ฉันได้ใช้ฝ่ามือของตัวเองตบลงไปในวงเวทย์อัญเชิญ
แสงที่ส่องบนวงเวทย์จากการป้อนเวทย์มนต์ของฉันดับสูญไปในทันที
คุณลุงศาสตราจารย์ที่คงจะบังเอิญได้ยินเสียงนั้นเช่นกันรีบรุดลงมาตรวจสวบวงเวทย์ด้วยหน้าซีดเผือก แม้จะยังไม่สามารถทำความเข้าใจเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อตะกี้ได้ดีนักคุณลุงก็ได้หันหน้ากลับมาพวกเราสามคน
“ต้องขออภัยด้วยครับ ดูเหมือนว่าวงเวทย์มันจะเกิดขัดข้องขึ้นมา ส่วนสำหรับเรื่องของคุณหนูนั้นถึงจะยังยืนยันไม่ได้หนึ่งร้อยเปอร์เซนแต่ส่วนตัวผมคิดว่าคุณหนูน่าจะมีความสามารถในการใช้เวทย์อัญเชิญครับ.”
อันตรายจริงๆน้าา…เกือบไปแล้วไหมล่ะเมื่อตะกี้นี้ เสียงเมื่อกี้นี้ ไม่ต้องสงสัยเลย……เจ้าตัวกำลังโกรธอยู่แหงๆ
ยังไงก็เถอะ ในที่สุดครั้งนี้ฉันก็ผ่านสักทีค่ะ…….ถึงจะเฉียดฉิดก็เถอะ
แต่ภายหลังฉันก็ได้มารู้ว่าไม่ว่าจะเป็นใครขอแค่มีพลังเวทย์ก็ใช้เวทย์อัญเชิญกันได้ทั้งนั้น……….
หลังจากกล่าวคำขอบคุณและยืนขึ้นเพือกเราก็มุ่งหน้าไปต่อที่ซุ้มเวทย์ศักดิ์สิทธิ์ซึ่งเป็นซุ้มสุดท้าย
ดูเหมือนท่านแม่จะดีใจที่ลูกสาวจะได้เข้าเรียนที่เดียวกับตัวเองเธอเลยจับฉันมาอุ้มในอ้อมแขนด้วยตัวเองขณะที่มุ่งหน้าไปที่จุดหมาย
“ดีจังเลยเนอะ~ ยูรุ”
“อื้ม”
ตรงกันข้ามกับท่านแม่ที่ใบหน้าเต็มเปี่ยมไปด้วยความดีใจ สีหน้าของวิโอดูจะไม่ค่อยสู้ดีนัก
……ช่วยไม่ได้น้า ฉันแสร้งทำเป็นเด็กน้อยไม่รู้โลกยืดแขนออกไปหาวิโอด้วยสีหน้าอยากรู้อยากเห็น วิโอที่เห็นจับมือของฉันไว้และหัวเราะออกมา
วิโอเกลียดโบสถ์ขนาดนั้นเลยหรอ?
เอาล่ะทีนี้ซุ้มสุดท้ายเป็นของเวทย์ศักดิ์สิทธิ์ แต่ว่านะ ถ้าวิโอเกลียดขนาดนั้นฉันไม่เข้าทดสอบก็ได้นะ ถ้าให้พูดตรงๆคือฉันไม่ค่อยสนใจเวทย์ศักดิ์สิทธิ์มากนักเพราะยังไงฉันก็เหมือนได้ใบรับรองการเข้าเรียนในโรงเรียนเวทย์มนต์มาแล้ว
แต่ตรงกันข้ามกับที่ฉันคิด วิโอสนับสนุนให้ฉันเข้ารับการทดสอบ คงเป็นเพราะบทสนทนาเรื่องความเป็นไปได้ของฉันในตอนนั้นล่ะมั้ง
และหลังจากนั้น….
“………”
คุณปลากำลังดิ้น ดึ๋ง ดึ๋ง อยู่บนเขียง
แม้แต่ตอนนี้แสงสว่างจ้าที่พุ่งออกมาจากไม้กายสิทธิ์บนมือของฉันยังคงกันไม่ให้ปลาตัวนี้ตาย
.
“ดูเหมือนว่าคุณหนูจะมีความสามารถในการใช้เวทย์ศักดิ์สิทธิ์ในระดับสูงค่ะ.”
เอาจริงหรอคะเนี่ย คือแบบว่าฉันเป็นปีศาจนะคะ?
ภายในซุ้มทดสอบ คุณปลาตัวหนึ่งกำลังอยู่ในสถานะใกล้ตาย มันถูกวางอยู่บนเขียงทำให้ไม่สามารถหายใจได้ ตอนนี้คุณปลาคงจะกำลังทุกข์ทรมาณอย่างแน่นอนและคงกำลังขอให้ใครสักคนรีบมาปลดปล่อยมันออกจากนรกนี้ที…….ฉันคิดอย่างนั้น
และในจังหวะนั้นเองที่คุณปลากำลังทุกข์ทรมาณก็ได้มีแสงสว่างถูกปล่อยออกมา แสงนั้นได้ช่วยทำให้นรกอันแสนทรมาณและเจ็บปวดที่มันกำลังสัมผัสดำเนินต่อไปเรื่อยๆ
แบบนี้มันโหดร้ายเอาเรื่องเลยนะคะเนี่ย……
อย่างที่คิดตัวฉันเนี่ย…….ยังไงก็เป็นปีศาจจริงๆนั่นแหละค่ะ
ผู้แปล: หากผมคำแปลคำไหนผิดหรือสะกดผิดสามารถบอกหรือแนะนำได้นะครับ