World of Hidden Phoenixes - ตอนที่ 103.2
หลังจากลงจากหลังม้าแล้ว ทหารก็รีบดำเนินการแทงดาบลงไปที่ม้า แม้ว่าพวกเขาจะไม่เต็มใจที่จะทำเช่นนั้น แต่พวกเขาก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องทำใจและทำตามคำสั่ง
เสียงกรีดร้องอันน่าเวทนาดังปะทุขึ้นท่ามกลางสนามรบ ในขณะที่ม้าวิ่งพล่านไปข้างหน้าอย่างโกลาหล ตรงไปยังกองทัพของอาณาจักรเหนือ เนื่องจากความประหลาดใจ ทหารม้าของอาณาจักรเหนือจึงถูกกระแทกจากการโจมตีที่ตรงเข้ามาอย่างรวดเร็ว ทหารของอาณาจักรใต้ใช้ผลประโยชน์จากเหตุการณ์นี้ พวกเขาเริ่มโจมตีออกไปอย่างไม่เกรงกลัว
ฮวาจูอวี้ขี่ม้าไปข้างหน้า กวาดหอกของนางไปในอากาศ บังคับให้ทหารม้าของอาณาจักรเหนือลงไปจากม้าของพวกเขา
ไกลออกไปเหว่ย จาง จับจ้องอยู่ที่ผู้บัญชาการผู้หนุ่มที่กำลังพุ่งไปข้างหน้า เขาไม่รู้ว่าทำไม แต่มันเตือนให้เขาระลึกถึงเวลาที่ผ่านมาแล้ว ที่ภูเขาเนียงซี ของแม่ทัพชุดขาวอิงซู่เซี่ย ในเวลานั้นแม่ทัพหนุ่มคนนั้นอยู่ในชุดเกราะที่ทำด้วยเงินพร้อมดาบเทียนหยาหมิงเยวี่ย ที่วางอยู่บนหลังของเขา ในขณะที่หอกสีเงินวางแนบอยู่ที่ด้านข้างของอาน กับลักษณะที่ดื้อรั้นของเขา ประกอบกับท่าทางที่สง่างามทำให้เขายากที่จะลืมได้ เหว่ย จางไม่เคยคิดเลยว่าเขาจะได้เห็นคนหนุ่มที่ยอดเยี่ยมเช่นนี้อีกครั้ง และด้วยความประหลาดใจ เขายังสามารถได้พบคนหนุ่มที่สามารถเปรียบเทียบได้กับอิงซู่เซี่ย อีกด้วยในคืนนี้
อาณาจักรใต้มีคนที่มีความสามารถมากมายจริงๆ!
การต่อสู้โหมกระหน่ำไปอย่างดุเดือด เดิมทีกองทัพของอาณาจักรเหนือคิดว่าพวกเขาสามารถซุ่มโจมตีศัตรูได้อย่างง่ายดายและเอาชนะพวกเขาได้ในคราวเดียว แต่นั่นไม่ได้เกิดขึ้น
ฮวาจูอวี้และผู้บัญชาการคนอื่นๆ ทราบว่าพวกเขาจะเสียเปรียบเมื่อการต่อสู้ครั้งนี้ยาวนานขึ้น จำนวนคนไม่ได้อยู่ข้างพวกเขา พวกเขามีทหารเพียง 80,000 นายและไม่มีทางเอาชนะกองทัพของอาณาจักรเหนือได้ ดังนั้นพวกเขาจึงไม่มีความตั้งใจที่จะชนะการต่อสู้ครั้งนี้และไม่ได้ต่อสู้อย่างสุดเหวี่ยง หลังจากนั้นไม่นาน พวกเขาก็เริ่มล่าถอยหลับไป
อย่างไรก็ตาม กองทัพของอาณาจักรเหนือจะไม่ปล่อยโอกาสนี้และไล่ตามพวกเขาไปอย่างใกล้ชิด
ฮวาจูอวี้นำทัพของนางมุ่งหน้าไปยังถนนบนภูเขา เนื่องจากกองทัพของอาณาจักรใต้ไม่สามารถยืนหยัดอยู่ได้ในพื้นที่โล่ง พวกเขาสามารถใช้ประโยชน์จากภูมิประเทศที่เป็นภูเขาเพื่อป้องกันศัตรูและรอกำลังเสริม และทำเช่นนี้ต่อไป ไม่ชาเวลาประมาณรุ่งเช้าก็มาถึง พวกเขาต่อสู้ตลอดเวลาในขณะที่ถอยกลับไปที่เชิงเขาเหลียนหยู เมื่อมองขึ้นไปก็มีเทือกเขาสูงตระหง่านและสันเขาสูงชัน ในขณะที่ตรงไปข้างหน้าคือหุบเขา
ฮวาจูอวี้ สั่งทัพของหนานกง เจี๋ย ไปพร้อมกับทหาร 20,000 นายให้อยู่ด้านหลังเพื่อขัดขวางศัตรู ถังยวี ไม่ได้นำทัพที่เหลือหลบหนีผ่านหุบเขาไป แต่ยังคงอยู่ข้างหลังพร้อมกับพวกเขาเพื่อสู้กับกองทัพของอาณาจักรเหนือ
ท้องฟ้ายามค่ำคืนที่กว้างใหญ่ถูกปกคลุมอยู่ในผ้าห่มแห่งความมืด โดยปราศจากดวงดาวหรือดวงจันทร์ใด ๆ
เมื่อถึงยอดเขาสูงชัน ฮวาจูอวี้ก็ดึงบังเหียนเพื่อหยุดม้าของนาง ตามหลังมาใกล้ๆ นางก็คือผิง เหลาต้า
ร่างของนางส่องแสงจากเปลวไฟจากคบเพลิง ท่ามกลางความมืด เกราะของนางส่องประกายแวววาวเยือกเย็นราวกับเส้นผมสีดำของนางที่ถูกลมพัดไปตามหลังของนาง มีร่องรอยของรอยยิ้มปรากฏอยู่บนริมฝีปากของนาง นางนั่งอยู่ที่นั่นด้วยท่าทางที่เยือกเย็น พร้อมกับหอกในมือในขณะที่เฝ้าดูกองทัพของอาณาจักรเหนือค่อยๆ เข้ามาใกล้
เหว่ย จางจู่ ๆ ก็สั่งให้กองทัพของเขาหยุดและสั่งให้พวกเขาปล่อยลูกธนูออกไป ซึ่งเป็นเหมือนสายฝนที่ตกลงมาในกองทัพอาณาจักรใต้
ฮวาจูอวี้ ดึงสายบังเหียนของนางพุ่งไปข้างหน้า ในขณะที่นางนำทัพเข้าสู่สนามรบ พร้อมกับหนางกง เจี๋ยและถังยวี พวกเขาพุ่งเข้าไปจากสามทิศทางที่แตกต่างกัน พวกเขาสามคนเป็นเหมือนเสือที่เข้าถ้ำของหมาป่า อาวุธพุ่งตรงไปทั่วทุกทาง เพื่อฆ่าและทำลายล้าง
ต้าจี้เป็นแม่ทัพที่น่าชื่นชมและมีความแข็งแกร่งเป็นพิเศษ ขวานของเขาเคลื่อนไหวอย่างมีพลังในอากาศ โดยการกระแทกทหารทั้งซ้ายและขวาด้วยการโจมตีเพียงครั้งเดียว
ต้าจี้พุ่งไปข้างหน้าและต่อสู้กับฮวาจูอวี้
ฮวาจูอวี้ รู้ว่าถ้านางเอาชนะ ต้าจี้ ได้ นางจะลดขวัญกำลังใจของกองทัพของอาณาจักรหนือลง
หอกเปล่งประกายขึ้นเมื่อขวานและหอกของนางปะทำเข้าด้วยกัน ต้าจี้จับไปที่ขวานและสั่นขึ้นเล็กน้อย เขาไม่อยากจะเชื่อเลยว่าผู้บัญชาการทหารหนุ่มคนนี้จะมีกำลังภายในที่แข็งแกร่งอย่างลึกซึ้งเช่นนี้
หลังจากการแลกเปลี่ยนเพลงดาบกันอย่างยาวนาน ฮวาจูอวี้ก็สามารถเอาชนะต้าจี้ได้ในที่สุด จากนั้นนางก็สามารถเปิดทางผ่านกองกำลังทหารของอาณาจักรเหนือไปได้ในขณะที่นางใช้หอกของนางกวาดต้อนออกไปอย่างรุนแรง เพื่อมาพบกับหนานกง เจี๋ยและถังยวี จากนั้นพวกเขาก็ตัดสินใจถอนกำลังทหารออกไป หลังจากสังเกตเห็นว่ากองทัพส่วนใหญ่ของพวกเขา ผ่านเข้าไปในหุบเขาแล้ว
หลังจากที่ได้พบเห็นว่าฮวาจูอวี้ได้ทำร้ายหัวหน้าของพวกเขา กองทหารของอาณาจักรเหนือก็โกรธแค้นและไล่ล่าไปอย่างไม่พอใจเข้าไปในหุบเขา
ที่ด้านหลังของกองทัพอาณาจักรใต้มีทหารที่สูญเสียม้าและบาดเจ็บสาหัสอยู่ เมื่อทหารม้าพุ่งเข้ามายังทิศทางนี้ ทหารของอาณาจักรใต้ที่อยู่ด้านหลังก็ต้องตายภายใต้กีบม้าที่แตกตื่นเหล่านี้ แสงแห่งความตายปรากฏบนหัวของพวกเขาและบางคนก็หลับตาลง แล้วบอกลาชะตากรรมของพวกเขา
ในช่วงเวลานี้ ฮวาจูอวี้ได้ดึงม้าของนางและพุ่งเข้าหากองกำลังของทางเหนือต่อสู้กับศัตรูจำนวนมากด้วยตามลำพัง ผิง เหลาต้า เริ่มกังวลเมื่อเห็นว่าพวกเขามีจำนวนมากกว่า เขาไม่เร็วพอที่จะหยุดนางได้ ดังนั้นเขาจึงต้องหันหลังกลับไปและไล่ตามนางไปได้เท่านั้น
ฮวาจูอวี้ตวัดหอกในมือของนาง กองกำลังที่เยือกเย็นพุ่งผ่านไปในอากาศ บังคับให้กองทหารของอาณาจักรเหนือล้มลงจากหลังม้าของพวกเขา
การใช้กำลังภายในจากคนเพียงคนเดียวในการต่อสู้กับคนหมู่มาก ทำให้ฮวาจูอวี้ใช้พลังเกินตัวไปมาก และนางก็ถูกบังคับให้ต้องถอยหลังกลับไป นางรู้สึกว่ามีกระแสน้ำปั่นป่วนอยู่ข้างในและในไม่ช้าร่างของนางก็อ่อนลง พลังที่พุ่งสูงขึ้นจากลำคอของนางทำให้นางต้องกระอักเลือดออกมา นางรู้สึกได้ถึงพลังภายในของนางที่ลดลงและรู้ว่านางได้รับบาดเจ็บภายใน
อย่างไรก็ตาม นางยังคงสงบและบังคับตัวเองให้นิ่งอยู่ นางเช็ดเลือดด้วยแขนเสื้อของนางและกวาดสายตาที่เย็นชาของนางไปทางทหารม้าของอาณาจักรเหนือ
หลังจากเป็นสักขีพยานในความพ่ายแพ้ของพวกผู้ชายหลายสิบคน ในไม่ช้าก็ไม่มีใครจากกองทัพของอาณาจักรเหนือก้าวไปข้างหน้า
“ผู้บัญชาการเป่า!” ทหารทางอาณาจักรใต้ที่นอนราบอยู่บนพื้นตะโกนขึ้นอย่างคร่ำครวญและทำให้กองทัพของอาณาจักรเหนือกลับมามีสติอีกครั้ง
อย่างไรก็ตาม หนานกง เจี๋ยและถังยวี ก็ได้รีบไปที่ด้านข้างของนางพร้อมกับกองกำลังของพวกเขาและกองกำลังของทัพฮู แต่ผิง เหลาต้า ก็มาถึงก่อนและดึงฮวาจูอวี้ไปบนหลังม้าของเขา จากนั้นทั้งคู่ก็ถอยกลับเข้าไปในหุบเขาอย่างรวดเร็ว ม้าของนางก็ได้รับบาดเจ็บและตามมาด้วย พวกเขาถูกนำไปโดยทหารอีกคน
“โง่เขลา! ท่านคิดว่าพวกเขาเป็นกองทัพฮวาของพวกเราหรือ พวกเขาควรค่าที่จะให้ท่านต้องเสี่ยงเช่นนี้หรือ”ผิง เหลาต้า ถามขึ้นด้วยความโกรธ
“ตอนนี้พวกเขาเป็นลูกน้องของข้า” ฮวาจูอวี้ตอบด้วยผิวที่ขาวซีด
อิงซู่เซี่ย ได้รับการยกย่องอย่างดีในกองทัพ เนื่องจากความจริงที่ว่านางใช้มาตรการที่ดีเพื่อความปลอดภัยของทหารของนาง และนางก็จะทำให้แน่ใจว่าจะลดการบาดเจ็บล้มตายให้ได้มากที่สุด
กองทัพของอาณาจักรใต้ถอยกลับเข้าไปในหุบเขาและแม้ว่าทางเข้าสู่หุบเขาจะถูกปิดกั้น กองทัพของอาณาจักรเหนือก็ไม่ยอมลดละและอ้อมไปแทน พวกเขาไล่ตามอย่างไม่หยุดหย่อน เห็นได้ชัดว่าเสี่ยวหยินได้มีคำสั่งอย่างเข้มงวดเพื่อให้ทำลายกองทัพของอาณาจักรใต้อย่างสมบูรณ์
รุ่งอรุณใกล้เข้ามา มันส่องสว่างเส้นทางภายในหุบเขา เมื่อพระอาทิตย์ขึ้นอย่างสมบูรณ์ มันก็จะง่ายขึ้นสำหรับกองทัพของอาณาจักรเหนือที่จะเห็นร่องรอยของกองทัพของอาณาจักรใต้
ฮวาจูอวี้ กำลังนั่งพิงอยู่ใต้ต้นไม้ ทัพฮูรีบเข้ามาและล้อมรอบนางเพื่อสอบถามเกี่ยวกับสภาพของนาง เมื่อมองไปที่ดวงตาที่จริงจังของพวกเขาที่เต็มไปด้วยความกังวล นางนึกถึงกองทัพฮวาของนาง นางสงสัยว่าพวกเขาจะดำเนินชีวิตอยู่อย่างไรในขณะที่กองทัพฮวาถูกหยุดลง บางทีพวกเขาทั้งหมดอาจเป็นชาวบ้านทั่วไป
แม้ว่าผิง เหลาต้า จะเป็นห่วงนาง แต่เขาก็ไม่กล้าเข้าไปใกล้เกินไป เขาได้แอบเข้ามาในหมู่ทหารแล้ว ดังนั้นเขาจึงกลัวที่จะถูกทหารคนอื่นๆ จับได้
“ข้าสบายดี ไม่ต้องกังวล” ฮวาจูอวี้พูดขึ้นด้วยความมั่นใจ
“ จริงๆ หรือ?” พวกเขาถามขึ้นอย่างไม่เชื่อ
“แน่นอน ทุกคนควรเตรียมการอย่างรวดเร็วเพื่อเผชิญหน้ากับศัตรูในภายหลัง “แล้วฮวาจูอวี้ก็สั่งขึ้น
นางอดทนไว้รอจนกว่าทหารทั้งหมดจะจากไป ก่อนที่จะไอเป็นเลือดออกมาอีกครั้ง นางรู้ว่านางต้องใช้เวลาในการรักษาตัวเอง ดังนั้นนางจึงหลับตาลงและเริ่มเดินพลังของนาง
เมื่อท้องฟ้าแจ่มใส กองทัพของอาณาจักรเหนือก็เริ่มทำการโจมตี
อวาจูอวี้ ที่พิงอยู่กับลำต้นของต้นไม้ และได้สรุปยุทธศาสตร์การป้องกันกองทัพของอาณาจักรเหนือขึ้น เนื่องจากกองทัพฮูไม่ใช่กองทัพฮวาและนางก็ไม่เคยฝึกฝนพวกเขามาก่อน พวกเขาจึงไม่สามารถทำตามกฎการต่อสู้ทุกรูปแบบที่นางสอนได้ อย่างไรก็ตาม พวกเขายังคงสามารถป้องกันกองทัพของอาณาจักรเหนือได้ในเวลานี้
พวกเขายึดพื้นที่จนกระทั่งเวลาล่วงเลยไปเป็นช่วงสายของวัน ก่อนที่พวกเขาจะได้ยินเสียงรบกวนที่ปลายทาง ทางด้านหลังของกองทัพเหนือและเห็นประกายไฟสีแดงและควันลอยขึ้นสู่ท้องฟ้า
ในขณะที่จ้องมองไป จู่ๆ ก็ทำให้ฮวาจูอวี้ตระหนักได้ในที่สุดกำลังเสริมก็อยู่ที่นี่แล้ว
“เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง? เจ้าต้องการที่จะไปที่นั่นด้วยกันหรืออยู่ที่นี่หรือ” ถังยวีเดินเข้ามาและถามขึ้น
“ข้าจะอยู่ที่นี่ มันจะปลอดภัยเพราะทหารทั้งหมดของเราก็อยู่ที่นี่” ฮวาจูอวี้ตอบขึ้น
หัวคิ้วของถังยวีขมวดขึ้นเล็กน้อย ก่อนที่จะยอมรับ“เจ้าพูดถูก เจ้าควรอยู่ที่นี่”
“ทำไมเจ้าถึงไม่ไปร่วมการต่อสู้” อวาจูอวี้ถามขึ้น
เขามองมาที่นาง แต่ยังคงนิ่งเงียบ โดยธรรมชาติเขาต้องการเข้าร่วมการต่อสู้ แต่เขาต้องอยู่ที่นี่และปกป้องบุคคลผู้นี้ เนื่องจากท่านเสนาได้สั่งให้เขาทำเช่นนั้นก่อนที่จะออกเดินทางในครั้งนี้
การต่อสู้ยืดเยื้อจนถึงเวลาม้าหลังเที่ยงวัน แล้วกองทัพเหนือก็พ่ายแพ้ในที่สุด ต้าจี้และเหว่ย จาง ถอนกลับไปพร้อมกับทหารที่เหลืออีก 30,000 คนโดยการสังหารเปิดเส้นทางออกไป เดิมทีเป้าหมายของพวกเขาคือการทำลายล้างกองทัพของอาณาจักรใต้ทั้งหมด แต่พวกเขาไม่คาดหวังว่าจะได้รับบาดเจ็บเป็นจำนวนมากเช่นนี้
เสียงการต่อสู้ค่อยๆหายไป ฮวาจูอวี้ ถอนหายใจขึ้นด้วยความโล่งอก ปัจจุบันอาการบาดเจ็บภายในของนางรุนแรงกว่าบาดแผลจากด้านนอก นางจึงต้องใช้เวลาในการพักฟื้นนานขึ้น
ฮวาจูอวี้ จ้องมองขึ้นไปที่ท้องฟ้าและเห็นแสงอาทิตย์ที่อบอุ่นกระจายอยู่ทั่วกิ่งไม้ ในช่วงเวลานั่นเอง จู่ๆ นางก็ได้ยินเสียงฝีเท้าดังใกล้เข้ามาและในทันใดนั้นกลิ่นของเลือดก็จู่โจมเข้ามา
ดวงตาของฮวาจูอวี้เบิกกว้างและต่อมาก็หรี่ลงด้วยความระมัดระวัง
รูปร่างที่สูงใหญ่ ยืนห่างอยู่จากนางประมาณสิบก้าว
ฉากโดยรอบนั้นสงบและเงียบมาก จนทำให้สามารถได้ยินเสียงลมที่พัดผ่านต้นไม้บนภูเขา ทำให้เกิดเสียงครวญครางราวกับวิญญาณของผู้ตายไปใหม่ๆ
ร่างที่อยู่ด้านหน้าของนาง สวมใส่ชุดเกราะสีเงินพร้อมด้วยชุดคลุมสีขาวในขณะที่มันสะบัดอยู่กลางสายลม อยู่ที่มือของเขาเป็นหอกธรรมดาที่มีเลือดหยดลงมาจากปลายของมัน อาบไปด้วยแสงของตะวัน เขายืนอยู่ตรงนั้นด้วยความภาคภูมิใจและน่าเกรงขาม ราวกับว่าอยู่ระหว่างสวรรค์กับโลก
หมวกที่มีม่านปิดบังใบหน้าของเขาไปจนหมดสิ้น แต่ฮวาจูอวี้ ก็ยังสามารถสัมผัสได้ถึงความไม่ธรรมดาของเขาและการจ้องมองที่เฉียดคมของเขา นางสงสัยว่าเขาเป็นใคร
“เจ้าบาดเจ็บหรือ” เขาถามขึ้นด้วยเสียงที่เบาราวกับสายลมที่พัดผ่าน
เขาแทงหอกของเขาลงไปที่พื้นดิน แล้วถอดเสื้อเกราะและเสื้อคลุมออก
ฮวาจูอวี้มองขึ้นไปที่เขาด้วยดวงตาที่เปิดกว้าง ประหลาดใจที่นักรบผู้เต็มไปด้วยเลือดที่ยืนอยู่ตรงหน้านางไม่กี่นาทีที่ผ่านมา ได้เปลี่ยนโฉมหน้าเป็นเสนาจี่ที่สุภาพและอ่อนโยน
เขายืนอยู่ตรงนั้น สูงสง่าและมั่นคง ในขณะที่เสื้อคลุมสีขาวของเขาสะบัดอยู่ในสายลม หากเสื้อคลุมของเขาไม่เปื้อนเลือดสีแดง นางก็จะคิดว่าดวงตาของนางกำลังหลอกนาง
ชายที่จ้องมองมาด้วยความรุนแรงและท่าทางที่น่าเกรงขามคือจี่เฟิ่งหลี่ แต่มันก็เป็นจี่เฟิ่งหลี่ ที่ต่างไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง
แม้ว่านางจะรู้ดีว่าทักษะการต่อสู้ของเขานั้นเหนือสิ่งอื่นใด แต่นางไม่เคยจินตนาการถึงการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในอารมณ์เมื่อเขาสวมชุดเกราะและใช้อาวุธ นางไม่ได้คาดหวังว่าจี่เฟิ่งหลี่ จะเป็นผู้นำในการนำกำลังเสริมมาด้วยตัวเอง เขามักจะกลัวว่าตัวตนของเขาจะถูกเปิดเผย เขาจึงใส่หมวกและม่านบังตา
จริงๆแล้ว แม้ว่านางจะเห็นว่าเขาเปลี่ยนไปด้วยสายตาของนางเอง แต่มันก็ยังยากที่จะเชื่อว่าเป็นเขา
“อาการบาดเจ็บของเจ้าเป็นอย่างไรบ้าง?” จี่เฟิ่งหลี่ถามด้วยหัวคิ้วที่ขมวดขึ้นเล็กน้อย
“ข้าจะไม่ตาย” ฮวาจูอวี้ ตอบอย่างเกียจคร้าน ในขณะที่นางเอนหลังพิงต้นไม้
ใบหน้าของจี่เฟิ่งหลี่ ดำมืดลงราวกับว่าเขาโกรธเพราะคำตอบของนาง เขาหรี่ตาลงและพูดอย่างเย็นชาขึ้น“ ข้ารู้ว่าเจ้าจะไม่ตาย!”
“ข้าสบายดี! มันไม่มีอะไรแม้แต่น้อย!” ฮวาจูอวี้ ตอบ
เมื่อเห็นสถานการณ์ ถังยวีก็ก้าวไปข้างหน้าเพื่อพูดขึ้นแทน“ ท่านเสนา ผู้บัญชาการเป่าเพียงแค่ได้รับบาดเจ็บภายในเพียงเล็กน้อยและจะดีขึ้นหลังจากพักไม่กี่วันขอรับ”
จี่เฟิ่งหลี่ไม่ได้พูดอะไรอีกและเดินไปที่ด้านข้างของนาง ก่อนจะยื่นฝ่ามือของเขาไปที่หลังของนาง
ฮวาจูอวี้ตกใจ และพยายามจะหลบไปให้พ้นทาง แต่จี่เฟิ่งหลี่ก็สั่งขึ้น”อย่าขยับ!”
จากนั้นนางก็รู้สึกถึงพลังพุ่งผ่านมาที่แผ่นหลังของนางอย่างรวดเร็ว จี่เฟิ่งหลี่ใช้กำลังภายในของเขาเพื่อช่วยนาง กำลังภายในของเขาลึกซึ้งอย่างแท้จริงและความเจ็บปวดที่นางรู้สึกเมื่อครู่ที่ผ่านมาก็โล่งขึ้นในทันที
หลังจากนั้นประมาณเวลาหนึ่งก้านธูป จี่เฟิ่งหลี่ก็ดึงมือกลับมาและสั่ง ถังยวีขึ้น“ไปหาเปลหามมา ผู้บัญชาการเป่าจะไม่สามารถขี่ม้าได้ในขณะนี้”
ถังยวี คำนับและจากไป ไม่กี่นาทีต่อมากลุ่มทหารก็มาพร้อมกับเปลหามและพานางออกไป
แม้ว่าพวกเขาจะชนะการต่อสู้ แต่เสี่ยวหยินก็ยังไม่ได้ถอยกำลังของเขา จี่เฟิ่งหลี่กลัวว่าเสี่ยวหยินจะรู้ว่ากองกำลังทหารของกองทัพของอาณาจักรใต้ 180,000 นาย ในขณะนี้ไม่ได้อยู่ที่เมืองหยางกวนอีกต่อไป มันทำให้มันไม่ปลอดภัย และผลก็ทำให้จี่เฟิ่งหลี่ รีบออกคำสั่งให้พวกเขาเดินทางกลับไปที่ หยางกวน โดยไม่หยุดพัก เดินทัพทั้งกลางวันและกลางคืน