World of Hidden Phoenixes - ตอนที่ 104.1
ทหารของอาณาจักรใต้ถูกส่งออกไปจำนวน 180,000 นาย ในขณะที่ที่นี่เหลือเพียง 20,000 ข่าวที่ว่ากองทัพของอาณาจักรใต้ได้ชนะทัพเหนือได้ไปถึงเสี่ยวหยินอย่างรวดเร็วและเขาก็นำทัพที่เหลือของเขาเพื่อไปโจมตีเมืองหยางกวนทันที
จี่เฟิ่งหลี่รีบส่งกองกำลังของอาณาจักรใต้กลับไปและในที่สุดพวกเขาก็มาถึงหยางกวน หลังจากเดินทางทั้งวันทั้งคืน เมื่อพวกเขามาถึงหยางกวนประตูเมืองก็กำลังจะถูกปุกรุก ก่อนที่จี่เฟิงหลี่จะออกเดินทางเขาได้สั่งให้หวังหยูดูยึดพื้นที่และปกป้องเมือง เขาสั่งให้เขาใช้แนวทางการป้องกันโดยเฉพาะและพึ่งพากำแพงสูงตระหง่านของประตูเมืองเพื่อยืดอายุการต่อสู้ให้นานที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้จนกระทั่งกองกำลังหลักจะกลับมา
เมื่อพวกเขากลับมา พวกเขาก็รีบออกเดินทางออกไปปกป้องประตูเมืองและปกป้องหยางกวน
ในสงครามครั้งนี้ อาณาจักรเหนือส่งทหาร 100,000 นายเพื่อทำลายล้างกองทัพของอาณาจักรใต้จำนวน 80,000 นาย แต่โดยไม่คาดคิด พวกเขาต้องเผชิญหน้ากับทหารอีก 180,000 คนและในที่สุดพวกเขาก็ถอยหนีไปพร้อมกับทหารจำนวน 20,000 นายเท่านั้นและมีผู้บาดเจ็บอีกถึง 80,000 นาย สำหรับอาณาจักรใต้โดยก็มีผู้บาดเจ็บล้มตายที่เมืองหยางกวนเช่นกันและพวกเขาก็เหลือจำนวนทหารอยู่เพียง 30,000 นายเท่านั้น
กองทัพของอาณาจักรเหนือถอยกลับไปทางเหนือของแม่น้ำชิงหมิง ที่ เหลียงโจว สถานการณ์เป็นดังเช่นที่ฮวาจูอวี้ได้ทำนายไว้ ตะวันตกเหลียงไม่ได้มีทหารจำนวน 100,000 นายและส่วนใหญ่ก็เป็นทหารใหม่ เหลียงโจวยังคงยึดมั่นอยู่และตะวันตกเหลียงก็ยังไม่ผ่านเข้ามาได้
อาณาจักรใต้ผลักกองทัพของอาณาจักรเหนือออกจากดินแดนทางใต้และถือได้ว่าเป็นชัยชนะครั้งสำคัญแล้ว หวังหยูได้ส่งกองกำลังไปตั้งแนวป้องกันรอบ ๆ แม่น้ำชิงหมิง ดังนั้นจึงไม่ใช่เรื่องง่ายหากกองทัพของอาณาจักรเหนือจะพยายามบุกรุกอีก
เนื่องจากฮวาจูอวี้ ได้รับบาดเจ็บ นางจึงไม่ได้กลับไปพร้อมกับทหารในทันทีและมาถึงหยางกวนใน 2 วันต่อมา จี่เฟิ่งหลี่ส่งหมอทหารไปพบฮวาจูอวี้เพื่อตรวจดูสุขภาพของนาง แต่นางปฏิเสธ นางไม่ต้องการเสี่ยงที่จะทำให้หมอค้นพบเพศที่แท้จริงของนาง แม้ว่าจะโชคดีที่จี่เฟิ่งหลี่ใช้ความกำลังภายในของเขามาช่วยในการรักษานาง แต่นางก็ต้องพักฟื้นสักพักเพื่อดูแลสุขภาพของนาง
แม้ว่าฮวาจูอวี้ จะเป็นผู้บัญชาการของกองทัพฮู นางก็ยังถูกจัดให้อยู่ในกระโจมข้างๆ จี่เฟิ่งหลี่ และตั้งแต่นางบาดเจ็บ เขายังสั่งให้หัวหน้ากองทัพส่งอาหารที่มีคุณค่ามาเพื่อดูแลสุขภาพของนางอีกด้วย
จากการต่อสู้ครั้งนี้ชื่อเสียงของผู้บัญชาการเป่าพุ่งขึ้นสูงอย่างมาก กองทัพฮูเต็มไปด้วยความซาบซึ้งจากการกระทำของนาง ความจริงที่ว่านางเสี่ยงชีวิตเพื่อปกป้องพวกเขาไม่เพียงแต่รวบรวมความชื่นชม แต่ยังได้รับความเคารพอย่างลึกซึ้งอีกด้วย
แม้ว่าทหารบางคนจำได้ว่าผู้บัญชาการเป่าเป็นขันทีจากพระราชวัง พวกเขาก็ไม่เคยเยาะเย้ยหรือดูถูกนาง พวกเขารู้สึกแค่ว่ามันน่าเสียดายจริง ๆ นอกจากนี้พวกเขาก็ไม่อยากเชื่อว่านางเป็นคนชั่วที่น่าอับอายที่ล่อลวงองค์ชาย ชายหนุ่มที่กล้าหาญเช่นนี้ไม่สามารถเป็นผู้กระทำความผิดเช่นนั้นได้ หลังจากผ่านชีวิตและความตายไปแล้ว ในสนามรบความรู้สึกของความสนิทสนมกันในหมู่ทหารก็ยิ่งพัฒนาขึ้นและยากที่จะเมยเฉยได้
สงครามระหว่างเหนือและใต้ก็มาถึงการหยุดชะงัก
ไม่กี่วันที่ผ่านมา ทหารของทัพใต้กำลังฝึกซ้อมการซ้อมรบของทหาร ในขณะที่ฮวาจูอวี้ฟื้นตัวในกระโจมของนาง
สิ่งที่ทำให้นางรู้สึกหดหู่มากขึ้นคือจี่เฟิ่งหลี่ได้สั่งให้พ่อครัวปรุงอาหารเบา ๆ และเป็นโภชนาการตามคำสั่งของหมอที่กล่าวว่าเนื้อเป็นอันตรายต่อการฟื้นตัวของอาการบาดเจ็บภายใน นางรู้เรื่องนี้อย่างแน่นอน อย่างไรก็ตาม นางไม่ได้กินเนื้อมาเกือบครึ่งเดือนแล้วและนางก็ทนไม่ไหวอีกต่อไป นี่ทำให้นางคิดถึงเสี่ยวเอ้อร์อย่างยิ่ง ถ้าเขามาที่นี่เขาจะต้องไปล่าสัตว์และคอยเล่นเป็นเพื่อนนาง นางไม่สามารถวางใจผิง เหลาต้า ได้ เพราะเขาจะปฏิบัติตามคำสั่งของหมออย่างเคร่งครัด
บ่ายวันนั้น นางแอบไปพร้อมกับนายทหารสองนายและเข้าไปในป่า นางนั่งผิงอยู่ใต้ต้นไม้แล้วรอให้พวกเขากลับมา หลังจากนั้นไม่นาน พวกเขาก็กลับมาพร้อมกับกระต่ายตัวหนึ่งตัวและไก่ฟ้า ที่ทำความสะอาดมาแล้ว
จากนั้นพวกเขาก็ไปหาฟืนเพื่อมาจุดไฟ ในขณะที่นางปรุงรสเนื้อด้วยเครื่องเทศบางอย่างที่นางนำมาจากครัว จากนั้นนางก็ย่างมันเหมือนที่นางเห็นอัน เสี่ยวเอ้อร์ ทำมาหลายครั้งแล้ว
ครู่ต่อมาเนื้อเกือบเสร็จแล้วและปล่อยกลิ่นหอมออกมา ฮวาจูอวี้ก็ช่วยไม่ได้ที่จะกลืนน้ำลายของนางลง ในที่สุดนางก็สามารถที่จะได้กินเนื้อแล้ว!
“ผู้บัญชาการเป่า ท่านไม่สามารถกินได้มากเกินไป แค่ให้พอรู้รสนะขอรับ” ทหารคนหนึ่งแนะนำขึ้น
ฮวาจูอวี้ ยิ้มขึ้นเล็กน้อยและพูดขึ้น “ ได้ แค่พอรู้รส” แค่พอรู้รสชาติของไก่ฟ้าทั้งตัว!
“ถ้าท่านเสนาจี่รู้เข้า พวกเราจะต้องถูกลงโทษอย่างแน่นอน เขาน่ากลัวมากเวลาเขาโกรธ” ทหารอีกคนพูดขึ้นอย่างระมัดระวัง
“น่ากลัวหรือ? อย่างไร ไหนลองบอกข้าที” เสียงที่เยือกเย็นดังขึ้นในความมืด
มือของฮวาจูอวี้ สั่นเทาขึ้นเล็กน้อยและนางก็เกือบจะทิ้งเนื้อลงไปในกองไฟ
ทหารทั้งสองคนรีบกระโดนขึ้นยืนด้วยความหวาดกลัว ก่อนจะมองไปที่ร่างในชุดสีขาวในความมืดและพูดตะกุกตะกักขึ้น“ ทะ ท่านเสนา พวกเราไม่กล้า!”
“พวกเจ้าควรจะรีบออกไปจากที่นี้ให้เร็วที่สุด ก่อนที่พวกเจ้าจะถูกทำโทษ!” จี่เฟิ่งหลี่พูดด้วยน้ำเสียงที่เยือกเย็นกว่าก่อน ทำให้เจ้าหน้าที่ทั้งสองวิ่งราวกับชีวิตของพวกเขาขึ้นอยู่กับมัน
ฮวาจูอวี้ส่งเสียงเย็นขึ้นและมองไปที่จี่เฟิ่งหลี่ คนที่ยืนอยู่ในความมืด นางหมกมุ่นอยู่กับการย่างเนื้อมากเกินไปจนนางไม่ได้ยินเขาเข้ามา
“ จมูกของท่านเสนามีความรู้สึกไวอย่างแท้จริงมากยิ่งกว่า ช่างหยุน” ฮวาจูอวี้ เยาะเย้ยขึ้น
“ ใครคือช่างหยุน?” เขาถามในขณะยืนพิงต้นไม้พร้อมกับกอดแขนของเขา
“ มันเป็นสุนัขที่ข้าเคยเลี้ยงมาก่อนหน้านี้!” ฮวาจูอวี้พูดขึ้นอย่างซื่อสัตย์โดยไม่มีร่องรอยของมารยาทที่ดีอยู่แม้แต่น้อย ด้วยการมีจมูกที่มีความรู้สึกไว มันไม่สามารถเทียบได้กับสุนัขหรอกหรือ
อย่างไรก็ตาม จี่เฟิ่งหลี่ก็ไม่ได้ใส่ใจกับคำพูดของนาง ที่มุมปากของเขากลับถูกยกขึ้นเผยให้เห็นรอยยิ้มเล็กน้อย
ฮวาจูอวี้ย่างไก่ฟ้าอย่างขยันขันแข็งและในที่สุดมันก็พร้อม นางดึงมันกลับออกมาเพื่อฉีกต้นขาและอ้าปากกว้างขึ้นเพื่อกัดมัน
อย่างไรก็ตาม จี่เฟิ่งลี่ก็ยกแขนของเขาขึ้นและกิ่งไม้ก็พุ่งเข้ามาหามือของนาง ทำให้นางปล่อยต้นขาของมันลงและได้เห็นเนื้อสัตว์ที่เกลี้ยงเกลาตกลงไปที่พื้นกับตา
ฮวาจูอวี้กำลังเดือดดาลด้วยความโกรธ จนนางแทบจะอยากแทงเขาให้รู้แล้วรู้รอดไปเลย เขากำลังพยายามรังแกนางอยู่ในตอนนี้ที่ความแข็งแกร่งของนางยังไม่ฟื้นใช่ไหม นางระงับความโกรธของนางและฉีกต้นขาอีกข้าง และกิ่งไม้อีกกิ่งก็ตรงเข้ามาหานาง แต่คราวนี้นางได้ทำการป้องกันและหันร่างของนางเพื่อหลบมันอย่างรวดเร็ว อย่างไรก็ตามนางไม่ได้คาดหวังว่าจี่เฟิ่งหลี่ จะรู้ถึงทิศทางการเคลื่อนไหวของนาง ดังนั้นในครั้งนี้ก็เหมือนก่อนหน้านี้เนื้อสัตว์ก็ตกลงไปที่พื้น
“ จี่เฟิ่งหลี่ …. เจ้า….” ฮวาจูอวี้กัดฟันพูดขึ้น
ทันใดนั้นนางก็ลุกขึ้นยืนแล้วหันหลังไปพร้อมกับไก่ฟ้าที่เหลืออยู่
จี่เฟิ่งหลี่เดินออกจากเงามืดอย่างสบาย ๆ และราวกับกระพริบตาเขาก็มาปรากฏตัวตรงหน้านาง เขายกแขนเสื้อขึ้นและเอื้อมมือไปหาไก่ฟ้าในอ้อมแขนของนาง
อย่างไรก็ตาม นางโยนมันลงไปที่พื้นก่อนที่เขาจะมีโอกาสได้หยิบมันและพุ่งเข้าหาเขา
ทั้งสองต่อสู้กับอยู่ในป่าที่เยือกเย็น เนื่องจากความกำลังภายในของนางยังไม่ฟื้นตัวเต็มที่นางจึงไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขา อย่างไรก็ตามจี่เฟิ่งหลี่ก็ไม่ได้ใช้กำลังเต็มที่เหมือนกันและดูราวกับว่าเขาล้อเล่นกับนางอยู่
ยิ่งพวกเขาต่อสู้นานเท่าไหร่ นางก็ยิ่งไม่พอใจมากขึ้นและท่าทีของนางก็ยิ่งดุร้ายยิ่งกว่าเดิม แต่จี่เฟิ่งหลี่ก็ไม่ต้องการที่จะต่อสู้อีกต่อไป เมื่อนางพุ่งเข้าหาเขาอีกครั้งนางก็สะดุดและล้มไปด้านหลัง นางเตียมตัวไว้สำหรับการล้มที่จะเกิดขึ้น แต่จี่เฟิ่งหลี่ก็ได้เหยียดแขนออกไปและนางก็ตกลงไปในอ้อมกอดของเขาแทน
มือที่จับอยู่ที่เอวของนางร้อนและแน่น ทำให้นางประหม่าจนไม่กล้าหายใจ นางพยายามรักษาความสงบและความตื่นเต้นเอาไว้ แต่ทันใดนั้นเขาก็ยิ้มและเอนกายลงพร้อมกับกระซิบขึ้น“ เอาล่ะ พอแล้ว เจ้าไม่สามารถใช้กำลังภายในได้ในขณะนี้และไม่สามารถกินเนื้อสัตว์ได้ด้วย”
ท้องฟ้ายามค่ำคืนเงียบสงบและดวงดาวก็เปล่งประกายอย่างสงบสุข คนที่เอนกายลงมาหานางนั้นเป็นรูปร่างที่หล่อเหลาที่ไม่มีใครเทียบได้ นางจ้องมองดวงตาหงส์ที่ยิ้มแย้มและจู่ๆ ก็ตะโกนขึ้น“เจ้าไม่ใช่บิดาของข้า เจ้าคิดว่าเจ้ามีสิทธิ์จะมาปกครองข้าหรือ ข้าอยากจะกิน! ข้าไม่สนใจเรื่องฟื้นฟูกำลังภายในอะไรนั้น!”
ทันใดนั้นแขนที่เอวของนางก็แข็งทื่อและรอยยิ้มในดวงตาของเขาก็เย็นชาขึ้น เขาค่อย ๆ ปล่อย ก่อนจะหันหลังและจากไป เสื้อคลุมสีขาวของเขาค่อย ๆ หายไปในความมืด
จี่เฟิ่งหลี่มีผิวที่หนาเช่นนี้ กลับได้รับผลกระทบจากคำพูดของนางหรือ? นางลุกขึ้นและเดินไปที่กองไฟ นางเอากระต่ายออกจากกิ่งไม้แล้วดับไฟ จากนั้นนางก็ไล่ตามจี่เฟิ่งหลี่ไป นางไล่ตามเขาไปครู่หนึ่งแล้วโยนกระต่ายให้เขา “ ลืมมันไปเถอะ ข้าจะไม่กินมัน ข้าจะมอบให้ท่าน” หลังจากทั้งหมดนี้นางไม่อยากกินเนื้อสัตว์อีกต่อไป
จี่เฟิ่งหลี่รับกระต่ายมาและฉีกเนื้อออกเป็นชิ้น ๆ แล้วก็กัดกินมันอย่างช้าๆ
“เนื้อย่างเป็นอย่างไรบ้าง” ฮวาจูอวี้ถามขึ้นด้วยดวงตาที่หรี่ลง
จี่เฟิ่งหลี่ยิ้มขึ้นเล็กน้อย“อร่อย เป็นเรื่องที่ค่อนข้างคาดไม่ถึงว่าเป่าเอ้อร์ จะมีทักษะเช่นนี้!”
“มันเป็นสิ่งที่ได้รับมา!” นางพูดด้วยความภาคภูมิใจ ไม่ว่าจะอย่างไรนางก็เป็นเด็กฝึกหัดของเสี่ยวเอ้อร์
ยืนอยู่ตรงนั้น การแสดงออกของจี่เฟิงหลี่ นั้นค่อนข้างแปลก หลังจากนั้นไม่นานเขาก็สามารถกลืนเนื้อกระต่ายแสนอร่อยลงไปได้