World of Hidden Phoenixes - ตอนที่ 81
หลังจากเมื่อคืนที่ผ่านมาด้วยเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับสัตว์ร้าย ในที่สุดฮองเต้ก็จะต้องการที่จะเดินทางกลับไปที่ตำหนักฤดูร้อนในวันนี้ ตำหนักน่าจะอยู่ในความวุ่นว่ายไม่น้อย เมื่อฮวาจูอวี้กลับนางได้เห็นนางกำนัล และทหารองครักษ์ต่างก็รีบเร่งและเต็มไปด้วยการแสดงออกที่เคร่งขรึม ไม่มีใครพูดอะไรแม้แต่น้อย ตำหนักเต็มไปด้วยผู้คน แต่มันก็เงียบสงบว่าราวกับว่าพายุกำลังจะมา
นึกถึงคืนเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ฮวาจูอวี้ก็เป็นกังวลแทนหวงฝู่ อู๋ ซวง แล้วจู่ๆ นางก็ได้ยินเสียงเจือด้วยการหยอกล้อดังขึ้น “เป่ากงกง เกิดอะไรขึ้นหรือ? ท่านไม่จำเป็นต้องไปสอนองค์รัชทายาทเสี่ยวหยินรำดาบในวันนี้หรือ ”
ในขณะที่จมอยู่ในความคิด ฮวาจูอวี้ก็ตกใจโดยเสียงและหันไปรอบ ๆ ก่อนจะเห็นคนสองคนยืนอยู่ห่างออกไปเล็กน้อย หนึ่งอยู่ในชุดสีแดงและอีกหนึ่งเป็นสีฟ้า มันเป็นจี่เฟิงหลี่ และหลานปิง
คนที่เพิ่งจะพูดก็คือหลานปิงนั่นเอง
บนพื้นผิวหลานปิงดูสง่างามและอ่อนโยน เขาอยู่ในชุดของขุนนางด้วยท่าทางที่ภูมิฐาน แต่เมื่อไหร่ก็ตาม ด้วยเหตุผลบางอย่างเมื่อเขาเห็นฮวาจูอวี้แม้แต่เมื่อเขาพูดคุยกับนาง เขาจะดูเหมือนกำลังพยายามเก็บเสียงหัวเราะเอาไว้ สิ่งนี้ทำให้ฮวาจูอวี้ คิดกลับไปในคืนนั้นที่จี่เฟิงหลี่ เปลือยเปล่าอย่างสิ้นเชิง ดูเหมือนว่าหลานปิงผู้นี้จะรู้เห็นในเรื่องของคืนนั้นมากอยู่
ฮวาจูอวิ้กัดฟันของนาง ทำตัวเองให้สงบและหันกลับไปช้าๆพร้อมกับรอยยิ้ม แต่ดวงตาที่เยือกเย็นของนางนั้นเห็นได้ชัดเจน ในขณะที่นางเผชิญหน้ากับพวกเขา “ท่านหลานปิง รู้วิธีพูดเรื่องตลกขบขันเสียจริงๆ องค์รัชทายาทเสี่ยวหยินได้รับบาดเจ็บจากเหตุการณ์เมื่อวานนี้ เขาจะสามารถทำการเรียนรำดาบได้อย่างไร แต่ถึงแม้ว่าองค์รัชทายาทเสี่ยวหยินจะไม่ได้รับบาดเจ็บ แต่หลังจากเหตุการณ์นั้น ข้าก็ไม่มีหัวใจในการสอนรำดาบได้แม้แต่น้อย”
“มันก็จริง แต่เป่ากงกงดูเหมือนจะเต็มไปด้วยเสน่ห์อย่างแท้จริง หลังจากทำการสอนองค์รัชทายาทเสี่ยวกหยินรำดาบเพียงสองวันของเขาก็ทราบซึ้งขนาดนี้แล้ว เมื่อคืนในช่วงเวลาที่สำคัญเขาไม่สนใจความปลอดภัยของเขาและตรงเข้าไปปกป้องท่าน ทำให้ข้าทราบซึ้งอย่างแท้จริง! “หลานปิงพูดขึ้นอย่างไม่สนใจด้วยรอยยิ้ม ในขณะที่เขากวาดผมไม่กี่เส้นที่ตกลงมาข้างแก้มของเขาออกไป
จู่ๆ หัวใจของฮวาจูอวี้ก็เต้นขึ้นอย่างรวดเร็ว
คำกล่าวของหลานปิง เต็มไปด้วยความหมายที่ซ่อนอยู่
เสี่ยวหยินเป็นทายาทของราชบัลลังก์ อย่างไรก็ตามในเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นของเมื่อคืนที่ผ่านมา เขาได้ทำการปกป้องนาง โดยไม่สนใจความปลอดภัยของตัวเอง คนอื่นคงจะคิดว่ามีอะไรบางอย่างเกิดขึ้นโดยเฉพาะกับคนเจ้าเล่ห์เพทุบายอย่างจี่เฟิงหลี่
เขาจะไม่คิดว่านางเป็นสายลับที่ถูกส่งมาจากอาณาจักรเหนือใช่ไหม?
หัวใจของฮวาจูอวี้อยู่ในความวุ่นวาย นางเงยหน้าขึ้นมองจี่เฟิงหลี่ และเห็นเพียงเขายืนอยู่ตรงนั้นเงียบ ๆ ในขณะที่กางพัดของเขาออกและไม่สนใจนางอย่างสิ้นเชิง ในขณะที่เขาจ้องมองไปที่ดอกไม้ข้างหน้า และเมื่อได้ยินคำพูดของหลานปิง หัวคิ้วของเขาก็ขมวดขึ้นและหันกลับไปมามองที่ฮวาจูอวี้กับรอยยิ้มอ่อนโยน ก่อนที่เขาจะจ้องมองไปที่หลานปิง “ทุกวันเจ้าก็ยิ่งประหลาดมากขึ้นเรื่อย ๆ ”
“เป่ากงกงอย่างได้เก็บคำพูดเขาไปใส่ใจ!” จี่เฟิงหลี่พูดขึ้นรอยยิ้ม ในขณะหันหน้าไปทางฮวาจูอวี้
“เป็นธรรมชาติอยู่แล้วที่ข้าจะไม่ ข้าเป็นเพียงแค่คนรับใช้จะกล้าที่จะเอาคำพูดขุนนางสูงส่งไปใส่ใจได้อย่างไร!” ฮวาจูอวี้ ตอบขึ้นด้วยรอยยิ้มอย่างไม่แยแสขึ้น “ถ้าไม่มีอะไรอื่นแล้ว คนรับใช้ผู้นี้ขอตัว!”
ฮวาจูอวี้ทำเคารพและเดินผ่านไปอย่างรวดเร็ว โดยมุ่งหน้าไปยังตำหนักฉิงหยวน ที่พักของหวงฝู่ อู๋ ซวง
จากด้านข้างจี่เฟิงหลี่รู้สึกว่ามีสายลมพัดผ่านไปและในทันทีเขาก็ไม่สามารถมองเห็นภาพลักษณ์ของฮวาจูอวี้ได้อีกแล้ว เขายังคงจ้องมองไปในทิศทางที่ฮวาจูอวี้พึ่งจะจากไป ดวงตาของเขาค่อยๆเปลี่ยนเป็นความสับสนขึ้น
“ท่านเสนาจี่ ท่านคิดว่าเป่ากงกงเป็นคนขององค์รัชทายาทเสี่ยวหยินหรือไม่?” หลานปิงถามขึ้นด้วยเสียงต่ำ
ในขณะที่เขาสะบัดพัดในมือของเขาไปมาเบาๆ เขาก็ตอบขึ้นด้วยรอยยิ้มเล็กน้อย”เจ้าจะเสี่ยงชีวิตของเจ้าเพื่อช่วยคนที่เจ้าเพิ่งได้พบเพียงสองวันหรือไม่?”
หลานปิงส่ายหัว แน่นอนว่าเขาจะไม่มีวันทำอย่างนั้นและเขาก็ไม่คิดว่าคนที่มีเหตุมีผลทุกคนจะทำเช่นนั้นและองค์รัชทายาทเสี่ยวหยินเองก็เป็นคนมีเหตุมีผลมาก มีปัญหาเกี่ยวกับเป่ากงกงคนนี้อย่างแน่นอน!
ตำหนักฉิงหยวน
นี่เป็นครั้งที่สองที่ฮวาจูอวี้ได้เห็นการกระทำที่เผด็จการของหวงฝู่ อู๋ ซวง
ครั้งแรกที่ตอนไปเที่ยวทะเลสาบ เมื่อเขาได้เห็นเหวินว่าน และจี่เฟิงหลี่ ในเวลานั้นหวงฝู่ อู๋ ซวง ได้ลงความโกรธของเขาไปที่คนรับใช้ของเขา และวันนี้เมื่อฮวาจูอวี้เข้ามาในตำหนักฉิงหยวน นางก็เห็นคนรับใช้ที่มีใบหน้าบวมแดง บางคนก็มีรอยนิ้วมือที่แตกต่างกันไปอยู่บนแก้มของพวกเขา พวกเขาถูกทำร้ายอย่างไม่เป็นธรรมโดยหวงฝู่ อู๋ ซวง แม้แต่จี่เสี่ยง ก็ดูเหมือนจะไม่ดีไปมากเท่าไหร่ แม้ว่าใบหน้าของเขาจะไม่ได้บวม แต่การเคลื่อนไหวของเขาดูเหมือนจะค่อนข้างเฉื่อยชา อาการบาดเจ็บของเขาอาจจะไม่เบานัก
เมื่อเห็นการกลับมาของฮวาจูอวี้ ดวงตาของจี่เสี่ยง ก็สว่างขึ้นราวกับว่าเขาได้เห็นผู้ช่วยชีวิตของเขา
“หยวนเป่า รีบเข้าไปข้างในและไปดูองค์รัชทายาท ตั้งแต่เมื่อคืนองค์รัชทายาทก็ยังไม่ได้รับอะไรเลย ถ้าพระองค์ยังคงทำเช่นนี้ต่อไป เขาจะผ่านมันไปได้อย่างไร! องค์รัชทายาททรงโปรดปรานเจ้ามากที่สุดและจะฟังเจ้าอย่างแน่นอน เข้าไปข้างในและโน้มน้าวฝ่าบาทเร็วเข้า “เมื่อจี่เสี่ยง พูดจบแล้ว ก็ดูเหมือนว่าเขาจะระเบิดน้ำตาออกมาได้ทุกเมื่อ
หวงฝู่ อู๋ ซวง ชอบนางมากที่สุดหรือ? ทำไมทุกครั้งที่พวกเขาต้องการความช่วยเหลือ พวกเขาจะต้องพูดแบบนี้? ฮวาจูอวี้ ไม่คิดว่าหวงฝู่ อู๋ ซวง ชอบนางจริงๆ แต่ไม่ว่าจะอย่างไร นางก็ยังคงต้องไปในและโน้มน้าวหวงฝู่ อู๋ ซวง อยู่ดี
ฮวาจูอวี้ยกม่านขึ้น ก่อนจะเดินเข้าไปในห้อง ตอนนี้ก็เป็นเวลาเที่ยงวันแล้ว แต่กลับไม่มีม่านหน้าต่างถูกเปิดออก จึงทำให้ภายในดูมืดมัวและมีอากาศที่ไม่ถ่ายเท นางเดินตรงเข้าไปที่หน้าต่าง ก่อนจะดึงผ้าม่านขึ้นและดวงอาทิตย์ก็ส่องผ่านฉากกั้นห้องเข้ามา ทำให้ความมืดมัวที่อยู่ภายในจางหายไปทันที
“บังอาจ!” เสียงแหบพร่าตะโกนขึ้น ในขณะที่มีวัตถุที่ถูกส่งมาตามทางของนาง ฮวาจูอวี้มีหน้าตาที่จริงจังขึ้น ในขณะที่นางยกมือขึ้นจับแจกันดอกไม้เอาไว้
ดูเหมือนว่าจี่เสียงคงจะได้รับบาดเจ็บอย่างมากจากสิ่งเหล่านี้ ในขณะที่นางคิด ตอนนี้พื้นต่างก็เต็มไปด้วยแจกันดอกไม้ ถ้วยชาและแม้แต่หมอนหยกดูเหมือนหวงฝู่ อู๋ ซวง จะทำลายทุกอย่างที่อยู่ใกล้มือเขา
“ในช่วงวิกฤติเช่นนี้ ฝ่าบาทจะทรงยอมรับความพ่ายแพ้อย่างนั้นหรือพ่ะย่ะค่ะ” ฮวาจูอวี้วางแจกันดอกไม้ลง และค่อยๆเดินเข้าไปด้านในและพูดขึ้น เสียงของนางเยือกเย็นและจริงจัง ทุกคนที่ฟังจะต้องรู้สึกสั่นอย่างช่วยไม่ได้
นี่เป็นครั้งแรกที่ฮวาจูอวี้ ได้แสดงด้านที่รุนแรงของนางต่อหน้าหวงฝู่ อู๋ ซวง
ตอนที่นางยังเป็นเด็กหญิงตัวเล็ก ๆอยู่ นางได้ติดตามบิดาของนางและเรียนศิลปะการต่อสู้ เมื่อไม่สามารถทนต่อการฝึกฝนอย่างเข้มงวดของบิดาและอาจารย์ของนางได้ตลอดทั้งวัน นางก็แอบเก็บข้าวของของนางอย่างเงียบ ๆ และพยายามหลบหนีไปในคืนหนึ่ง ในเวลานั้นนางรู้สึกอย่างแท้จริงว่านางไม่สามารถทนต่อไปได้อีกแล้ว นางคิดว่าคงจะดีกว่าที่จะกลับไปที่เมืองหยู และเป็นเพียงคุณหนูธรรมดาเท่านั้น แต่ไม่เพียงนางไม่สามารถหลบหนีไปได้ นางกลับพูดพบเข้า จนถึงวันนี้นางยังคงนึกถึงดวงตามืดมนของบิดาที่เต็มไปด้วยความผิดหวังในตัวนาง ที่ไม่ได้ทำตามความคาดหวังของเขาได้
ความรู้สึกของนางต่อหวงฝู่ อู๋ ซวง แทบจะเหมือนกับบิดาของนางในเวลานั้น ตอนนี้นางถึงได้เข้าใจว่าเขาจะรู้สึกอย่างไรบ้าง
เตียงที่เต็มไปด้วยความยุ่งเหยิง เต็มไปด้วยผ้าไหมที่ฉูดฉาดทุกชนิดสี ขณะที่หวงฝู่ อู๋ ซวง นอนอยู่ในชุดที่งดงามและประณีตของเขา มันยากที่จะแยกแยะออกได้ ถ้าไม่ใช่เพราะใบหน้าที่ขาวซีดของเขา
สายตาของเขาปิดสนิท แต่เมื่อเขาได้ยินเสียงของฮวาจูอวี้ ขนตาของเขาก็สั่นขึ้น ในขณะที่ดวงตาของเขาลืมขึ้นในทันที และเมื่อเห็นฮวาจูอวี้ ดวงตาของเขาก็กระพริบด้วยความประหลาดใจ ก่อนจะพูดขึ้น “หยวนเป่า เจ้ากลับมาแล้วหรือ เจ้าไม่ได้รับบาดเจ็บจากเมื่อวานใช่ไหม? เจ้าทำให้ข้ากังวลแทบตาย แต่เมื่อคืนที่ผ่านมาเสด็จพ่อได้สั่งห้ามไม่ให้ข้าออกไปไหน ถ้าไม่เช่นนั้นข้าคงไปพบเจ้าแล้ว” เมื่อพูดจบ เขาก็ลดสายตาลง ในขณะที่น้ำตาไหลออกมาจากดวงตาสีเข้มที่งดงามของเขา “พูดมาว่าข้าควรทำอย่างไร? เสด็จพ่อสงสัยว่าข้าเป็นคนที่อยู่เบื้องหลังการโจมตีของสัตว์ร้ายที่ทำร้ายเขา ข้าจะทำร้ายเสด็จพ่อได้อย่างไร? ข้าจะมีความสามารถไปจับสัตว์เหล่านั้นมาได้อย่างไร? ”
“ถ้าไม่ใช่พระองค์ พระองค์ก็ต้องไปกราบทูลฮ่องเต้ ฮ่องเต้จะทรงเชื่อมั่นในความบริสุทธิ์ของพระองค์หรือ ถ้าพระองค์ยังคงนอนอยู่ที่นี่เช่นนี้? “ฮวาจูอวี้ถามอย่างเย็นชาขึ้น
“เมื่อคืนนี้ องค์ชายผู้นี้ไปเยี่ยมเสด็จพ่อ แต่เสด็จพ่อกลับไม่ต้องการเห็นหน้าข้าและไม่ต้องการฟังสิ่งที่ข้าต้องการจะพูด แล้วข้าควรจะทำอย่างไร?” หวงฝู่ อู๋ ซวงพูดในขณะที่คอตก แต่เขาก็ยังคงปฏิบัติตามคำของฮวาจูอวี้และค่อยๆลุกขึ้นนั่ง
ฮวาจูอวี้เดินไปที่ตู้ ด้านในและหยิบชุดสีดำและโยนมันลงไปบนเตียง ฮ่องเต้กำลังป่วยหนักในขณะนี้ แต่หวงฝู่ อู๋ ซวงกลับกล้าที่จะใส่เสื้อผ้าที่มีชีวิตชีวาเช่นนี้ โชคดีเท่าไหร่แล้วที่ฮ่องเต้ไม่ได้พบเขา ถ้าไม่เช่นนั้นเขาคงจะโกรธแทบตาย หวงฝู่ อู๋ ซวงไม่กล้าที่จะพูดอะไรอีกและรีบไปเปลี่ยนชุดเท่านั้น
“ฝ่าบาท ท่านรู้หรือไม่ว่าสัตว์สองตัวนั้นถูกจัดการอย่างไร?” ฮวาจูอวี้ ถามขึ้นอย่างจริงจัง
“สัตว์เหล่านั้นนะหรือ?” เขาคิดเล็กน้อย ในขณะที่เขาตอบขึ้น”เสด็จพ่อได้ออกคำสั่งให้จี่เฟิงหลี่ จัดการกับเรื่องในคืนนั้น ข้าได้ยินเขาสั่งให้คนนำสัตว์ทั้งสองตัวกลับมาที่นี่ ”
“แล้วฝ่าบาททรงทราบหรือไม่ว่าร่างของพวกมันอยู่ที่ไหน?” ฮวาจูอวี้ถามด้วยความตกใจ ถ้าเรื่องนี้ให้จี่เฟิงหลี่ จัดการ นางก็ไม่แน่ใจว่านางจะมีโอกาสชนะหรือไม่
“พวกมันควรจะอยู่ในคอกม้าใกล้ตำหนัก หยวนเป่า เจ้าค้นพบอะไรหรือ? “หวงฝู่ อู๋ ซวงถามด้วยสายตาที่เปิดกว้าง
“เมื่อคืนนี้ ตอนที่กระหม่อมแทงลูกศรไปที่คางของสัตว์ร้าย กระหม่อมรู้สึกว่ามีบางอย่างฝังอยู่ที่นั่นซึ่งสามารถพิสูจน์ได้ว่ามีคนอื่นได้ลงมือช่วยคังหวาง ก่อนที่กระหม่อมจะลงมือ ฮ่องเต้ทรงไม่สงสัยคังหวางเพราะเขาไม่คิดว่าคัวหวางจะกล้าเสี่ยงชีวิตตัวเองเพื่อใส่ร้ายพระองค์ แต่ถ้ามันเป็นความจริงที่ว่ามีคนอื่นหยุดสัตว์ร้ายเอาไว้ ก็สามารถพิสูจน์ได้ว่ามีคนปกป้องคังหวางและเขาก็ไม่ต้องการให้ชีวิตของเขาตกอยู่ในอันตราย ถ้าเป็นกรณีนี้จริง เขาก็น่าจะเป็นผู้ต้องสงสัยในเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในเมื่อคืนนี้มากที่สุด “ฮวาจูอวี้ อธิบายขึ้นช้าๆ
“ถ้าเรามีหลักฐานว่ามีใครบางคนปกป้องเขาเมื่อคืนนี้ เราก็สามารถพิสูจน์ได้ว่าเขาเป็นคนหนึ่งที่อยู่เบื้องหลังเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นหรือ” หวงฝู่ อู๋ ซวงถามขึ้นอย่างสงสัย
“เราไม่สามารถพิสูจน์ได้ว่าเขาเป็นคนหนึ่งที่อยู่เบื้องหลังเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นหรือไม่ เพียงแค่มีหลักฐานว่ามีคนปกป้องเขา แต่ถ้าคนผู้นั้นไม่กล้าเปิดเผยตัวเองและรวมถึงศิลปินการต่อสู้ของเขาด้วยแล้ว ฝ่าบาทคิดว่ามันน่าสงสัยหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ? ”
คางของสัตว์ร้ายเป็นจุดที่อ่อนแอที่สุด แต่ก็ไม่สามารถเข้าถึงได้ง่าย นางสามารถแทงมันได้ด้วยลูกศร เพราะอยู่ในระยะใกล้ ๆ กับสัตว์ร้ายในเวลานั้น แต่คนที่ซ่อนอยู่นั้นสามารถฆ่าสัตว์ร้ายด้วยอาวุธลับของเขาในช่วงเวลาสำคัญ เช่นนั้นอย่างลับๆ จนแม้แต่นางก็ยังไม่สังเกตเห็น หนึ่งสามารถเพียงแค่จินตนาการได้ว่าศิลปะการต่อสู้ของบุคคลผู้นั้นสูงมาก แต่ถ้าคนผู้นั้นมีศิลปะการต่อสู้ที่ดีเยี่ยมเช่นนั้น ทำไมเขาถึงไม่ก้าวออกมาข้างหน้าเพื่อหยุดสัตว์ร้ายตั้งแต่แรก? นี้แสดงให้เห็นว่าต้องมีบางอย่างที่ซ่อนอยู่ในการทำนี้
“สำหรับเรื่องเร่งด่วนนี้ เราควรไปตรวจดูสัตว์ร้ายเหล่านั้นก่อนและดูว่ามีอาวุธลับฝังอยู่ในคางของมันหรือไม่” ฮวาจูอวี้รีบพูดขึ้นด้วยความสัตย์จริง แต่นางมั่นใจว่าฝ่ายที่เกี่ยวข้องได้ทำลายหลักฐานไปแล้ว แต่สิ่งที่นางต้องการคือการตรวจสอบแผลที่มันทิ้งไว้เบื้องหลังต่างหาก
เมื่อมาถึงคอกม้าฮวาจูอวี้และหวงฝู่ อู๋ ซวง ก็ได้ค้นพบว่ามันถูกล้อมรอบไปด้วยกองทัพหลวงและรองผู้บัญชาการทหารซึ่งก็คืออันเสี่ยวเอ้อร์ ถ้าไม่ใช่เพราะอันเสี่ยวเอ้อร์ ฮวาจูอวี้ก็กลัวว่าพวกเขาจะไม่สามารถเข้าไปในสถานที่ได้แม้กระทั่งครึ่งก้าว
แต่ท่ามกลางความตื่นตระหนกของทุกคนที่มีอยู่ในเวลานี้ อันเสี่ยวเอ้อร์ ไม่กล้าแสดงว่าอยู่ฝ่ายฮวาจูอวี้ มากจนเกินไป เขาจึงสามารถแสดงให้นางเห็นแผลของสัตว์ร้ายผ่านหน้าต่างเท่านั้น เมื่อเห็นบาดแผลฮวาจูอวี้ ก็รู้สึกตกใจที่ได้พบว่านอกเหนือจากบาดแผลที่เกิดขึ้นแล้วยังมีอีกอันหนึ่งที่เกิดจากกริช
ดูเหมือนว่าในช่วงเวลาแห่งความสับสนวุ่นวาย อาวุธลับได้ถูกดึงออกไปโดยอีกฝ่ายและทิ้งบาดแผลที่เกิดจากกริชเอาไว้โดยเจตนา อีกฝ่ายคงติดสินบนกองทัพหลวงเพื่อลบล้างร่องรอยทั้งหมดโดยการแทงลงไปที่แผลด้วยกริชอีกที
คนที่อยู่เบื้องหลังเรื่องนี้ทั้งหมดจัดการทุกอย่างอย่างละเอียด ไม่ทิ้งที่ว่างสำหรับให้แม้แต่น้ำสักหยดที่จะรั่วไหลออกมาได้
วิธีที่ดีที่สุดในการทำลายหลักฐานคือการกำจัดซากศพของสัตว์ร้ายให้หมดสิ้น เพื่อให้ฝ่ายตรงข้ามไม่สามารถหาอะไรได้ แม้ว่าฮ่องเต้จะสงสัยหวงฝู่ อู๋ ซวง ในเรื่องนี้ แต่เขาก็ไม่มีหลักฐานที่เป็นรูปธรรม แต่ถ้าพวกเขาอยากจะกำจัดซากศพของสัตว์ร้าย พวกเขาอาจจะต้องรอจนถึงค่ำเท่านั้น ฮวาจูอวี้ ยังคงหวาดกลัวอยู่ว่าศัตรูอาจจะสร้างหลักฐานเพิ่มเติมนับจากตอนนี้ไปถึงค่ำหรือไม่
บ่อยครั้งที่คนที่ต้องการให้ท้องฟ้ามืดลง ท้องฟ้ากลับสดใสขึ้น ดูเหมือนว่าดวงอาทิตย์กำลังเกาะอยู่ในจุดๆ หนึ่งและไม่ขยับไปไหนแม้แต่นิ้วเดียว
เมื่อดวงอาทิตย์ตกลง และเมื่ออีกฝ่ายก็ยังไม่ได้ทำการเคลื่อนไหวใดๆ ในที่สุดฮวาจูอวี้ ก็สามารถทำให้จิตใจของนางผ่อนคลายลงได้
แต่ในทันทีทันใด ฮุยเซวีย ก็มาที่ตำหนักฉิงหยวนเพื่อตามหานาง
“เกิดอะไรขึ้น?” ใบหน้าของฮุยเซวีย ซึ่งมักจะแสดงออกอย่างสงบอยู่เสมอ ในตอนนี้ค่อนข้างกระวนกระวายซึ่งทำให้ฮวาจูอวี้ กระวนกระวายใจขึ้นอีกครั้ง ไม่น่าจะเป็นไปได้ว่าบาดแผลของเสี่ยวหยินกลับมาแย่ลงหลังจากที่นางไม่ได้ไปพบเขาแค่วันเดียวใช่ไหม?
ฮุยเซวียอตอบขึ้นเงียบ ๆ “องค์หญิง ฝ่าบาทเพิ่งได้รับข่าววันนี้ว่าสุขภาพของฮ่องเต้ไม่สู้ดีนัก ฝ่าบาทจึงต้องกลับไปในทันที ดังนั้นฝ่าบาทจะกลับไปในคืนนี้เพคะ! ”
ได้ยินข่าวนี้ใบหน้าของฮวาจูอวี้ก็เปลี่ยนเป็นเคร่งขรึมขึ้น เมื่อนางได้พบฮ่องเต้เหนือในเทศกาลก่อนหน้านี้ เขาก็ยังคงมีสุขภาพที่ดีไม่น้อย ถ้ามันเป็นเพียงความเจ็บป่วยเล็ก ๆ น้อย ๆ เขาจะไม่ส่งข่าวดังกล่าวมาหลายพันลี่เช่นนี้ นางรู้สึกผิดถ้ามีอะไรเกิดขึ้นกับฮ่องเต้เหนือและเสี่ยวหมินก็พลาดโอกาสที่จะได้อำลาเขาด้วยตัวเอง
“เขาอยู่ที่ไหน?” ฮวาจูอวี้ถามขึ้น ไม่ว่าจะอย่างไร นางก็จะต้องไปส่งเขา
“ฝ่าบาททรงไปอำลาฮ่องเต้อาณาจักรใต้ พระองค์กลัวว่าฮ่องเต้จะมีงานเลี้ยงอำลา ดังนั้นรถม้าของเราจึงกำลังรออยู่ที่ประตูทางออกของตำหนักเรียบร้อยแล้วเพคะ องค์หญิงมากับข้าไปรอที่ประตูทางออกเถิดเพคะ!”
“เจ้ามุ่งหน้าไปก่อน ข้าจะรอพวกเจ้าอยู่ที่ถนนบนเขา “จี่เฟิงหลี่ เริ่มสงสัยนางแล้ว นางไม่สามารถถูกพบพร้อมกับฮุยเซวียได้
ฮุยเซวีย พยักหน้าและรีบออกไปทันที
พระอาทิตย์ตกดินเป็นสีแดงเลือดจาง ๆ ผสานกับแสงสีทอง ขอบฟ้าทางตะวันตกเต็มไปด้วยเมฆอันสดใสเหมือนกับชั้นของแสงสีแดง สดใสและแพรวพราวเป็นประกาย สายลมของภูเขาทำให้อากาศหนาวเย็นลงเล็กน้อยเนื่องจากนี้ยังมีกลิ่นอายของดอกไม้ป่าที่เกิดขึ้นตามแนวถนนอีกด้วย
หลิวเฟิง ฮุยเสวีย ฉิงอวี้น และปี้เอวี้ย และทหารองครักษ์คนอื่น ๆ ของเสี่ยวหยิน ขี่ม้าในขณะที่พวกเขาค่อยๆพารถม้าไปอย่างช้าๆ เนื่องจากเสี่ยวหยินได้รับบาดเจ็บเมื่อเร็ว ๆ นี้ เขาจึงไม่สามารถเดินทางบนหลังม้าได้
ด้วยความเจ็บป่วยของฮ่องเต้ เสี่ยวหยิน จึงไม่ได้มีงานเลี้ยงอำลาที่ยิ่งใหญ่ ฮ่องเต้เพียงสั่งให้ขุนนางสองคนเดินทางมาส่งเขา ซึ่งหนึ่งในนั้นก็คือท่านราชครูเหวิน
หลังจากแลกเปลี่ยนคำอำลากับเสี่ยวหยินแล้ว ขุนนางอีกคนก็ลากลับไปทันที แต่ท่านราชครูเหวิน ยังคงอยู่ต่อไป ฮวาจูอวี้คนที่ซ่อนตัวอยู่ในต้นไม้ไม่รู้ว่าพวกเขาพูดอะไร แต่นางเริ่มหงุดหงิดที่ต้องรอนาน
อีกนานหลังจากนั้น อาจจะเนื่องมาจากความอดทนที่น้อยนิดของเสี่ยวหยิน เขาจึงสั่งให้ทหารออกเดินทาง แม้กระทั่งหลังจากที่ขบวนของเสี่ยวหยินจากไปนานแล้ว แต่ท่านราชครูเหวิน ก็ยังคงยืนอยู่ที่นั่นอย่างเงียบ ๆ จ้องมองไปในทิศทางของรถม้าที่ออกเดินทางออกไป
ฮวาจูอวี้รู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติไป แต่นางก็รอจนรถม้าผ่านตำแหน่งของนางไป ก่อนที่นางจะกระโดดลงไปบนรถม้าและเปิดม่านเข้ามา
ท้องฟ้าดำมืดและไข่มุกกลางคืนที่ให้แสงสว่างอยู่ที่มุมด้านบนของรถม้าก็เริ่มสว่างขึ้น
นั่งผิงอยู่กับเบาะนั่ง ผิวของเสี่ยวยินก็ยังขาวซีดและเส้นผมของเขามันยุ่งเหยิง เพียงแค่มองครั้งเดียวก็ดูออกว่าเขาดูเหนือยล่าและโดดเดี่ยว มีเพียงดวงตาสีม่วงเข้มที่ยังสดใสเหมือนเหล้าองุ่นชั้นดีในแก้วคริสตัล ในขณะที่เขาจ้องมาที่ฮวาจูอวี้ พร้อมกับคำใบ้ของความไม่พอใจ ดูเหมือนเขาจะรอนางอยู่
แต่เสี่ยวหยินไม่ได้เป็นเพียงคนเดียวที่อยู่ในรถม้า ข้างๆเขามีหญิงสาวอีกหนึ่งคน หลังของนางหันไปทางเสี่ยวหยิน ในขณะที่นางจ้องมองที่มุมของรถม้าเต็มไปด้วยน้ำตา ผมยาวถึงเอวของนางพาดผ่านอยู่กับเสื้อคลุมสีฟ้าอ่อนๆ ของนาง ในขณะที่ปิ่นปักผมหยกประดับอยู่ด้านบนของศีรษะของนาง
มุมมองด้านหลังของนางนั้นมีเสน่ห์และงดงาม
เมื่อได้ยินเสียงรบกวน นางก็รีบหันกลับมามอง ใบหน้าที่มีเสน่ห์ของนางเต็มไปด้วยน้ำตาสองสายราวกับน้ำฝนบนดอกแพรว ดึงดูดผู้อื่นให้นึกน่าสงสาร
การได้เห็นใบหน้าที่คุ้นเคยของฮวาจูอวี้ยิ่งทำให้นางสับสน
ผู้หญิงคนนี้ไม่ใช่ใครอื่น นอกจากเหวินว่าน
ทำไมเหวินว่านถึงได้มานั่งอยู่ในรถม้าของเสี่ยวหยิน