World of Hidden Phoenixes - ตอนที่ 82.1
เนื่องจากในสถารณ์ปัจจุบัน นางสามารถใช้ตัวตนของหวงฝู่ อู๋ ซวง เพื่อเป็นข้ออ้างในการมาปรากฏตัวอยู่ในรถม้าในตอนนี้ได้เท่านั้น
เมื่อได้ยินแบบนี้เสี่ยวหยินก็ได้แต่หายใจลึกๆ ขึ้นเท่านั้น มือที่เรียวยาวของเขาเอื้อมออกไปเพื่อที่จะสัมผัสฮวาจูอวี้ ราวกับว่าเขาต้องการที่จะถ่ายทอดความรู้สึกที่ไม่ได้พูดทั้งหมดในใจของเขาผ่านการสัมผัสในครั้งนี้
“ฮึม! ใครจะคิดว่าองค์รัชทายาทเสี่ยวหยินจริงๆจะตัดแขนเสื้อ และถึงขนาดที่จะสนใจในตัวขันทีต่ำต้อย ฮ่าฮ่า … “นั่งอยู่ด้านข้างคำพูดที่เยือกเย็นของเหวินว่าน เต็มไปด้วยความเยาะเย้ย
ฮวาจูอวี้ตื่นตระหนก ก่อนที่จะผลักมือของเสี่ยวหยินไปด้านข้าง สายตาที่เย็นชาของนางมองไปที่เหวินว่าน ขณะที่นางพูดขึ้น “แม่นางว่าน ท่านเข้าใจผิดแล้ว!”
“เข้าใจผิดหรือ?” ในขณะนี้เหวินว่าน ยกศีรษะของนางขึ้นสูง น้ำตาของนางก็ถูกทำความสะอาดไปหมดแล้ว แม้ว่าผมของนางจะกระเซิงเล็กน้อย แต่นางก็ยังคงมีท่าทางที่งดงาม มุมปากของนางโค้งขึ้นเป็นรอยยิ้มเมื่อนางหันไปเผชิญหน้ากับเสี่ยวหยินช้าๆและถามขึ้น “องค์รัชทายาทเสี่ยวหยิน คิดว่าหม่อมฉันเข้าใจผิดหรือไม่เพคะ?”
หัวคิ้วที่เรียวขึ้นเล็กน้อยของเขาขมวดขึ้น ในขณะที่เขาหันไปเผชิญหน้ากับเหวินว่าน ด้วยรอยยิ้มเช่นเดียวกัน ดวงตาสีม่วงของเขาส่องประกายและลึกล้ำ ริมฝีปากของเขายกขึ้นเล็กน้อย คนที่ไม่ค่อยยิ้มบ่อยๆเมื่อมีรอยยิ้มกลับร้ายแรงถึงตาย
แต่เมื่อใดก็ตามที่เสี่ยวหยิน แสดงรอยยิ้มเช่นนั้น ฮวาจูอวี้ รู้ว่าจะมีบางสิ่งเกิดขึ้น นางไม่เคยลืมเวลาที่เขามีคำสั่งให้โยนนางเข้าไปในกระโจมแดง เมื่อเขามีรอยยิ้มที่งดงามแค่ไหนในตอนนั้น ตามที่คาดไว้เหวินว่าน เองก็แทบจะไม่ได้สติไปกับรอยยิ้มของเสี่ยวหยิน ก่อนที่เขาจะตอบขึ้น “ใช่ เจ้าเข้าใจผิดอย่างที่สุด!” เมื่อเขาพูดมือของเขาโจมตีออกมา ตีไปที่ท้ายทอยของเหวินว่านทำให้นางหมดสติไปทันที
“ข้ารู้ว่าแม้ว่าแสด็จพ่อจะไม่สบาย แต่เจ้าก็จะยังไม่กลับไปพร้อมกับข้าใช่ไหม?” เขาจ้องมองนางด้วยท่าทางที่ซับซ้อน ราวกับว่าเขารู้คำตอบของนางอยู่แล้ว “ข้าบอกว่าข้าจะไม่บังคับให้เจ้าต้องกลับไปพร้อมกับข้า เพราะเจ้าตั้งใจจะอยู่ที่นี่ อย่างไรก็ตามสถานะปัจจุบันของอาณาจักรใต้ไม่สามารถคาดเดาได้และเป็นอันตรายอย่างมาก ข้ารู้สึกไม่สบายใจที่จะปล่อยให้เจ้าอยู่ที่นี่ สำหรับคนผู้นี้ … ”
เหลือบมองไปที่เหวินว่านอย่างไร้ความรู้สึก ในขณะที่เสี่ยวหยินพูดอย่างเงียบ ๆ ขึ้น “นางจะเป็นประโยชน์ แม้ว่าพวกเขาจะสงสัยเรื่องที่ข้าได้ช่วยเจ้าเอาไว้ในคืนนั้น แต่การที่มีนางเอาไว้เป็นตัวต่อรอง พวกเขาจะไม่กล้าทำอะไรเจ้าอย่างแน่นอน!”
คลื่นแห่งความอบอุ่นได้ห่อหุ้มนางเอาไว้ นางไม่เคยคาดหวังว่านางจะเป็นเหตุผลที่เสี่ยวหยินนำเหวินว่านกลับไปพร้อมกับเขาด้วย
“ฮ่องเต้ยินยอมให้นางไปกับท่านได้อย่างไร?” ฮวาจูอวี้ยังจำวันแต่งงานของนางได้ เพียงเพราะพวกเขาไม่สามารถทนที่จะปล่อยให้เหวินว่านต้องไป แต่งงานได้ พวกเขาถึงได้เลือกให้นางไปเป็นตัวแทน นอกจากนี้เหวินว่านยังเป็นหญิงสาวที่ผ่านการคัดเลือดแล้ว
“ในปัจจุบัน ความไม่ลงรอยกันในอาณาจักรใต้มีความวุ่นวายมากขึ้น และก็ยังไม่แม่ทัพคนไหนที่มีความสามารถในการป้องกันพรมแดนได้อย่างฮวามู่ ดังนั้นพวกเขาจึงเกิดความวิตกกังวล นอกจากนี้ฮ่องเต้ยังได้ตกลงเอาไว้ตั้งแต่แรกแล้วที่งานเลี้ยง ว่าจะมอบใครก็ตามที่ข้าต้องการจะแต่งงานด้วยให้กับอาณาจักรเหนือ แม้ว่าเขาจะไม่ต้องการก็ตาม แต่เขาก็ไม่มีเหตุผลที่จะปฏิเสธ อย่าพูดถึงหญิงสาวที่พึ่งจะผ่านการคัดเลือดตัวเล็ก ๆ แม้ว่าข้าจะต้องการพระสนม เขาก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากยอมยกให้ “เสี่ยวหยินพูดขึ้น
เสี่ยวหยิน พูดถูก ในสถานการณ์เร่งด่วนในปัจจุบัน ฮ่องเต้ไม่มีทางเลือกอื่นนอกเหนือจากการยอตกลง
“แล้วท่านตั้งใจที่จะทำให้นางกลายเป็นองค์หญิงรัชทายาทหรือ?” จู่ๆ ก็ถามขึ้น
“องค์หญิงรัชทายาทหรือ?” ริมฝีปากของเขาโค้งขึ้นเป็นรอยยิ้มที่บางเบา ขณะที่เขาพูดขึ้น “หยาโถว ข้ากลัวว่าในชีวิตนี้ข้าจะไม่มีองค์หญิงรัชทายาท หรือแม้แต่นางสนม ข้าก็จะไม่มี” ในขณะที่เขาพูดเสียงของเขาค่อยๆกลายเป็นดังสายลมผสมกับความเศร้าโศกที่ไม่ได้บรรยายได้
ความหงุดหงิดห้อมล้อมหัวใจของฮวาจูอวี้ ทำให้นางหายใจไม่ออก หลังจากความเงียบอันยาวนาน นางก็เงยหน้าขึ้นมองและพยายามทำให้อารมณ์ดีขึ้น “พี่ใหญ่ ไม่ใช่เพราะได้รับผลประทบมาจากอาการเจ็บป่วยของท่านหรือ? ท่านถึงไม่สนใจผู้หญิงแล้ว? ”
“ความเจ็บป่วยหรือ? ถูกต้องแล้ว ข้าป่วย บางทีมันอาจจะเป็นความเจ็บป่วยที่ไม่เคยได้รับการรักษา แต่ถึงแม้จะมีการรักษาข้าก็ไม่อยากรักษาให้หายขาด “เขาตอบด้วยรอยยิ้มพร้อมกับดวงตาที่กลมกลืนไปด้วยความเศร้าโศก แต่ความเศร้าโศกแบบนั้นคือสิ่งที่เขาต้องปิดบังเอาไว้ในสายตาของเขา เขาไม่ต้องการให้นางได้เห็นมัน
บางทีถ้านางไม่เคยฟังคำพูดในขณะที่มึนเมาของเขาในคืนนั้น นางจะไม่เข้าใจเหตุผลของความเศร้าที่ปกคลุมอยู่ในดวงตาของเขาและความเจ็บป่วยที่เขาพูดถึง
จากหน้าต่างรถม้า สายลมกวาดผ่านไป อิสระและไร้ข้อจำกัด ถือได้ว่ามันเย็นสบายเล็กน้อยในตอนกลางคืนเช่นนี้ มันดูราวกับว่าเวลาหยุดลง ดวงตาของนางมองไปที่มุมหนึ่งของรถม้าและนางก็ได้เห็นพิณเหย่าเหลียงที่นางเคยเล่นในวันนั้นเมื่อตัวตนของนางคือทาสหญิง ความโดดเด่นของกรอบสีดำทำให้เกิดรู้สึกสงบและโดดเดี่ยวภายใต้แสงที่มืดครึ้มภายในรถม้า
“ท่านถึงกับนำเหย่าเหลียงมาด้วยหรือ?” ฮวาจูอวี้ ถามขึ้นด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล
“ถูกต้อง ข้าอยากจะฟังเจ้าเล่นมันอีกสักครั้ง” เสี่ยวหยินตอบด้วยรอยยิ้มเล็กน้อย
“ท่านควรจะพูดให้เร็วกว่านี้ เช่นนั้นข้าจะเล่นมันเพื่อเป็นการอำลา” ฮวาจูอวี้ยิ้มและมือของนางก็เอื้อมออกไป ก่อนจะวางเหย่าเหลียงลงไปบนพื้นพรมนิ้วมือเคลื่อนไหวไปตามสายพิณ แล้วเสียงของพิณก็กระเพื่อมขึ้นภายในรถม้าทันที เพลงที่นางเล่นไม่ได้มีจิตวิญญาณของการสังหารอยู่แม้แต่น้อย แต่มันกลับเต็มไปด้วยความรู้สึกแตกต่าง หัวใจที่ปวดร้าวและทราบซึ้ง ทำนองเป็นที่น่าพอใจต่อหูและแตกต่างอย่างสิ้นเชิงเมื่อเทียบกับบทเพลงที่นางเคยเล่นในสนามรบ
พร้อมกับเสียงของพิณ นางท่องบทกวีขึ้นเบา ๆ “เหนือศาลา ยังมีถนนเส้นเก่าๆ ทะเลสาบสีฟ้าที่มีกลิ่นหอมไปถึงท้องฟ้า เมื่อลมยามเย็นผ่านไปพร้อมกับเสียงพิณ พระอาทิตย์ก็ขึ้นที่เนินเขา ที่ขอบของท้องฟ้าและไกลสุดปลายฟ้า เพื่อนที่รักของข้าต่างต้องกระจัดกระจาย ถ้วยเหล้าที่ได้แสดงถึงความสุขเล็กน้อย คืนนี้แยกจาก แต่ความฝันยังคงอยู่”
เสี่ยวหยินสั่นเล็กน้อยเมื่อนรับฟังนาง ในขณะเอนตัวลงบนที่เบาะนั่ง เมื่อเพลงจบลงฮวาจูอวี้ก็วางนิ้วมือลงไปเบา ๆ ไว้ที่สายพิณ ทำให้เกิดความเงียบและห่อหุ้มทั้งสองเอาไว้
ฮวาจูอวี้หันหน้ามาหาเขา แล้วในที่สุดก็พูดขึ้น “เดินทางด้วยความรื่นรมย์! สำหรับแม่นางเหวินว่าน ข้าขอให้ท่านอย่าได้ทำสิ่งที่ยากเกินไปสำหรับนาง “ไม่ว่าจะอย่างไร มันก็เป็นเพราะนาง นางจึงถูกบังคับให้ไปทางที่อาณาจักรเหนือ
“เอาล่ะ” เสี่ยวหยินเห็นด้วย ก่อนจะเหลือบไปที่เหวินว่าน เขาถอนหายใจและพูดขึ้น “ไม่ใช่ว่านางนั้นอ่อนแอและเจ็บป่วยหรือ? มองไปที่นางตอนนี้อากาศที่หนาวเย็นที่อาณาจักรเหนือคงจะไม่เพียงพอที่จะทำลายนางได้ เจ้าไม่เกลียดนางหรือ? ถ้าไม่ใช่เพราะนาง เจ้าก็จะไม่ต้องทนทุกข์ทรมานมากมายเช่นนั้น ”
“ข้าจะไม่เกลียดนางได้อย่างไร?” ฮวาจูอวี้ตอบขึ้นอย่างสงบ ถ้าไม่ใช่เพราะนางจินเซ่อ ก็คงไม่ตาย แต่นางไม่ได้เป็นผู้ร้ายที่แท้จริงและฮวาจูอวี้เองก็เป็นคนที่เห็นได้ชัดระหว่างความผิดและถูก การบังคับให้นางไปอาณาจักรเหนือในคราวนี้อาจถือได้ว่าเป็นการลงโทษนางแล้ว
เมื่อยกม่านขึ้น ฮวาจูอวี้ตั้งใจที่จะจากไป แต่สายตาที่เผาไหม้อยู่ข้างหลังของนางหยุดการเคลื่อนไหวของนางเอาไว้ หลังจากคิดอยู่ชั่วครู่ นางก็ลดศีรษะลงและพูดขึ้น “ตอนอยู่ที่อาณาจักรเหนือข้าได้ทำผิดต่อท่าน เมื่อท่านกลับไปก็ไปถามแม่นมไป๋ นางรู้เรื่องราวทั้งหมด “เมื่อพูดจบ นางก็ไม่กล้ามองย้อนกลับไปที่เสี่ยวหยินอีก หรือไม่ได้ให้ความสนใจว่าเขาจะได้ยินมากน้อยแค่ไหนในขณะที่นางรีบกระโดดลงมาจากรถม้า นางไม่ได้มีความกล้าที่จะพูดถึงเรื่องนั้น นางไม่รู้ว่าเขาจะตอบสนองอย่างไร
ยืนอยู่ข้างใต้ต้นไม้ นางยังคงเฝ้ามองตามขบวนของเสี่ยวหยินที่วิ่งออกไปตามถนนที่คดเคี้ยวบนภูเขา ซึ่งค่อยๆเลือนหายไปออกไปไกลขึ้นเรื่อยๆ จนกว่าจะถึงจุดที่ไกลจนไม่สามารถมองเห็นได้อีกแล้ว
เมื่อดวงอาทิตย์ลดลง ม่านของยามค่ำคืนก็ผุดขึ้นมาอย่างช้าๆ ปกคลุมไปทั่วท้องฟ้าและแผ่นดินเอาไว้ในความมืด กลุ่มนกกระพือปีกของพวกมัน ในขณะที่พวกมันบินไปทางป่า มุ่งหน้าไปยังรังของพวกมัน นางไม่สามารถเทียบได้กับนกตัวเล็ก ๆ เพราะนางไม่ได้มีบ้านที่จะกลับไปหรือที่หลบภัยของนางเอง
หลังจากมุ่งหน้ากลับไปที่ตำหนักฉิงเจียง ฮวาจูอวี้ไปที่คอกม้าก่อน ซึ่งเป็นที่กักขังของศพของสัตว์ร้ายเอาไว้ นางสั่งให้อันเสี่ยวเอ้อร์ ส่งใครบางคนเพื่อจุดไฟในคอกม้าทันทีที่มันมืด แต่ก่อนที่จะมืด นางก็ได้รับข่าวจากเขาว่าคอกม้าได้รับการคุ้มกันอย่างแน่นหนาและเสนาจากกรมยุติธรรม ฉางฉิง ได้เดินทางมาตรวจสอบสัตว์ร้ายด้วยตัวเอง
เสนาจากกรมยุติธรรม เดิมยังคงอยู่ในเมืองหยู เขาไม่ได้เป็นหนึ่งในขุนนางที่เข้าร่วมการเดินทางมายังตำหนักฤดูร้อน ถ้าใครจะเดินทางจากเมืองหยู มายังตำหนักฤดูร้อน จะใช้เวลาอย่างน้อย 2 วันโดยทางน้ำและอย่างน้อย 1 คืนโดยทางบกซึ่งเป็นทางที่เร็วที่สุดแล้ว เหตุการณ์นี้เพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวานนี้และเสนาจากกรมยุติธรรม ก็มาถึงที่นี่แล้ว ฮวาจูอวี้ มีข้อสรุปว่าบางสิ่งกำลังจะเกิดขึ้น นางวางแผนที่จะจุดไฟของค้อกม้าให้มันสว่างขึ้น แต่อีกฝ่ายไม่ได้ปล่อยให้นางมีโอกาสทำเช่นนั้น นางจึงตกอยู่ในตำแหน่งที่ไม่สามารถที่จะทำอะไรได้ แต่แล้วจู่ๆ นางก็หันหลังกลับและรีบวิ่งไปฉิงหยวน
แต่หวงฝู่ อู๋ ซวงกลับไม่ได้อยู่ที่ตำหนักฉิงหยวนแล้ว ทหารบอกว่าเขาไปพร้อมกับจี่เสี่ยง เพื่อไปพบฮองเฮาเนีย ดูเหมือนว่าเขาจะรู้ว่าเขาอยู่ในสถานการณ์ที่เลวร้ายแค่ไหน ดังนั้นไม่ว่าจะมีความเกลียดชังที่เขาเก็บเอาไว้ในหัวใจของเขามากแค่ไหนต่อฮองเฮา เขาก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกเหนือจากการไปขอความช่วยเหลือจากนาง
“นี่ มานี่ รีบค้นในตำหนักขององค์รัชทายาทเพื่อหาวัตถุที่น่าสงสัย!” ฮวาจูอวี้สั่งขึ้น แม้ว่านางจะไม่รู้ว่าเป็นสิ่งใดที่ทำให้สัตว์ร้ายทำร้ายฮ่องเต้และคังหวาง แต่นางก็แน่ใจได้ว่าสิ่งนั้นจะอยู่ในห้องของหวงฝู่ อู๋ ซวง
ทำตามคำสั่งของนาง ทหารต่างก็เริ่มค้นหาพร้อมกับฮวาจูอวี้ อย่างรวดเร็ว หลังจากค้นไปทั่วทุกสถานที่ พวกเขาก็ยังไม่พบสิ่งที่น่าสงสัย ต้องมีอะไรบางอย่าง แต่ทำไมนางถึงไม่พบมัน? ทันใดนั้นเสียงของสุนัขก็เห่ามาจากด้านนอก
ฮวาจูอวี้ตื่นตระหนก ก่อนจะรีบออกไปนอกตำหนัก
เดินผ่านประตูเข้ามาเป็นเสนากรมยุติธรรมพร้อมกับกลุ่มผู้คุ้มกันของฮ่องเต้และสุนัขล่าสัตว์อีกหลายตัว
“ท่านเสนาจาง ท่านกำลังทำอะไรอยู่?” แม้ว่าฮวาจูอวี้ รู้สึกวิตกอยู่ข้างใน แต่ใบหน้าของนางก็แสดงออกเพียงแค่ความสงบเท่านั้น
เขาสวมเสื้อผ้าที่อย่างเป็นทางการของเขา เขามองมาที่ฮวาจูอวี้อย่างเยือกเย็นและถามขึ้น “เป่ากงก องค์รัชทายาทอยู่ข้างในหรือไม่?”
“ฝ่าบาทเสด็จไปพบฮองเฮา แล้วนี่มันเรื่องอะไรท่านเสนาจาง? “ฮวาจูอวี้ถามขึ้นด้วยรอยยิ้ม
เขาถึงราชโองการออกมา “ตามคำสั่งฮ่องเต้ ข้ามาที่นี่เพื่อทำการค้นตำหนักฉิงหยวน!” จากนั้นเขาก็มองไปที่องครักษ์ของฮ่องเต้และสั่งให้พวกเขาเริ่มการค้นหาทันที
ภายในหัวใจของฮวาจูอวี้ซึ่งเดิมมีความวุ่นวายอยู่แล้วกลับเริ่มสงบสติอารมณ์ลง ดูเหมือนว่าในท้ายที่สุดแล้วหวงฝู่ อู๋ ซวง จะไม่สามารถหลบหนีภัยพิบัติในครั้งนี้ได้ และก็แน่นอนที่สุดไม่นานทหารองครักษ์ก็ออกมาพร้อมกับกล่อง ก่อนจะพูดขึ้น “ท่านเสนาจาง ข้าพบสิ่งนี้ขอรับ”
“เอาล่ะ นำมันกลับไป” จางฉิง ไม่แม้แต่จะเปิดกล่องและรีบออกจากตำหนักฉิงหยวนไปพร้อมกับองครักษ์ของฮ่องเต้
หวงฝู่ อู๋ ซวง ถูกคุมขัง
ในกล่องที่นำมาจากฉิงหยวน เป็นภาพเขียนที่เหวินว่านได้วาดขึ้นในวันนั้นในป่าไผ่ ในภาพวาดนั้นมีกลิ่นหอมที่พิเศษคล้ายกับในชุดของฮ่องเต้และคังหวางใส่ในตอนที่ถูกทำร้าย ตามที่นักชันสูตรสัตว์บอก ว่าสัตว์ร้ายต้องได้รับการกระตุ้นโดยกลิ่นนี้และจึงโจมตีเฉพาะพวกเขาทั้งสองเท่านั้น
กลิ่นนี้มาจากกุหลาบที่เป็นเอกลักษณ์ กลิ่นเบามากจึงเป็นเรื่องยากสำหรับคนธรรมดาที่จะตรวจพบได้ แต่สัตว์เหล่านั้นอ่อนไหวต่อกลิ่นนี้และมันก็คงจะได้กลิ่นจากระยะไกลๆ แล้ว จึงทำให้มันเกิดบ้าคลั่งเช่นนี้ หลังจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น พวกเขาได้ตรวจพบผงหอมและเครื่องหอมต่างๆ ที่อยู่ในห้องหวงฝู่ อู๋ และภาพวาดนี้เขาก็ได้รับจากเหวินว่าน เขาก็ไม่ต้องการที่จะให้นางเข้ามามีส่วนร่วมด้วยและท้ายที่สุดมันก็เป็นหลักฐานที่ใช้ในการลงโทษเขา
หลังจากฟังคำเบิกความนี้แล้ว ฮวาจูอวี้ ก็ยังค่อนข้างมั่นใจ ถ้ามีผงหอมปรากฏอยู่ในห้องของหวงฝู่ อู๋ ซวง คนจะเชื่อว่าเขาได้รับการจัดฉากขึ้น ใครจะเป็นคนเขลาพอที่จะทิ้งหลักฐานดังกล่าวไว้เบื้องหลัง? ภาพวาดนี้ต่างกัน กลิ่นหอมของมันเบามาก บางทีหวงฝู่ อู๋ ซวง ไม่รู้ว่าเขาทิ้งมันลงบนภาพวาดหรือบางทีเขาอาจจะรู้ แต่ก็ไม่สามารถทิ้งมันไปได้เพราะเป็นของขวัญจากคนรักของเขา
แม้ว่ามันจะถูกวาดโดยเหวินว่าน แต่นางก็ไม่เคยถูกสงสัย นี่เป็นเพราะนางวาดรูปไว้ต่อหน้าคนจำนวนมากและหมึกและกระดาษเองก็ได้รับการจัดหาให้โดยหวงฝู่ อู๋ ซวง
เมื่อได้ยินคำแถลงของเสนากรมยุติธรรม ฮ่องเต้ก็เต็มไปด้วยความโกรธแม้แต่คำพูดของฮองเฮาก็ไม่มีประโยชน์ ฮ่องเต้ได้สั่งให้กักขังหวงฝู่ อู๋ ซวง และขังเขาไว้เมื่อเขากลับไปถึงเมืองหยูแลว ขณะที่คนรับใช้ของเขาอย่างฮวาจูอวี้และจี่เสี่ยง ไม่สามารถหลบหนีการลงโทษได้
เดินทางกลับมายังเมืองหยู การเดินทางบนน้ำใช้เวลาสองวันสองคืน การเดินทางกลับของพวกเขาให้ความรู้สึกแตกต่างไปมาก บรรยากาศสบาย ๆ ที่พวกเขามีตอนมาและตอนนี้มันเต็มไปด้วยความกดดันเป็นอย่างมาก แม้ว่าหวงฝู่ อู๋ ซวง จะยังไม่ได้ถูกปลดจากตำแหน่งองค์รักชทายาท แต่ด้วยอาญาที่ร้ายแรงดังกล่าวแขวนอยู่เหนือศีรษะของเขา ทหารหลายคนจึงถูกส่งมาให้คุ้มกันเขากลับ
ในที่สุด ในเย็นของวันที่สาม พวกเขามาถึงเมืองหยู
ตลอดการเดินทางอวาจูอวี้ จะอยู่เคียงข้างหวงฝู่ อู๋ ซวง คนที่ก้มหน้าของเขาอยู่ตลอดเวลา หลังจากเผชิญหน้ากับอุปสรรคดังกล่าวดูเหมือนว่าเขาจะโตขึ้นแล้ว หรือบางทีอาจเป็นเพราะเขาได้หลั่งน้ำตามากเกินไปต่อหน้าฮ่องเต้จนเขาไม่มีอะไรเหลืออีกแล้ว เหมือนนางในเวลานั้น น้ำตาแห้งหายไปจนสนิท
รถม้ากลับตรงไปที่พระราชวัง แล้วก็มาถึงหลังจากผ่านไป 2 ชั่วยาม
แต่พวกเขาไม่ได้กลับไปที่พระราชวังตะวันออก แต่ถูกพาไปทางตะวันตกไปยังพื้นที่ห่างไกลออกไปมากที่สุดภายในพระราชวัง คุกหลวง
มันเป็นพื้นที่ที่หนาวที่สุดในพระราชวัง เนื่องจากเป็นเรือนจำที่ออกแบบมาเพื่อควบคุมสมาชิกของราชวงศ์ที่ก่ออาญาร้ายแรง เมื่อเทียบกับตำหนักเย็นในทางเหนือมันมีความมืดมิดและน่ากลัวมากกว่า ทำให้ผู้คนรู้สึกท้อแท้และหมดหวังในทันทีที่ได้เห็น
เมื่อพวกเขามาถึง มันก็เป็นตอนเที่ยงคืนแล้ว เมื่อลงมาจากรถม้าสิ่งแรกที่พวกเขาเห็นคือต้นไม้นับไม่ถ้วนที่สูงตระหง่านและเก่าแก่ มีกิ่งก้านของมันพาดผ่านไปมา มันดูรกร้างอย่างสมบูรณ์ ทำให้รู้สึกหวาดกลัวต่อวิญญาณชั่วร้ายที่อยู่ภายใน ใกล้กับยอดของต้นไม้อาจได้ยินเสียงร้องของนกกาเหว่าดำทำให้คนกลัวจนตัวสั่น
ไกลออกไปจากป่าไม้ ผู้คนสามารถมองเห็นคุกที่มีการสร้างที่แปลกประหลาด ดูเก่ามาก เป็นครั้งคราวจะมีเสียงกรีดร้องของความทุกข์ทรมานดังออกมาจากข้างใน ใครจะคิดว่าสถานที่ดังกล่าวมีอยู่ภายในพระราชวังอันงดงาม?